"โอ๊ยยยยย" หลินเสี่ยวเหยาครางออกมาอย่างทรมาน เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างมึนงง ภาพตรงหน้าพร่าเลือนก่อนจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เผยให้เห็นห้องนอนไม้เก่าๆ ทรุดโทรม แสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆ ส่องกระทบใบหน้าซีดเซียวของเธอ ความเจ็บแปลบแล่นริ้วไปทั่วศีรษะราวกับเพิ่งถูกกระแทกอย่างแรง
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน" หลินเสี่ยวเหยาบ่นพึมพำกับตัวเอง เธอลุกขึ้นนั่งแล้วสำรวจตัวเอง หญิงสาวไม่พบร่องรอยบาดแผลจากฝูงซอมบี้แม้แต่น้อย
"นี้ฉันจะฝันไปหรือเปล่า... ที่นี่คือที่ไหนกันแน่?" หลินเสี่ยวเหยาครุ่นคิดอย่างสับสน
ทันใดนั้น ความทรงจำของเจ้าของร่างนี้ก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวของเธอราวกับเขื่อนแตก หลินเสี่ยวเหยาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอจำได้ทันที… ว่าเธอเข้ามาอยู่ในนิยายที่เพิ่งอ่านจบไปก่อนที่จะตายนี่นา! และที่ร้ายยิ่งกว่านั้น เธอยังมาอยู่ในร่างของนางร้าย ‘หลินเสี่ยวเหยา’ ที่ดันมีชื่อเหมือนกับเธออีก
หญิงสาวพยายามตั้งสติ พยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันนี้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก เห็นทุ่งนาเขียวขจีและภูเขาสูงตระหง่าน
ที่แห่งนี้อยู่ในยุคมืดในปี 1970 ผู้คนต้องตรากตรำแลกหยาดเหงื่อเพื่อหาอาหารและปัจจัยสี่ หลินเสี่ยวเหยาในชาตินี้กำเนิดในครอบครัวที่ไม่ลำบากนัก แต่โชคชะตาเล่นตลก กลับพรากทุกสิ่งไปจากเธอในพริบตาเดียว บิดามารดาของเจ้าหล่อนจากไปอย่างไม่มีวันกลับ หล่อนโดนคุณลุงใหญ่กับป้าใหญ่ที่มาขออาศัยกับพ่อแม่ของเธอยึดบ้านของเธอไป ไล่พวกเธอสองพี่น้องไปอยู่บ้านท้ายหมู่บ้าน แต่โชคดีที่เจ้าตัวยังฉลาด พอเอาทรัพย์สินของบิดามารดาของหล่อนติดตัวมาด้วย ไม่อย่างนั้นความเป็นอยู่ของสองพี่น้องคงจะแย่กว่านี้
ความสูญเสียครั้งใหญ่นี้ ตีตราอยู่ในใจดวงน้อยของหญิงสาว จนกลายเป็นแผลในใจ ความแข็งกร้าว ความเห็นแก่ตัว และความเย็นชาเข้ามาแทนที่ความไร้เดียงสา หลินเสี่ยวเหยาสร้างเกราะป้องกันตัวเองจากโลกอันโหดร้าย แต่กลับกลายเป็นชนวนแห่งความเกลียดชังจากคนรอบข้าง
ข่าวลือใส่ร้ายป้ายสีถูกเล่าขานต่อกันไปปากต่อปาก จนหลินเสี่ยวเหยากลายเป็นสตรีที่น่ารังเกียจในสายตาคนทั้งหมู่บ้าน ถูกตราหน้าว่าเป็นหญิงสาวจอมเกียจคร้านไม่เอาการเอางาน วันๆ มัวแต่ตามผู้ชาย
และเจ้าของร่างนี้ยังมีน้องชายวัย 10 ขวบ ซึ่งเธอจะปล่อยให้เด็กน้อยต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกับในนิยายไม่ได้ เธอจะต้องเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างเธอจะไม่ยอมให้ตัวเธอเองและน้องชายต้องพบกับจุดจบที่น่าอนาถเหมือนกับในนิยายเป็นอันขาด หลินเสี่ยวเหยาสูดลมหายใจเข้าลึก
“เฮ้อ...ทำไมฉันไม่ไปเกิดในร่างตัวเอกเทพทรู ที่มีขาทองคำกับเขาบ้างนะ” หลินเสี่ยวเหยาถอนหายใจด้วยความท้อแท้ แต่โชคดีอยู่อย่างหนึ่ง ที่เจ้าของร่างนี้ยังไม่สร้างความเกลียดชังให้ชาวบ้านทั่วไปเท่าไหร่ ชาวบ้านยังแค่นินทาว่าหล่อนเป็นแค่หญิงสาวขี้เกียจสันหลังยาวเท่านั้น หลินเสี่ยวเหยาเชื่อว่าเธอยังพอมีเวลาแก้ไขเรื่องราวต่างๆ ให้ดีขึ้น
