LOGINถึงเรือน
เสียงฝีเท้าม้าหยุดลงตรงหน้าเรือนหานเฟิง บรรยากาศข้างหน้าทางเข้าช่างรมรื่น ด้านในเป็นบ้านไผ่ผสมไม้ ลานหน้าบ้านดูสะอาดตาแม้จะมีใบไผ่หล่นลงมาต่อเนื่อง ข้างบ้านยังปลูกผักไว้กิน "โฮ่ง..ๆ " เสียงเห่าดังมาแต่ไกล ทำเอาภาพฝันในหัวหายวับทันที "เจ้าสุนัข...อย่ากัดข้านะ" เจ้าหลงวิ่งพุ่งเข้ามาหาซูเหยาอ้าปากกว้างส่งเสียงร้อง โฮ่ง..ๆ "จะกัดข้า" ซูเหยารีบไปหลบด้านหลังหารเฟิง จังหวะนั้นเสียงเห่าก็เงียบลงกลับกลายเป็นอาการดีใจของสุนัขที่เจ้าของนั้นกลับมา มันหมุนลำตัวลอยไปมา กระโดดเลียแก้มสามีด้วยความดีใจ "อ้าว...นึกว่าจะกัดที่ไหนได้..." "ไอ้หลง เจ้านี่นะ" หานเฟิงลูบหัวเจ้าหลงไปมา " หากเจ้าไม่อยู่มันจะไม่กลับมาเล่นงานข้าใช่ไหม" หานเฟิงหัวเราะ " ไม่หรอกเจ้าวางใจได้...เราเข้าไปด่านในกันเถิด" หานเฟิงถือข้าวของเข้าไปโดยมีเจ้าหลงนั้นวิ่งนำหน้า มือผลักเปิดประตูบานใหญ่นำข้าวของไปไว้ที่ห้องพัก ภรรยาที่เดินตามหลังได้แต่มองรอบ ๆ เรือน ทุกมุมที่อยู่ข้างใน "ก็ไม่ได้แย่นะ" พึมพัมเบาๆ "เจ้าไม่ชอบที่นี่รึ" หานเฟิงถาม เมื่อเห็นซูเหยาไม่พูดตนนึกว่านางอาจไม่ชอบเรือนหลังนี้ "เปล่าเลย.. ข้าชอบ" "จริงรึ" "จริง ๆ ข้าจะโกหกเจ้าทำไม" ทันใดนั้นหานเฟิงก็ยิ้มออกมา " เจ้าอยากกินอะไรไหมข้าจะไปล่าสัตว์มาทำอาหารให้เจ้า" " ไปล่าสัตว์รึ ข้าอยากไปด้วย" สามีขมวดคิ้ว เมื่อซูเหยาบอกว่า อยากไปด้วย มีที่ไหนกันที่สตรีจะไปล่าสัตว์ ส่วนมากมีแต่อยู่ที่พัก "เจ้าไม่กลัวลำบากรึ" "ไม่..ข้าไม่กลัว..จะให้ข้าอยู่คนเดียวเหงา ๆ ข้าไม่เอาด้วยหรอกนะ" ยืนกอดอกสะบัดตัวเอียงข้าง " ได้..ไปก็ไป" ทันใดนั้นรอยยิ้มน้อย ๆ ก็กลับมาสดใสอีกครั้ง "เช่นนั้นข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า" ภรรยาไปคว้ากระเป๋าสะพายเสื้อผ้า หาชุดเก่าๆที่ไม่ได้ใช้งาน ในนั้นมีอยู่ชุดนึงเป็นชุดสีดำล้วน เลยคิดว่าใส่ปลอมตัวคล้ายๆผู้ชาย ก็ดีเหมือนกัน ไม่นานนักนางก็แต่งตัวเสร็จสับพร้อมที่จะออกไปล่าสัตว์แต่ถามว่านางล่าสัตว์เป็นหรอ เป็นสิเพราะในภพปัจจุบันนางคือหญิงสาวเรียนมหาวิทยาลัยปี 2 เก่งเรื่องยิงธนูเรื่องยิงปืน การเรียนก็ไม่เป็นสองรองใคร ถึงว่านางบางครั้งจะดูใสซื่อดูปัญญาอ่อนเป็นบางครั้งแต่เวลาจริงจังขึ้นมาก็น่ากลัวเหมือนกัน "ไปกันเถิด" ทั้งสองเดินออกมาจากประตูบานใหญ่พร้อมยิ้มรับกับการเดินทางเข้าป่า ซูเหยาได้เดินนำไปก่อนจนเพิ่งนึกได้ว่า 'ไปทางไหนกันนะ' ซูเหยาค่อยๆหันมายิ้มแห้งให้สามีที่ยืนอยู่ข้างหลัง "สามี..