LOGINตอนที่
9
หมูตุ๋นตงพอ
อาเป่าและอาเหมย นั่งมองหม้อตุ๋นด้วยสายตาไม่กระพริบ กลิ่นหอมที่อบอวลไปทั่วกระท่อมเก่าๆ ช่างแตกต่างจากกลิ่นเหม็นอับที่คุ้นเคย
“ท่านแม่ กลิ่นหอมจนข้าท้องร้องทนไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ” อาเหมยกล่าวด้วยความตื่นเต้นเพราะนางไม่เคยได้กลิ่นอาหารที่หอมอย่างนี้ภายในกระท่อมน้อยๆ หลังนี้
“นี่คือหมูตุ๋นตงพอนะลูก ถ้าลูกได้ลิ้มรสของมัน ลูกต้องยิ้มไม่หุบเป็นแน่” หลินหว่านเอ๋อร์กล่าวพร้อมรอยยิ้มให้กับลูกสาว
“เป็นเมนูที่ต้องใช้ความพยายาม แต่ก็เป็นรางวัลสำหรับเด็กดีอย่างพวกเจ้า”
เนื้อหมูตุ๋นได้ที่ หลินหว่านเอ๋อร์ตักหมูที่ดูน่ารับประทานวางลงบนชามข้าวของลูกๆ โดยมีน้ำซอสสีเข้มเคลือบเงาเนื้อหมูอยู่
อาเป่าใช้ช้อนตักเนื้อหมูสามชั้นที่นุ่มราวกับวุ้นเข้าปากช้าๆ ทันทีที่เนื้อหมูแตะลิ้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจและดีใจ รสชาติหวานนำเค็มตาม เนื้อหมูที่ละลายในปากนั้นเต็มไปด้วยรสชาติที่ล้ำลึกและอบอุ่น
“อร่อย อร่อยมากเลยท่านแม่” อาเป่ากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอด้วยความดีใจเพราะไม่ได้กินอะไรอร่อยๆ อย่างนี้มานานแล้วตั้งแต่พ่อทิ้งไป
“แม่รู้ว่าพวกเจ้าไม่ได้กินอะไรดีๆ มานาน ต่อจากนี้ไปแม่จะไม่ใช่แม่คนเดิมอีกแล้ว แม่จะทำอาหารอร่อยๆ ให้พวกเจ้าทั้งสองกินทุกวันเลย” หลินหว่านเอ๋อร์พูดแล้วก็กอดลูกทั้งสองของนางไว้
อาเหมยไม่สนใจคำพูดของใครอีกแล้ว นางก้มหน้าก้มตากิน หมูตุ๋นตงพออย่างบ้าคลั่ง เนื้อหมูชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกกลืนหายไปพร้อมกับข้าวสวยที่คลุกเคล้าด้วยน้ำซอสอย่างเอร็ดอร่อย นางกินจนแก้มป่อง และเสื้อผ้าที่หลวมโคร่งเมื่อไม่กี่วันก่อนก็ดูคับแน่นขึ้นมาทันตา
เมื่อกินหมดชาม นางพยายามจะขยับตัวลุกขึ้นไปกอดมารดา แต่ดูเหมือนว่าท้องของนางจะขยายใหญ่จนเกินความสามารุถของร่างกายไปแล้ว
“อึก ท่านแม่ ข้าขยับไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ” อาเหมยร้องเสียงอู้อี้ ใบหน้าเล็กๆ ของนางทำหน้าเหยเกเหมือนปวดท้อง แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความสุข
หลินหว่านเอ๋อร์และอาเป่าเห็นภาพนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“นี่คงเป็นครั้งแรกที่อาเหมยกินจนอิ่มเกินไปนะเจ้าคะ” อาเป่าแซวน้องสาว
“เพราะมันอร่อยมากๆ นี่นา เอิ๊ก” อาเหมยพยายามลูบท้องกลมๆ ของตัวเอง
“ท่านแม่ท้องข้ากลมเหมือนซาลาเปาเลยเจ้าค่ะ”
หลินหว่านเอ๋อร์รีบอุ้มลูกสาวตัวน้อยขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แม้จะท้องป่องแต่ก็ยังน่ารัก
“เจ้ากินเยอะไประวังท้องแตกนะอาเหมย” อาเป่าที่นิ่งๆ ก็เอ่ยแซวน้องสาวขึ้นมาก่อนจะหัวเราะชอบใจที่เห็นท้องของน้องสาวป่องขึ้นมาอย่างนี้
“พี่อาเป่าเองก็อยากกินจนท้องแตกใช่ไหมล่ะอาหารของท่านแม่มันอร่อยจนข้าหยุดกินนี่นา”