"แต่ไม่เป็นไร" เธอพูดกับตัวเองเบาๆ "ถึงแม้ว่าฉันตอนนี้จะอยู่ในร่างของนางร้าย แต่ฉันก็จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเองและน้องชายให้จงได้ ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้น้องชายฉันหิวโซและทำงานหนักจนตายหรอกนะ"
หลินเสี่ยวเหยาลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่หน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก เธอเห็นผู้คนกำลังเดินไปหาของป่า ทุกอย่างดูสงบสุข ไม่มีวี่แววของซอมบี้หรือหายนะใดๆ
"โชคดีเหลือเกิน ที่โลกโลกนี้ยังปกติดีอยู่" หญิงสาวถอนหายใจ ก่อนจะหันกลับมาสำรวจห้องนอนอีกครั้ง
หญิงสาวเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง เธอจ้องมองดูใบหน้าของตัวเองในกระจกอย่างละเอียด หญิงสาวในกระจก มีผิวขาวเนียน ดวงตากลมโต จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอิ่มเอิบ นี่คือใบหน้าของนางร้ายในนิยายที่เธออ่านจบไป แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นใบหน้าของเธอแล้ว
"สวยไม่หยอกเลยแฮะ" หลินเสี่ยวเหยาพึมพำกับตัวเอง เธออดไม่ได้ที่จะชื่นชมใบหน้างดงามที่ตอนนี้เป็นของเธอแล้ว
"แต่เสียอย่างเดียว นางร้ายคนนี้ช่างน่าสมเพช" เสี่ยวเหยาคิดในใจ
"แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ คนสวย" คนร่างบางพูดกับภาพสะท้อนในกระจก "ฉันจะไม่ยอมให้ชีวิตของเธอต้องเจอจุดจบเช่นนั้นหรอก"
มือบางลูบไล้รอยสักรูปดอกบัวสีเงินบนหลังมืออย่างแผ่วเบา รอยสักนี้เป็นสิ่งเดียวที่ติดตัวเธอมาจากโลกเดิม มันเป็นจุดศูนย์รวมเชื้อไวรัส ทำให้เธอสามารถใช้พลังพิเศษธาตุมิติของเธอได้
"เสียดายจัง ถ้ามิติธาตุของฉันติดตามมาด้วยก็คงจะดีไม่น้อย" เธอพึมพำอย่างเสียดาย มิติธาตุของเธอเป็นสมบัติล้ำค่าที่ช่วยให้เก็บของได้ไม่จำกัด
ทันใดนั้น แสงสว่างจ้าก็พวยพุ่งออกมาจากรอยสักนั้น จนหลินเสี่ยวเหยาต้องยกมือขึ้นป้องแสง แม้จะหลับตาแน่น แต่แสงนั้นก็ยังคงส่องทะลุเปลือกตาบางเข้ามา
ผ่านไปเพียงเสี้ยววินาที ลำแสงนั้นก็ดับวูบลง หลินเสี่ยวเหยาลืมตาขึ้นอย่างระมัดระวัง ก่อนจะขยี้ตาเบาๆ เมื่อเธอมองไปที่หลังมือ ก็พบว่ารอยสักยังคงอยู่ แต่กลับเรืองแสงสีเงินจางๆ ก่อนจะค่อยๆ จางหายไป
"หรือว่า... มิติธาตุของเธอจะ..." หลินเสี่ยวเหยาพึมพำกับตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนที่หญิงสาวจะหลับตาลงอีกครั้ง มือบางเอื้อมไปแตะรอยสักบนหลังมือเธอหายตัวเข้าไปในมิติทันที
สิ่งที่เธอเห็นเบื้องหน้าทำให้เธอเบิกตากว้าง คือมิติส่วนตัวขนาดใหญ่ ที่มีห้างสรรพสินค้าอยู่ในนั้น มันเป็นห้างที่เธอเคยเข้าไปเก็บของก่อนที่เธอจะเสียชีวิตในชาติก่อน ในห้างสรรพสินค้ามีทุกอย่างครบครัน ทั้งอาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค และอื่นๆ อีกมากมาย ในชาติที่แล้วเธอใช้มิติเพียงที่เก็บของเท่านั้นเธอไม่สามารถเข้าไปหลบซอมบี้ในมิติได้
"ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์" หลินเสี่ยวเหยากล่าวอย่างตื้นตัน เธอยกมือยกขึ้นพนมไหว้ไปรอบทิศอย่างสำนึกบุญคุณ
