LOGIN
"ฉันซื้อมาตั้งแพงขอให้ใช้ทนๆหน่อยสิ"
หญิงสาวกำลังมองคอนแทคเลนส์ที่เพิ่งซื้อมาบ่นพลางๆว่ามันแพงเกินไป เธอสายตาสั้นทำใช้ชีวิตแบบคนปกติไม่ได้เต็มที่ เธอกำลังจะหันหลังกลับไปหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อจะไปอาบน้ำ จู่ ๆ แสงสีฟ้าจากคอนแทคเลนส์เปล่งประกายออกมา ดึงเธอเข้าไปในห้วงอีกมิตินึง โดยที่เธอไม่รู้ตัว.. จิตวิญญาณของเธอได้เข้าไปในอีกมิตินึง ในยุคเก่าแก่สมัยโบราณของราชวงศ์จีน ในร่างหญิงสาวที่เต็มไปด้วยรอยแผล นางมีนามว่า ซูเหยา เป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลสาม ในอดีตครอบครัวของนางมีความสุขเป็นอย่างมาก แต่เมื่อท่านพ่อของนางออกไปรบแล้วนำอนุกลับมาพร้อมกับลูกในครรภ์ที่กำลังใกล้คลอด ท่านแม่ก็ไม่เคยได้รับความรักเหมือนเคยอาจจะแย่กว่าเดิมไม่รู้ว่าอนุของท่านพ่อ หว่านเสน่ห์อะไรให้ถึงได้เปลี่ยนไปมากนัก ห้องเก็บฟืน "นี่ฉันอยู่ที่ไหนกันนะ" อันอันตื่นขึ้นมาในร่างกายของคุณหนูซูเหยาทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยแผลเก่า แผลใหม่ยังสดไม่หาย อันอันที่สงสัยจึงชะโงกหน้าไปมองที่ถังน้ำใสๆ "นี่อยู่ที่ไหน.ฉันมาอยู่ในร่างใคร" เธอสะดุ้งตัวลื่นล้มหงายหลังหันซ้ายหันขวามองไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดระแวง เธอกวาดสายตาดูพร้อมกับหวาดระแวงว่า มีใครอยู่แถวนี้ ในขณะที่เธอนั้นกำลังเดินสำรวจอยู่ มีเสียงสาวรับใช้ดูท่าทางเย่อหยิ่งเดินเข้ามาด้วยความเร่งรีบนางทั้งสองส่งสายตามาที่เธออย่างแข็งกร้าว "อาหารทำเสร็จยัง ชักช้าแอบเกียจคร้านอย่างรึ" สาวรับใช้พุ่งตัวเข้ามาผลักไหล่เธอจนล้มลงไปกองกับถุงถ่าน ศีรษะเกือบจะโดนค้อนที่เสียบอยู่ด้านบน นางยกมือทาบอกด้วยความตกใจพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นแล้วมองไปที่นางสาวใช้ทั้งสองที่กำลังยืนข่มขู่ ซูเหยาปัดเศษฝุ่นที่อยู่บนเสื้อออกลุกพรวด เอ่ยปาก พูดออกมาโดยไม่เกรงกลัว "คุณหนูของเจ้าไม่เคยสอนหรือว่าท่าทีเช่นนี้ไม่ควรทำให้เจ้านายขุ่นเคือง" สาวใช้ขมวดคิ้วยกมือจะตบที่ใบหน้า แต่ซูเหยารู้ทัน จึงเบี่ยงตัวหลบได้ทัน สาวใช้นั้นล้มหน้าคะมำไปโดนเศษถ่านที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น "อ้าว...เจ้าระวังระวังหน่อย" สาวใช้อีกคนที่เห็นดังนั้นก็รีบหยิบไม้หนา ๆ ขึ้นมาหวังจะฟาดไปที่ท้ายทอย เตือนให้ซูเหยานั้นอย่ามาท้าทาย ซูเหยาเห็นท่าไม่ดี รีบหลบ ก่อนจะสวนกลับด้วยการเตะก้านคอ ล้มกระแทกกองเศษอาหารเน่ากองกระจัดกระจายอยู่กับพื้น "อ๊าย!!!!" (เสียงกริ๊ด) "ซูเหยาหัวเราะจนปวดท้อง ความสะใจแล่นพล่านทั่วอก มันทั้งเจ็บ ทั้งสนุกในเวลาเดียวกัน" "งันเจ้าก่อนก็แล้วกัน" นางชี้นิ้วไปที่สาวใช้หน้าเปื้อนถ่านพร้อมกับเดินไปอย่างช้า ๆ ด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว กำปั้นยกขึ้นชก ไปที่จมูกของฝ่ายตางข้ามจนเลือดกำเดาไหล "โอ๊ย...