ข้าไม่รู้ทาง" ซูเหยาทำหน้าออดอ้อนพูดเสียงเบาๆ บิดฝ่ามืออายเล็กน้อย "ตามข้ามา" สามีกล่าว ซูเหยาเดินตามสามีต้อย ๆ ยิ่งเดินเข้าไปยิ่งปกคลุมไปด้วยความมืดและบรรยากาศที่วังเวง เกาะแขนสามีไว้แน่น เพราะนางนั้นกลัวผีหลอก "มีผีไหมนะ" ซูเหยากรอกสายตาไปมาเงยหน้ามองหลังตลอดเวลา เก่งทุกเรื่องแต่แค่กลัวผีหลอก "ใกล้ถึงเขตล่าสัตว์แล้ว" สามีเอ่ย "ท่านจะล่าอะไรออกไปหรือ" " แล้วเจ้าอยากกินอะไรล่ะ" " ข้าอยากกินผัดกระต่าย" " ได้..ข้าจะล่ากระต่ายมาให้เจ้า" พูดจบหานเฟิงก็เดินไปยังจุดประจำที่เคยหลบซ่อนในการโจมตีกระต่ายน้อย สามีค่อยๆยกคันธนูขึ้นมาสายตาเล็งเป้าไปที่กระต่าย 4-5 ตัว ตนตั้งสมาธิในใจนับ 123 พร้อมทันใดนั้นหนูก็เล่นออกไปแทงท้องกระต่ายทะลุตัว "สามีเก่งจังเลย" เอ่ยชมทันที "สามีข้าอยากยิงบ้างจัง" ซูเหยาเขย่าแขนสามีขออยากยิงธนูด้วยแต่สามีกลับถามกลับมาว่า "เจ้ายิงธนูเป็นด้วยหรือ" หานเฟิงขมวดคิ้วสงสัย " แน่นอนข้ายิงธนูเป็น" นางตอบอย่างมั่นใจ ทันใดนั้นสามีก็ยื่นคันธนูให้ นางก็รับมันมาและตั้งใจเล็งไปที่กระต่ายท่าทางการจับของนางช่างแข็งแรงสง่างามเหมือนเคยเป็นนักยิงธนูมาก่อน วินาทีต่อมานางปล่อยคันธนูออกไป ฟึก.... ธนูเสียบเข้าตัวกระต่าย "ฝีมือไม่ธรรมดา" หานเฟิงกล่าวในใจ "เป็นอย่างไรบ้างข้าเก่งหรือไม่" ซูเหยาเขย่งเท้าดีใจ " เจ้าเก่งมากๆ" นางถูกชมเชยก็ถึงกับเอาไหล่เตะตัวสามี เชิงบอกว่ามันก็แน่นอนอยู่แล้ว "กับเรือนเถิดข้าจะทำอาหารอร่อยๆให้เจ้ากิน" ซูเหยาจับกระต่าย 2 ตัวที่ยิงได้ยกชูขึ้นด้วยความภาคภูมิใจแล้วก็เดินนำหน้าจะกลับเรือนแต่ลืมไปว่าจำทางไม่ได้เลยหันมาถามสามี "สามีไปทางใดหรือ" "ข้าจะนำทางเองเจ้าเดินนำหลังข้าหากกลัวก็เกาะแขนข้าไว้" พูดจบสามีก็เดินนำหน้าไปก่อนส่วนภรรยานั่นหรือกำลังเขินคำพูดของสามี มือน้อยๆจับแก้มตัวเองทั้งสองข้างยิ้มเม้มปากอย่างมีความสุข ยิ้มจนลืมว่าสามีเดินไปทางโน้นแล้ว "รอข้าด้วยสามี" ประมาณเที่ยง 2 สามีภรรยามาถึงที่เรือนจ้าวจ้าวที่รออยู่หน้าเรือนก็รีบมารับพร้อมกับมันกะต่าย 2 ตัวไปล่นขนให้สะอาด ส่วนนางจะไปหาเครื่องแกงมาผัดเผ็ดกระต่ายให้สามีกินในขณะนั้นนางกำลังจะยืนบนเก้าอี้ไม้เพื่อจะตากปลาบนหลังคาท่ามกลางแสงแดด"โอ๊ย...."ปลายเท้าลื่นสะดุดกำลังจะล้มลงทันใดนั้นเจาเฟิงรีบมาประคองร่างบางๆ ไว้ในอ้อมกอด ต่างฝ่ายสบตากัน เหมือนถูกชะตา แต่เมื่อนางรู้ตัวก็รีบดันตัวออกจากอ้อมกอดที่อบอุ่นเพียงชั่วคราว"ท่านเป็นผู้ใดรึ ข้าไม่เคยเห็นหน้าเลย"นางยืนตัวเกรงในขณะถามกลับไป" ข้าคือองค์ชายเจาฟิง" "หึ....