“เอาล่ะ กินอิ่มแล้วเราก็มาฟังนิทานกันดีกว่าเดี๋ยวแม่จะเล่านิทานให้พวกเจ้าฟังนะ” หลินหว่านเอ๋อร์พูดแล้วก็เริ่มเล่านิทาน
ภายในกระท่อมอบอวลไปด้วยความสุขเล็กๆ จากสามคนแม่ลูก จงซิ่นที่กำลังเฝ้าระวังภัยให้กับสามแม่ลูก ได้กลิ่นหมูตุ๋นตงพอก็ท้องร้องประท้วงขึ้นมา
“ท่านอ๋องนะท่านอ๋อง เพราะเหตุใดถึงได้เป็นห่วงแม่ม่ายลูกสองได้มากถึงเพียงนี้ แล้วจะรู้หรือไม่ว่าข้าหิวเหลือเกินตอนนี้ แล้วยังจะห้ามปรากฎตัวอีก อยากเข้าไปขอข้าวนางกินก็ทำไม่ได้ ท่านอ๋องนะท่านอ๋อง” จงซิ่นบนพึมพำคนเดียวด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“เรียกข้าทำไมจงซิ่น” เสียงของมู่ฉางเฟิงดังขึ้นมาใกล้ๆ หูของเขาจนทำให้เขาคิดว่าตัวเองหูแว่ว
“นี่เราหิวจนหูแว่วไปแล้วเหรอนี่”
“ไม่ได้หูแว่วแต่เจ้าต้องการอะไรจากข้ากัน บอกข้ามาได้หรือไม่ ข้าอยู่ตรงหน้าของเจ้าแล้วนี่ไง” มู่ฉางเฟิงทำหน้าเข้มครึมมองจงซิ่น
“ไม่มีพะย่ะค่ะ”
“ไม่มีก็ดีแล้ว หิวก็กินนี่ซะ” มู่ฉางเฟิงยื่นห่อข้าวให้กับจงซิ่น เขารับมาด้วยความดีใจ
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” จงซิ่นรับห่อข้าวมาแล้วก็รีบกินทันทีเพราะเขาหิวมากๆ ในตอนนี้
ตอนที่14เนรมิตเรือนไม้ทำเลทอง (2) หลินหว่านเอ๋อร์สวมชุดเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน นางจูงมืออาเป่าสะพายถุงผ้าขนาดใหญ่ เดินเข้าไปในตลาดด้วยความมั่นใจเพื่อเฟ้นหาวัตถุดิบพิเศษสำหรับเมนูเปิดร้าน ก่อนออกมา นางได้ขอให้จงซิ่น ซึ่งมาดูผลงานของคนงาน ช่วยดูแลอาเหมยเป็นการชั่วคราว “อาเป่า” นางกระซิบ “วันนี้เราต้องหาพริกไทยดำเม็ดเล็กและสมุนไพรใบหยกมาให้ได้นะเพื่อทำน้ำซุปของเรา” “ได้ขอรับท่านแม่ ข้าจะถามทุกร้านที่คิดว่ามีเลยขอรับ” “เยี่ยมมากเลยลูก ช่างเป็นลูกชายที่ช่วยแม่ได้เก่งที่สุดเลยลูก” “ข้าอยากทำอาหารเก่งเหมือนท่านแม่ขอรับ” อาเป่ากล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย “เจ้าต้องทำอาหารเก่งเหมือนแม่แน่ๆ เดี๋ยวแม่สอนให้ลูกทุกอย่างเลย” อาเป่ายิ้มให้กับแม่แล้วก็เดินนำหน้ามารดาเพื่อตามหาเครื่องเทศที่มารดาต้องการ เมื่อเดินไปถึงแผงขายเครื่องเทศที่ใหญ่ที่สุด หลินหว่านเอ๋อร์กำลังจะเอ่ยปากสั่งซื้อ ทันใดนั้นเสียงตะโกนกึกก้องก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “พ่อค้า เครื่องเทศชั้นดีทั้งหมดที่เจ้ามี ข้าเหมาหมด” นายจ้างจู เจ้าของร้านบะหมี่ชื่อดังในย่านนั้น ปรากฏตัวขึ
ตอนที่14เนรมิตเรือนไม้ทำเลทอง หลินหว่านเอ๋อร์ในเรือนไม้ที่แม้จะดูใหญ่โตแต่ก็ยังว่างเปล่า นางใช้กระดานไม้ที่หามาได้วางบนโต๊ะกลาง แล้วใช้ถ่านวาดผังโครงสร้างภายในร้านด้วยสีหน้าจริงจัง “เอาล่ะลูกรัก” นางกล่าวกับอาเป่าและอาเหมยที่นั่งมองแม่อย่างสงสัย “ร้านของเราจะต้องไม่เหมือนร้านอื่นๆ ในเมืองนี้” นางลากเส้นแบ่งพื้นที่ในครัวอย่างชัดเจน “ตรงนี้จะเป็นส่วนเตรียมวัตถุดิบต้องสะอาดและมีแสงสว่างเพียงพอ ส่วนตรงนี้จะเป็นส่วนทำอาหารซึ่งต้องอยู่ใกล้กับช่องระบายอากาศและเตา” หลินหว่านเอ๋อร์อธิบายการออกแบบเตาใหม่ที่นางวางแผนไว้ “ท่านแม่จะก่อเตาแบบพิเศษ ที่ใช้ฟืนน้อยลงแต่เก็บความร้อนได้ดี ทำน้ำซุปและน้ำแกงของเรามีรสชาติคงที่ตลอดทั้งวัน” นางยังจะสั่งให้ช่างทำชั้นวางเครื่องปรุงให้แยกจากกันอย่างเป็นระเบียบตามประเภท โดยเน้นเรื่องความสะอาดและถูกสุขลักษณะเป็นหลัก อาเป่าในฐานะผู้จัดการการเงินตัวน้อย นั่งถือสมุดบันทึกและพู่กันด้วยท่าทางเคร่งขรึม เมื่อเห็นแม่วาดผังและสั่งการให้ซื้อวัตถุดิบราคาแพง เขาก็รีบท้วงขึ้นทันที “ท่านแม่ขอรับ” อาเป่าชี้ไปที่รายการซื้อไม้ชั้น
ตอนที่13เรือนไม้ทำเลทอง รถม้าของพวกเขาแล่นเข้าสู่ตลาดใหญ่ในเมืองและสุดท้ายก็เลี้ยวเข้าสู่ซอยเล็กๆ ที่มีกลิ่นอับชื้นและดูเก่าแก่ เมื่อถึงจุดหนึ่ง จงซิ่นก็หยุดรถม้า แล้วชี้ไปยังห้องแถวไม้เก่าๆ ที่เอียงกระเท่เร่เล็กน้อย ซึ่งอยู่ติดกับกองลังไม้และกองขยะของร้ายขายเนื้อที่ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา “ท่านจงซิ่น” หลินหว่านเอ๋อร์ถึงกับทำหน้าเหยเกด้วยความผิดหวัง “ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะว่านี่คือ เรือนไม้ทำเลทอง ข้าว่ามันเป็น เรือนไม้ทำเลซ่อนมากกว่านะเจ้าคะ” จงซิ่นมองตามที่นางชี้ แล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อยอย่างที่ไม่ได้ยิ้มมานาน “แม่นางหลินเข้าใจผิดแล้วขอรับ” เขาผายมือไปยังเรือนไม้อีกหลังที่อยู่ถัดจากห้องแถวโทรมๆ ไปเพียงหนึ่งคูหา “เรือนไม้ทำเลทองที่แท้จริงอยู่ที่นั่นขอรับ” หลินหว่านเอ๋อร์หันไปมองตามมือของจงซิ่น แล้วต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เรือนไม้หลังนั้นใหญ่กว่าห้องแถวที่นางเห็นในตอนแรกถึงสามเท่า มันเป็นอาคารสองชั้นที่สร้างด้วยไม้ชั้นดี มีหน้าต่างบานใหญ่กรุกระจกใสสะอาด และมีป้ายไม้เนื้อดีแขวนอยู่ด้านหน้า “นี่คือทำเลทองท
ตอนที่12เป็นที่สนใจ คุณชายเว่ยกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มที่ทำให้หลินหว่านเอ๋อร์ใจหายวาบ “แม่นางสามารถใช้หนี้ได้ในพริบตาเดียว และยังมีฝีมือการทำอาหารได้อร่อยล้ำลึกจนข้าเองก็อยากลิ้มรส...” เว่ยจื่อเหยียนเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับใช้สายตาที่ไม่บอกก็รู้ว่าเขากำลังหมายถึงทั้งอาหารที่ลิ้มรสและหมายถึงคนทำบะหมี่ไข่มังกร คำพูดของเขาทำให้หลินหว่านเอ๋อร์หน้าแดงเล็กน้อย แต่นางก็เก็บอาการไว้ทันที นางตระหนักได้ว่าตนเองถูกบุรุษสูงศักดิ์ถึงสองคนจับจ้อง นางหันกลับไปเผชิญหน้ากับจงซิ่นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความระแวง “ท่านจงซิ่น” หลินหว่านเอ๋อร์กดเสียงต่ำ “เจ้านายของท่านต้องการส่วนแบ่งอะไรจากข้ากันแน่” “ต้องการให้อาหารของเจ้าเป็นที่รู้จักอย่างไรเล่า” จงซิ่นตอบนางแล้วก็มองดูลูกๆ ของนางที่กำลังเกาะขาของนางอยู่ อีกคนก็มองหน้าจงซิ่นสลับกับเว่ยจื่อเหยียน “เอาล่ะข้าตกลงที่จะเปิดร้านของข้าที่เรือนไม้ทำเลทองของนายท่านของท่านแต่ข้ามีเงื่อนไข” “เงื่อนไขอะไรขอรับ” จงซิ่นที่กำลังรอคำตอบจากหลินหว่านเอ๋อร์ เว่ยจื่อเหยียนก็พูดแทรกขึ้นมา “ข้าต้องขอตัวก่อนแม่นางหลิน เมื่อไหร่ที่เ