ช่วยข้าด้วย" สาวใช้เรียกร้องขอความช่วยเหลือ สาวใช้เห็นว่าสู้ไม่ได้จึงขอร้องซูเหยาทั้งน้ำตาว่าให้ปล่อยนางไป "คุณหนูข้ายอมแล้ว" สาวใช้ผงกคอก้มราบดินร้องขอจนเสียงสั่นตามลำตัว หน้าสาวใช้ เลือดและรอยพกช้ำก็เต็มไปทั่วใบหน้าสาวใช้ ซูเหยาหัวเราะจนปวดท้อง ความสะใจแล่นพล่านทั่วอก มันทั้งเจ็บ ทั้งสนุกในเวลาเดียวกัน" ซูเหยายิ้มมุมปาก ก่อนจะคลายมือ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วค้ำเอวปรายหางตามองสาวใช้ทั้งสอง "ไปซะ" ซูเหยาไล่ สาวใช้รีบลุกขึ้นวิ่งหนีออกห่างซูเหยาทันที ส่วนซูเหยาที่ยังสับสน ว่าทำไมรู้สึกว่าชื่อซูเหยามันช่างคุ้นหูเหลือเกิน เดินวนรอบ ๆ คิดแล้วคิดอีก จนภาพที่เธอเคยอ่านนิยายเมื่อสามปีที่แล้วผุดขึ้นมาในหัว "ฉันจำได้แล้ว" อันอันนึกออกทันที ที่แท้เธอก็ย้อนเวลามาอยู่ในร่างคุณหนูซูเหยาผู้ถูกทอดทิ้ง และถูกรังแกมานานหลายปี ในเมื่ออันอันได้มีโอกาสมีชีวิตอยู่ในร่างคุณหนูผู้น่าสงสาร อันๆเลยสัญญากับตัวเองว่าจะเปลี่ยนชตากรรมไม่ให้เป็นเหมือนในนิยาย สิ่งแรกที่นางจะทำคือเปลี่ยนแปลงตัวเองทั้งเสื้อผ้าหน้าผมให้กลับมาสวยเหมือนเดิม อันอันเริ่มจากการอาบน้ำขัดตัวให้ผิวพรรณนั้นผ่องใส เส้นผมยุ่งเหยิงก็ใช้สมุนไพรสระให้สะอาด พอกหน้าด้วย แป้งข้าวจ้าว+น้ำผึ้ง+น้ำนม ขัดขี้ไคลข้อศอกข้อเข่าให้สะอาดหมดจดทำให้ใบหน้าและร่างกายของซูเหยานั้นเริ่มสว่างไสวราวกับเทพธิดา แม้แต่เส้นผมของซูเหยาก็น่ามองมากแล้ว "คุณหนู...คุณอยู่ไหนเจ้าคะ" สาวใช้ผู้ซื่อสัตย์เรียกหาคุณหนูด้วยความตื่นตระหนกตกใจไปทั่วที่พักเก่า ซูเหยาที่กำลังอาบน้ำอย่างสบายตัวจึงหยุดชะงัดและฟังอย่างตั้งใจ "ใครเรียกข้า" ในขณะนั้นประตูอาบน้ำก็เปิดออกคนที่อยู่ตรงหน้าคือสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์นางมีนามว่า จ้าวจ้าว นางรีบวิ่งกรู่เข้ามาหาด้วยความร้อนใจแสดงอาการสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ซูเหยาบอกให้จ้าวจ้าวใจเย็น ค่อย ๆ พูด "คุณหนูตอนนี้...." จ้าวจ้าวกระซิบข้างหูเบา ๆ ตอนนี้น้องสาวต่างมารดากำลังเดินทางมาที่นี่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เฟิ่งจูถือไม้หน้าสามมาพร้อมกับสาวใช้อีก 5 คน จ้าวจ้าวกลัวว่าคุณหนูจะได้รับอันตรายเลยอยากให้ซูเหยาหนีไปให้ไกลจากที่นี่ ซูเหยาที่ได้ฟัง ก็ปฏิเสธพร้อมกับบอกจ้าวจ้าวว่า "ไม่ต้องกลัวข้าจะปกป้องเจ้าเอง" จ้าวจ้าวอึ้งไปพักนึงส่วนซูเหยาลุกพรวดจากอ่างอาบน้ำนม คว้าผ้าขนหนูมาพันตัวอย่างรวดเร็ว ซูเหยานั้นบอกให้จ้าวจ้าว ไปถ่วงเวลาที่หน้าที่พักไว้ก่อน อย่าเพิ่งให้สาวใช้เข้ามาในขณะนั้นนางกำลังจะยืนบนเก้าอี้ไม้เพื่อจะตากปลาบนหลังคาท่ามกลางแสงแดด"โอ๊ย...."