เจาเฟิงรึ ชื่อนี้ข้าไม่รู้จักข้าอยู่แต่ในหุบเขาเลยไม่รู้" นางขมวดคิ้ว"แต่ข้ารู้จักเจ้านะ" " ท่านไปรู้จักข้าตั้งแต่ตอนไหน" นางถาม"พี่สาวเจ้าเล่าให้ข้าฟัง" " ห๊า....พี่สาวข้ารึ" เจาเฟิงพยักหน้า" เช่นนั้นท่านรับได้รึท่านก็รู้ว่าข้านั้นมีชื่อเสียงที่ไม่ดีมาก่อนหน้านั้นท่านจะใจกว้างเปิดใจให้ข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ" "ข้าดูคนออก. .แล้วอีกอย่างเจ้าก็ต้องใจกับข้ามิใช่หรือ"" ท่านรู้ได้อย่างไร" นางถาม" สังเกตจากท่าทางของเจ้า" เจาเฟิงตอบทั้งสองเงียบไปชั่วขณะ เฟิ่งจูทดสอบเจาเฟิง"เช่นนั้นท่านจะทิ้งชีวิตที่สุขสบายมาอยู่ที่กับข้าได้หรือไม่" เจาเฟิงเงียบไปชั่วคราวเมื่อได้ยินคำถาม ในใจเฟิ่งจูตอนนี่คงได้คำตอบแล้วละว่าเจาเฟิงไม่อยากมาอยู่ที่นี่
"ท่านพ่อข้าทำให้ท่านพ่อเสียตำแหน่งรองแม่ทัพ" เฟิ่งจูปากสั่นในขณะที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ ๆ"อย่าร้อง .." แม่ทัพเช็ดคราบน้ำตาให้บุตรสาวหลังจากที่ปลอบใจบุตรสาวอยู่สักพัก ถึงเวลาแล้วที่ต้องออกเดินทางไปยังชนบทเพราะตอนนี้ตำหนักถูกยึดเป็นของหลวง ส่วนเงินที่เหลือมีเพียงพอที่จะซื้อบ้านแต่ไม่พอที่จะใช้ชีวิตให้อยู่สุขสบายเหมือนเมื่อก่อนทั้งสองขึ้นรถม้าวิ่งไปยังชนบทอันห่างไกลไม่รู้จุดหมายปลายทาง ว่าจะลงเอยที่ใด ต้องถามชาวบ้านไปเรื่อย ๆ ว่าที่ดินหรือบ้าน ที่ใดกำลังถูกขาย โชคดีที่มีบ่าวรับใช้และสาวใช้ 2 คนเดินทางไปด้วยจึงไม่ยากลำบากมากเกินไปไม่นานนักทั้งสองก็ได้ที่อยู่ใหม่ใกล้หุบเขาลำธารแม่น้ำสายใหญ่จากฝั่งตะวันออกที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก แต่ที่นี่มีคนอาศัยอยู่แค่ 20 คน ดูเหมือนไม่วุ่นวายและอยู่กับธรรมชาติอยู่ในที่ที่คนไม่แออัด นางจะได้ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาส่วนหานหารเฟิงกับซูเหยาเริ่มติดต่อเจรจาการค้ากับดินแดนเหนือและดินแดนใต้ ทางด้านการเกษตร อื่นๆอีกมากมายที่กำลังจะส่งออกในปีหน้า ซูเหยานั้นสั่งซื้อเมล็ดข้าวพันธุ์พืชผลไม้หายากจากภพปัจจุบัน หลายอย่างที่ในยุคโบราณนั้นไม่มี นางกับสามีได้จัดแ