"ในที่สุด ฉันก็ไม่ต้องอดตายแล้ว "เธอบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะออกจากมิติหันมาสำรวจบ้านดินหลังเล็กที่เธอไม่คุ้นเคย
"สภาพบ้านแบบนี้ มิน่าล่ะน้องชายของนางร้ายหลินเสี่ยวเหยา ถึงได้ทำงานหนักจนหิวตาย" หล่อนบ่นพึมพำกับตัวเอง
สายตาของเธอมองไปรอบๆ บ้าน เห็นเพียงความทรุดโทรม บ้านดินที่ผนังแตกร้าว หลังคามุงจาก ที่เต็มไปด้วยรูรั่ว ต้นไม้ใหญ่ขึ้นรกครึ้มบดบังแสงแดดจนภายในบ้านมืดสลัว ถนนหนทางก็เป็นเพียงทางดินขรุขระ
เมื่อเธอเดินออกมาตรงลานบ้าน หญิงสาวเห็นร่างเล็กๆ ของเด็กน้อยกำลังง่วนอยู่กับการผ่าฟืน เสียงขวานกระทบกับท่อนไม้ดังขึ้นเป็นจังหวะ สลับกับเสียงหอบหายใจของเด็กชายที่ดูเหนื่อยล้า เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นทั่วใบหน้าเล็กๆ นั้น ร่างกายที่ผอมบางดูแทบจะรับน้ำหนักของขวานไม่ไหว
"เสี่ยวหมิง! หยุดทำงานก่อนเร็ว!" เสียงของหลินเสี่ยวเหยาดังขึ้นมาจากด้านหลัง เด็กชายชะงักมือที่กำลังง้างขวานขึ้น เขาหันกลับไปมองต้นเสียงด้วยความประหลาดใจ พี่สาวไม่เคยเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบนี้มาก่อน
"มาทานข้าวได้แล้ว พี่เตรียมกับข้าวไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว" หลินเสี่ยวเหยายิ้มให้เสี่ยวหมิงอย่างอบอุ่น ทำให้เด็กชายรู้สึกแปลกใจ
เมื่อหลินเสี่ยวเหยาไม่เห็นน้องชายเดินตามมาเสียที คนเป็นพี่สาวจึงเดินไปหาเด็กน้อยก่อนจูงมือเขาพาไปที่โต๊ะไม้เก่าๆ ที่ตั้งอยู่ลานหน้าบ้าน เธอได้นำอาหารจากห้างสรรพสินค้าที่อุ่นไว้นำออกมาวางไว้บนโต๊ะ กลิ่นหอมของอาหารโชยไปทั่วบริเวณ
"เสี่ยวหมิง กินข้าวเยอะ ๆ น่ะ พี่มีกับข้าวเหลืออีกเยอะ" หลินเสี่ยวเหยาคีบผัดผักใส่จานของน้องชายด้วยความรักใคร่
ดวงตากลมโตของเสี่ยวหมิงเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น เขาไม่เคยเห็นอาหารมากมายขนาดนี้มาก่อน ปกติแล้วครอบครัวของเขามีเพียงข้าวเปล่ากับผักดองเท่านั้น แต่ในวันนี้กลับมีทั้งผัดผัก เนื้อหมูผัดพริกหยวก ไข่เจียว และซุปใส
"ขอบคุณครับพี่สาว" หลินเสี่ยวหมิงตอบรับเสียงเบา ก่อนจะก้มลงกินข้าวอย่างหิวโหย
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ เธอก็เริ่มสำรวจบ้านที่เธออาศัยต่อทันที บ้านของเธอในตอนนี้ทรุดโทรมจนน่าใจหาย รั้วไม้เก่าผุพัง หลังคารั่ว ทั่วทุกมุมเต็มไปด้วยคราบสกปรก หลินเสี่ยวเหยาสำรวจบ้านด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เธอรู้ว่าต้องซ่อมแซมบ้านโดยด่วน แต่เงินที่มีติดตัวก็แทบไม่เหลือแล้วเนื่องจากเจ้าของร่างเดิมได้ใช้เงินไปซื้อของนำไปฝากให้กับหลี่เหว่ยเฉียงพระเอกของเรื่อง
"เสี่ยวหมิง" เธอเรียกน้องชายที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ที่โต๊ะไม้เก่า "พี่สาวจะออกไปข้างนอกสักหน่อย เดี๋ยวพี่สาวจะรีบกลับมานะ"
หลินเสี่ยวหมิงเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวด้วยแววตาใสซื่อ "พี่สาวจะไปไหนเหรอครับ"
"เดี๋ยวพี่จะไปหาเงินมาซ่อมบ้านเราไงจ๊ะ" หลินเสี่ยวเหยายิ้มให้น้องชายอย่างอ่อนโยน