ปลายเท้าลื่นสะดุดกำลังจะล้มลงทันใดนั้นเจาเฟิงรีบมาประคองร่างบางๆ ไว้ในอ้อมกอด ต่างฝ่ายสบตากัน เหมือนถูกชะตา แต่เมื่อนางรู้ตัวก็รีบดันตัวออกจากอ้อมกอดที่อบอุ่นเพียงชั่วคราว"ท่านเป็นผู้ใดรึ ข้าไม่เคยเห็นหน้าเลย"นางยืนตัวเกรงในขณะถามกลับไป" ข้าคือองค์ชายเจาฟิง" "หึ....เจาเฟิงรึ ชื่อนี้ข้าไม่รู้จักข้าอยู่แต่ในหุบเขาเลยไม่รู้" นางขมวดคิ้ว"แต่ข้ารู้จักเจ้านะ" " ท่านไปรู้จักข้าตั้งแต่ตอนไหน" นางถาม"พี่สาวเจ้าเล่าให้ข้าฟัง" " ห๊า....พี่สาวข้ารึ" เจาเฟิงพยักหน้า" เช่นนั้นท่านรับได้รึท่านก็รู้ว่าข้านั้นมีชื่อเสียงที่ไม่ดีมาก่อนหน้านั้นท่านจะใจกว้างเปิดใจให้ข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ" "ข้าดูคนออก. .แล้วอีกอย่างเจ้าก็ต้องใจกับข้ามิใช่หรือ"" ท่านรู้ได้อย่างไร" นางถาม" สังเกตจากท่าทางของเจ้า" เจาเฟิงตอบทั้งสองเงียบไปชั่วขณะ เฟิ่งจูทดสอบเจาเฟิง"เช่นนั้นท่านจะทิ้งชีวิตที่สุขสบายมาอยู่ที่กับข้าได้หรือไม่" เจาเฟิงเงียบไปชั่วคราวเมื่อได้ยินคำถาม ในใจเฟิ่งจูตอนนี่คงได้คำตอบแล้วละว่าเจาเฟิงไม่อยากมาอยู่ที่นี่
"ท่านพ่อข้าทำให้ท่านพ่อเสียตำแหน่งรองแม่ทัพ" เฟิ่งจูปากสั่นในขณะที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ ๆ"อย่าร้อง .." แม่ทัพเช็ดคราบน้ำตาให้บุตรสาวหลังจากที่ปลอบใจบุตรสาวอยู่สักพัก ถึงเวลาแล้วที่ต้องออกเดินทางไปยังชนบทเพราะตอนนี้ตำหนักถูกยึดเป็นของหลวง ส่วนเงินที่เหลือมีเพียงพอที่จะซื้อบ้านแต่ไม่พอที่จะใช้ชีวิตให้อยู่สุขสบายเหมือนเมื่อก่อนทั้งสองขึ้นรถม้าวิ่งไปยังชนบทอันห่างไกลไม่รู้จุดหมายปลายทาง ว่าจะลงเอยที่ใด ต้องถามชาวบ้านไปเรื่อย ๆ ว่าที่ดินหรือบ้าน ที่ใดกำลังถูกขาย โชคดีที่มีบ่าวรับใช้และสาวใช้ 2 คนเดินทางไปด้วยจึงไม่ยากลำบากมากเกินไปไม่นานนักทั้งสองก็ได้ที่อยู่ใหม่ใกล้หุบเขาลำธารแม่น้ำสายใหญ่จากฝั่งตะวันออกที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก แต่ที่นี่มีคนอาศัยอยู่แค่ 20 คน ดูเหมือนไม่วุ่นวายและอยู่กับธรรมชาติอยู่ในที่ที่คนไม่แออัด นางจะได้ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาส่วนหานหารเฟิงกับซูเหยาเริ่มติดต่อเจรจาการค้ากับดินแดนเหนือและดินแดนใต้ ทางด้านการเกษตร อื่นๆอีกมากมายที่กำลังจะส่งออกในปีหน้า ซูเหยานั้นสั่งซื้อเมล็ดข้าวพันธุ์พืชผลไม้หายากจากภพปัจจุบัน หลายอย่างที่ในยุคโบราณนั้นไม่มี นางกับสามีได้จัดแ