"ไม่ได้ข้าต้องหาทางออกหนีไปจากที่นี่" นางพยายามหาที่นั่งแต่จะนั่งตรงไหนก็มีแต่ฝุ่นส่วนที่นั่งได้ก็คือฟาง แต่ห้องข้าง ๆ กับได้กลิ่นอาหารบูดเน่า ทำให้นางอยากจะอาเจียนออกมาเป็นร้อย ๆ รอบ ในคุกแห่งนี้ไม่มีผ้าห่มมีแต่ฟางที่วางซ้อนกันให้นักโทษนอนหลับ สวนอาหารก็เป็นแค่ข้าวต้มจะมีเนื่อหมูแค่ 2 ครั้ง 7 วัน เนื้อหมูเหล่านั้นเป็นเศษเนื้อหมูที่ใกล้เสียเสียด้วย"เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้" เฟิ่งจูกำมือแน่นไม่อยากพ่ายแพ้ให้ซูเหยาน้ำสมน้ำหน้าตนเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาเป็นระยะ นางรีบลุกจับกรงเขย่าเอียงตามองไปข้างนอก ผู้ใดกันนะกำลังเดินมาที่นี่"ท่านพ่อ...." ปรากฏว่าผู้นั้นคือท่านพ่อกำลังเดินมาหานางด้วยใบหน้าที่ซึมเศร้า "เฟิ่งจู...ลูกเป็นอย่างไรบ้างอยู่ข้างในทรมานหรือไม่" ได้ยินท่านพ่อถาม น้ำใส ๆ ก็ไหลออกจากตา"ท่านพ่อข้าผิดไปแล้ว" นางสะอื้นเสียงแผ่ว" ไม่ต้องกลัวนะพ่อจะนำอาหารที่ลูกชอบมาให้ทุกๆวันเลย" ท่านพ่อยื่นมือไปปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม"หากรู้ว่าผิดแล้วต่อไปก็อย่าทำอีก" ท่านพ่อน้ำตาคลอเบ้าพร้อมให้กำลังใจลูก"ท่านพ่อ....หากข้าต้องโทษประหาร..ทรัพย์สินที่เหลือข้าขอบริจาคให้ชาวบ้าน เป็นการทดแทนที่ข้าน
"ข้าพูดขอรับฝ่าบาทข้ายอมพูดแล้ว" ทหารชั้นผู้น้อยจึงเล่าว่าตนนั้นเป็นแค่เพียงทหารธรรมดาแต่เมื่อภรรยาและลูกไม่สบายไม่มีเงินรักษาจึงจำใจ ต้องยักยอกเงินภาษีเพราะท่านเสนาแนะนำมาเป็นการส่วนตัวจนถึงทุกวันนี้ข้ากับภรรยาก็ไม่อดอยากเหมือนเมื่อก่อน ทหารชั้นผู้น้อยเล่าจบก็ขอชีวิตฝ่าบาทให้อภัยโทษอย่าประหารลูกกับเมียของตนเลย"ได้ข้าอภัยโทษให้" ทหารชั้นผู้น้อยรีบก้มคำนับ อย่างน้อยก็ขอให้มีชีวิตอยู่เพื่อลูกและภรรยา"หึ..ว่าอย่างไรเสนาหมิงเจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่" เสนาหมิงหน้าก้มตาอัดอั้นในใจ ไม่นานนักเสนาก็สารภาพ แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังจริงๆนั้นและผู้บงการทั้งหมดนั่นก็คือ เฟิ่งจูบุตรสาวคนรองตระกูล 3"จริงรึ .." ฝ่าบาทถาม"จึงขอรับฝ่าบาทข้าเองก็ถูกความโลภครอบงำ"" ข้าไม่คิดว่าบุตรสาวตระกูลสามช่างบังอาจนักที่ทำเรื่องชั่วช้าได้ถึงเพียงนี้ " หลังจากนั้นฝ่าบาทสั่งให้องครักษ์ไปนำตัวคุณหนูเฟิ่งจูพร้อมบิดามาที่นี่ให้เร็วที่สุดฝ่าบาทนั่งคอยอยู่สักพักสองพ่อลูกก็ถูกคุมตัวเข้ามา ส่วนคนเป็นพ่อนั้นสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตนนั้นไม่ได้ทำเรื่องร้ายแรงอะไร นี่ถึงขนาดองครักษ์ต้องคุมตัวเลยหรือ"ฝ่าบาทมีเรื่อง