ตอนที่11เงินลงทุนหลินหว่านเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบาสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน นางลุกขึ้นอย่างเงียบๆ และเดินไปยังที่ซ่อนเงินที่ขุดไว้ใต้พื้นดิน นางนำถุงผ้าออกมาอย่างระมัดระวัง เมื่อคลี่ดูเงินที่รวบรวมมาได้ นางก็นับจำนวนอย่างละเอียด“บะหมี่ที่ขายได้เมื่อวาน ค่าแรงที่จงซิ่นให้มันมากมายเหลือเกิน และดวงตาของหลินหว่านเอ๋อร์เบิกกว้างเมื่อเห็นก้อนเงินแท้ที่สลักอย่างสวยงาม วางอยู่ปะปนกับอีแปะ นางจำได้ว่าเงินก้อนนี้เป็นของลูกค้าที่ยกบะหมี่ชามสุดท้ายให้กับอาเหมย “ลูกค้าลึกลับผู้สั่งบะหมี่คนนั้น เขาเป็นใครกันแน่และเหตุใดจึงให้ก้อนใหญ่เกินความจำเป็นเช่นนี้ เขาต้องการอะไร” ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเชฟสาวทะลุมิติมา แต่นางก็เก็บความสงสัยไว้ก่อนเพราะความจำเป็นในการเริ่มต้นชีวิตใหม่นั้นสำคัญกว่าความสงสัยในตอนนี้นางตัดสินใจซ่อนเงินก้อนนั้นไว้ในตัวเพื่อใช้เป็นทุนสำรองและเริ่มปลุกลูกๆ“อาเป่า อาเหมย” หลินหว่านเอ๋อร์เรียกลูกทั้งสองของนางที่ตอนนี้กำลังนอนงัวเงียไม่ยอมตื่นอาจจะเป็นเพราะเมื่อวานเด็กทั้งสองช่วยงานแม่อย่างหนักและเหนื่อยมากๆ นางยื่นแก้มไปแนบกับแก้มของบุตรชายและบุตรสาวเบ
ตอนที่10ราตรีกาลอันตราย (2) นักเลงเสี่ยวซ่านกำลังก้มดูรองเท้าที่เปื้อนขี้หมาอย่างรังเกียจ ขณะที่ไอ้หู่กำลังจะเริ่มปฏิบัติการงัดประตู ฉัวะ!!! เงามืดที่ว่องไวดุจสายฟ้าก็พุ่งลงมา จงซิ่นเคลื่อนไหวราวกับนักล่าผู้สง่างาม คราวนี้เขาใช้เทคนิคที่เน้นความเฉียบขาดเพื่อปิดปากพวกมันทันที ตูม!!! จงซิ่นใช้สันมือที่แข็งแกร่ง กระแทกเข้ามาที่จุดรวมเส้นประสามบริเวณคอของนักเลงไอ้หู่ที่กำลังยื่นมือไปเกาคอตัวเองอย่างแม่นยำ ร่างของมันล้มพับลงไปกองกับพื้นโดยไม่มีแม้แต่เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด จงซิ่นหมุนตัวอย่างรวดเร็ว นักเลงเสี่ยวซ่านกำลังจะร้องโวยวายด้วยความตกใจ “แกเป็นใครวะ” ผัวะ!!! จงซิ่นใช้ฝ่ามือกระแทกที่กระพุ้งแก้มของมันอย่างรุนแรงแต่รวดเร็ว ทำให้เสี่ยวซ่านลิ้นพันกันและไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ จากนั้นจึงใช้เท้าเกี่ยวขาให้ล้มลง โดยจงใจให้เท้าเปื้อนขี้หมาเหยียบใบหน้าของไอ้หู่ที่สลบไปแล้ว ก่อนจะใช้ฝ่ามือกระแทกที่ท้ายทอย มันไม่ได้ตั้งตัว ก็แน่นิ่งไปในทันที ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที จงซิ่นจัดการมัดร่างนักเลงทั้งสองไว้กับลำต้นหลิวอย่างร