"ไม่ได้ข้าต้องหาทางออกหนีไปจากที่นี่" นางพยายามหาที่นั่งแต่จะนั่งตรงไหนก็มีแต่ฝุ่นส่วนที่นั่งได้ก็คือฟาง แต่ห้องข้าง ๆ กับได้กลิ่นอาหารบูดเน่า ทำให้นางอยากจะอาเจียนออกมาเป็นร้อย ๆ รอบ ในคุกแห่งนี้ไม่มีผ้าห่มมีแต่ฟางที่วางซ้อนกันให้นักโทษนอนหลับ สวนอาหารก็เป็นแค่ข้าวต้มจะมีเนื่อหมูแค่ 2 ครั้ง 7 วัน เนื้อหมูเหล่านั้นเป็นเศษเนื้อหมูที่ใกล้เสียเสียด้วย"เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้" เฟิ่งจูกำมือแน่นไม่อยากพ่ายแพ้ให้ซูเหยาน้ำสมน้ำหน้าตนเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาเป็นระยะ นางรีบลุกจับกรงเขย่าเอียงตามองไปข้างนอก ผู้ใดกันนะกำลังเดินมาที่นี่"ท่านพ่อ...." ปรากฏว่าผู้นั้นคือท่านพ่อกำลังเดินมาหานางด้วยใบหน้าที่ซึมเศร้า "เฟิ่งจู...ลูกเป็นอย่างไรบ้างอยู่ข้างในทรมานหรือไม่" ได้ยินท่านพ่อถาม น้ำใส ๆ ก็ไหลออกจากตา"ท่านพ่อข้าผิดไปแล้ว" นางสะอื้นเสียงแผ่ว" ไม่ต้องกลัวนะพ่อจะนำอาหารที่ลูกชอบมาให้ทุกๆวันเลย" ท่านพ่อยื่นมือไปปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม"หากรู้ว่าผิดแล้วต่อไปก็อย่าทำอีก" ท่านพ่อน้ำตาคลอเบ้าพร้อมให้กำลังใจลูก"ท่านพ่อ....หากข้าต้องโทษประหาร..ทรัพย์สินที่เหลือข้าขอบริจาคให้ชาวบ้าน เป็นการทดแทนที่ข้าน
"ข้าพูดขอรับฝ่าบาทข้ายอมพูดแล้ว" ทหารชั้นผู้น้อยจึงเล่าว่าตนนั้นเป็นแค่เพียงทหารธรรมดาแต่เมื่อภรรยาและลูกไม่สบายไม่มีเงินรักษาจึงจำใจ ต้องยักยอกเงินภาษีเพราะท่านเสนาแนะนำมาเป็นการส่วนตัวจนถึงทุกวันนี้ข้ากับภรรยาก็ไม่อดอยากเหมือนเมื่อก่อน ทหารชั้นผู้น้อยเล่าจบก็ขอชีวิตฝ่าบาทให้อภัยโทษอย่าประหารลูกกับเมียของตนเลย"ได้ข้าอภัยโทษให้" ทหารชั้นผู้น้อยรีบก้มคำนับ อย่างน้อยก็ขอให้มีชีวิตอยู่เพื่อลูกและภรรยา"หึ..ว่าอย่างไรเสนาหมิงเจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่" เสนาหมิงหน้าก้มตาอัดอั้นในใจ ไม่นานนักเสนาก็สารภาพ แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังจริงๆนั้นและผู้บงการทั้งหมดนั่นก็คือ เฟิ่งจูบุตรสาวคนรองตระกูล 3"จริงรึ .." ฝ่าบาทถาม"จึงขอรับฝ่าบาทข้าเองก็ถูกความโลภครอบงำ"" ข้าไม่คิดว่าบุตรสาวตระกูลสามช่างบังอาจนักที่ทำเรื่องชั่วช้าได้ถึงเพียงนี้ " หลังจากนั้นฝ่าบาทสั่งให้องครักษ์ไปนำตัวคุณหนูเฟิ่งจูพร้อมบิดามาที่นี่ให้เร็วที่สุดฝ่าบาทนั่งคอยอยู่สักพักสองพ่อลูกก็ถูกคุมตัวเข้ามา ส่วนคนเป็นพ่อนั้นสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตนนั้นไม่ได้ทำเรื่องร้ายแรงอะไร นี่ถึงขนาดองครักษ์ต้องคุมตัวเลยหรือ"ฝ่าบาทมีเรื่อง