"เหตุใดวันนี้เจ้าถึงมาก่อนเวลาข้าเคยบอกมิใช่หรือว่าอย่าทำตามเกินคำสั่ง" ทหารของเสนาหมิงกล่าว" ถ้าใจร้อนไปหน่อย เจ้าอย่าได้ถือสาเลย" " เอาละช่างมันเถอะ" ทหารผู้น้อยบอกว่าช่างมันเถอะ แล้วยังบอกอีกว่าให้หยุดค้นการเก็บภาษีครั้งนี้ เพราะองค์ชายหานเฟิงจะทำการตรวจสอบ เส้นทางการเงินย้อนไปตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน ส่วนการเก็บภาษีครั้งนี้ค่อยมาเก็บทีหลังก็แล้วกัน แค่เรื่องนี้ผ่านไปให้ได้ก่อน"เช่นนั้นหรือ" หานเฟิงส่งสัญญาณให้องครักษ์ที่อยู่รอบๆตื่นตัวพร้อมที่จะจู่โจมทหาร"ไม่มีโอกาศสำหรับทหารผู้น้อยทรยศเช่นเจ้า" หานเฟิง ชักดาบออกมาข่มขู่แล้วถีบไปที่หน้าอกจนทหารนั้นหงายหลังไปกระแทกพื้น ต่อมาเขาก็กระโดดฟาดเตะก้านคอทหารอีกคนจนล้มประเด็นไปโดนข้าวของที่ชาวบ้านตากไว้ ส่วนอีกคนถูกกำปั้นชกไปที่เบ้าหน้าตาทั้งสองข้างเขียวช้ำ "จับมันไปขังคุกใต้ดิน" เพียงแค่ไม่กี่กระบวนท่าหานเฟิงออกคำสั่งให้องครักษ์นำทหารชั้นผู้น้อยที่ทรยศเหล่านี้ไปขังไว้ในใต้ดินอย่าให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด แต่ก่อนจะนำตัวพวกมันไปหานเฟิงต้องการรู้ว่าทหารเหล่านี้ใช้สัญญาณลับอะไรในการสื่อสารกับเสนาหมิง แล้วมีทหารผู้ใดบ้างที่เป
"ข้าดีใจด้วยที่พวกท่านนั้นอยู่สุขสบายมากกว่าเมื่อก่อนอีกทั้งทุกคนกินอิ่มนอนหลับ ข้าทั้งสองก็ดีใจมากแล้วอีกอย่างของเหล่านี้ข้านั้นกินคนเดียวไม่หมดหรอกเช่นนั้นข้าจะทำอาหารเลี้ยงฉลองให้พวกเจ้าทั้งหมู่บ้านเลยดีหรือไม่" จูเหยาจับมือยายชราส่งรอยยิ้มที่จริงใจในขณะที่พูดจบ"ดีๆๆข้าน่ะอยากกินฝีมือเจ้า ฝีมือเจ้านี่มันสุดยอดจริงๆหาผู้ใดเปรียบได้ยาก" "ข้าขอผู้ช่วยสัก 5-6 คนได้หรือไม่" " ได้สิแม่นาง" ยาชรากล่าวส่วนสามสหายที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ดีใจมากจะได้กินอาหารอร่อยๆอีกครั้งพวกเขาก้าวเดินนำหน้าและเสนอตัวที่จะเป็นผู้ช่วยอย่างเต็มใจ"พระชายาถ้าเต็มใจจะช่วยท่าน" "ข้าจะได้เรียนรู้และทำตาม" " ข้าด้วยข้าจะเอาไปสอนเมียที่บ้านจะได้ทำอาหารร่อยๆหน่อย"" ฮ่าๆ.." ทุกคนหัวเราะคึกคักเบาๆจากนั้นทุกคนช่วยกันจัดเตรียมอาหารแยกเป็นหมวดหมู่ ชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าวันนี้ไม่แม่นางนั้นจะทำอะไร ช่วยได้เพียงเตรียมวัตถุดิบให้ครบตามที่ไม่แม่นางนั้นต้องการผ่านไป 5 ชั่วยามอาหารพิเศษก็เสร็จแล้วแต่ละอย่างมีอะไรบ้าง1"เป็ดย่างกรอบนอกนุ่มใน"2"ผัดกระต่ายรสจัดนัวๆ"3" ข้าวต้มใส่เนื้อหมูสำหรับเด็กๆ"4" ขนมจีบไส้ไก่และไส้หมู" 5