"เหตุใดวันนี้เจ้าถึงมาก่อนเวลาข้าเคยบอกมิใช่หรือว่าอย่าทำตามเกินคำสั่ง" ทหารของเสนาหมิงกล่าว" ถ้าใจร้อนไปหน่อย เจ้าอย่าได้ถือสาเลย" " เอาละช่างมันเถอะ" ทหารผู้น้อยบอกว่าช่างมันเถอะ แล้วยังบอกอีกว่าให้หยุดค้นการเก็บภาษีครั้งนี้ เพราะองค์ชายหานเฟิงจะทำการตรวจสอบ เส้นทางการเงินย้อนไปตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน ส่วนการเก็บภาษีครั้งนี้ค่อยมาเก็บทีหลังก็แล้วกัน แค่เรื่องนี้ผ่านไปให้ได้ก่อน"เช่นนั้นหรือ" หานเฟิงส่งสัญญาณให้องครักษ์ที่อยู่รอบๆตื่นตัวพร้อมที่จะจู่โจมทหาร"ไม่มีโอกาศสำหรับทหารผู้น้อยทรยศเช่นเจ้า" หานเฟิง ชักดาบออกมาข่มขู่แล้วถีบไปที่หน้าอกจนทหารนั้นหงายหลังไปกระแทกพื้น ต่อมาเขาก็กระโดดฟาดเตะก้านคอทหารอีกคนจนล้มประเด็นไปโดนข้าวของที่ชาวบ้านตากไว้ ส่วนอีกคนถูกกำปั้นชกไปที่เบ้าหน้าตาทั้งสองข้างเขียวช้ำ "จับมันไปขังคุกใต้ดิน" เพียงแค่ไม่กี่กระบวนท่าหานเฟิงออกคำสั่งให้องครักษ์นำทหารชั้นผู้น้อยที่ทรยศเหล่านี้ไปขังไว้ในใต้ดินอย่าให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด แต่ก่อนจะนำตัวพวกมันไปหานเฟิงต้องการรู้ว่าทหารเหล่านี้ใช้สัญญาณลับอะไรในการสื่อสารกับเสนาหมิง แล้วมีทหารผู้ใดบ้างที่เป
"ข้าดีใจด้วยที่พวกท่านนั้นอยู่สุขสบายมากกว่าเมื่อก่อนอีกทั้งทุกคนกินอิ่มนอนหลับ ข้าทั้งสองก็ดีใจมากแล้วอีกอย่างของเหล่านี้ข้านั้นกินคนเดียวไม่หมดหรอกเช่นนั้นข้าจะทำอาหารเลี้ยงฉลองให้พวกเจ้าทั้งหมู่บ้านเลยดีหรือไม่" จูเหยาจับมือยายชราส่งรอยยิ้มที่จริงใจในขณะที่พูดจบ"ดีๆๆข้าน่ะอยากกินฝีมือเจ้า ฝีมือเจ้านี่มันสุดยอดจริงๆหาผู้ใดเปรียบได้ยาก" "ข้าขอผู้ช่วยสัก 5-6 คนได้หรือไม่" " ได้สิแม่นาง" ยาชรากล่าวส่วนสามสหายที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ดีใจมากจะได้กินอาหารอร่อยๆอีกครั้งพวกเขาก้าวเดินนำหน้าและเสนอตัวที่จะเป็นผู้ช่วยอย่างเต็มใจ"พระชายาถ้าเต็มใจจะช่วยท่าน" "ข้าจะได้เรียนรู้และทำตาม" " ข้าด้วยข้าจะเอาไปสอนเมียที่บ้านจะได้ทำอาหารร่อยๆหน่อย"" ฮ่าๆ.." ทุกคนหัวเราะคึกคักเบาๆจากนั้นทุกคนช่วยกันจัดเตรียมอาหารแยกเป็นหมวดหมู่ ชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าวันนี้ไม่แม่นางนั้นจะทำอะไร ช่วยได้เพียงเตรียมวัตถุดิบให้ครบตามที่ไม่แม่นางนั้นต้องการผ่านไป 5 ชั่วยามอาหารพิเศษก็เสร็จแล้วแต่ละอย่างมีอะไรบ้าง1"เป็ดย่างกรอบนอกนุ่มใน"2"ผัดกระต่ายรสจัดนัวๆ"3" ข้าวต้มใส่เนื้อหมูสำหรับเด็กๆ"4" ขนมจีบไส้ไก่และไส้หมู" 5