แม้ว่าเด็กชายจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่หลินเสี่ยวหมิงก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย หลินเสี่ยวเหยาเดินเข้าไปในห้อง เธอหยิบชุดกระโปรงลายดอกไม้สีฟ้าอ่อนออกมาสวมใส่ มันเป็นชุดที่เธอตั้งใจเลือกมาจากห้างสรรพสินค้า มันเป็นเสื้อย้อนยุค เธอคิดว่าน่าจะเหมาะกับยุคนี้มากที่สุด
หญิงสาวใช้เวลาแต่งตัวนานกว่าปกติหลังจากอาบน้ำในตุ่มไม้ที่เสี่ยวหมิงตักน้ำมาจากลำธารหลังบ้าน
"คราวหลังฉันจะต้องทำห้องน้ำเพิ่มแล้ว" เธอคิดในใจในขณะที่บรรจงแต่งแต้มใบหน้าอยู่หน้ากระจกเก่าบานเล็ก
หลินเสี่ยวเหยาเป็นสาวน้อย วัย 17 ที่งดงามตามธรรมชาติ ผิวขาวผ่อง ดวงตากลมโตเป็นประกาย ริมฝีปากอิ่มเอิบสีชมพูระเรื่อ แต่ในวันนี้เธอแต่งหน้าแบบบางเบาที่ดูเหมือนไม่แต่ง ปัดแก้มด้วยสีชมพูอ่อนๆ เพิ่มความอวบอิ่มของริมฝีปากด้วยลิปมันสีชมพูอ่อน
แต่สิ่งที่ทำให้หลินเสี่ยวเหยาแตกต่างจากเดิมในวันนี้เธอฉีดน้ำหอมที่เธอหิ้วออกมาจากห้างสรรพสินค้าที่อยู่ในมิติของเธอ กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์ผสมผสานกับกลิ่นผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน สร้างความสดชื่นและน่าหลงใหล
"สวยฉ่ำ มากแม่!" เธอมองตัวเองในกระจกก็พบกับใบหน้าที่พราวเสน่ห์ แต่เมื่อแต่งเติมนิดหน่อยก็ยิ่งสวยสง่าราวกับคุณหนูในเมืองหลวง เธออมยิ้มอย่างพอใจกับผลงานของตัวเอง
หลินเสี่ยวเหยานำตะกร้าสานมาถือไว้ข้างในบรรจุพวกของผักผลไม้ที่เธอจะนำไปขายที่ตลาดมืด ปิดทับด้วยผ้าขาวสะอาดตา ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา รถไฟขบวนพิเศษจากเมืองหลวงก็แล่นเข้าสู่สถานีรถไฟเมืองจินหลง หยางกั๋วเฉิงและหลิวซิวหยวน พ่อแม่ของหยางเฟิง ย่างก้าวลงจากรถไฟด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข ท่ามกลางเสียงต้อนรับของลูกชายและลูกสะใภ้ที่มารอรับอย่างพร้อมหน้า"คุณพ่อ คุณแม่" หยางเฟิงโผเข้ากอดพ่อแม่ด้วยความคิดถึง น้ำตาคลอหน่วย "ผมคิดถึงพ่อกับแม่เหลือเกิน""ลูกชายแม่" หลิวซิวหยวนลูบหลังลูกชายเบาๆ ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "แม่ก็คิดถึงลูกเหมือนกัน"หยางกั๋วเฉิงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "เจ้าสามแกโตเป็นหนุ่มแล้วนะ แถมยังจะแต่งงานมีครอบครัวอีกต่างหาก""แล้วนี่หลินเสี่ยวเหยา คู่หมั้นของลูก ใช่ไหม?" หลิวซิวหยวนเอ่ยถามพลางมองไปยังหญิงสาวหน้าหวานที่ยืนข้างๆ ลูกชายด้วยสายตาเอ็นดู"สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่ หนูชื่อหลินเสี่ยวเหยาค่ะ" หลินเสี่ยวเหยาโค้งคำนับอย่างนอบน้อม"หนูเสี่ยวเหยา ไม่ต้องมากพิธีหรอก" หยางกั๋วเฉิงยิ้มให้หลินเสี่ยวเหยาอย่างเป็นมิตร "พ่อได้ยินเรื่องของลูกจากเจ้าสามมาเยอะพอสมควร พอได้มาเห็นตัวจริงแล้วน่ารักกว่าที่คิดไว้มาก""จริงสิ พี่ชายคนโตของพ่อกับลูกสะใภ้ก็มาด้วยนะ"
เสียงไซเรนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณโรงแรมหลงหยวนชุน เซียวจิ้งหนานและเจียงเหม่ยหลิงถูกใส่กุญแจมือถูกลากตัวไปขึ้นรถทหาร หยางเฟิงหัวหน้าหน่วยที่ 13 ปาดเหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผาก เขาหันไปสั่งการเจียงเฉินเพื่อนสนิทของเขา"เจียงเฉิน นายรีบพาหลินฮวาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!" หยางเฟิงสั่งการด้วยน้ำเสียงเข้มเจียงเฉินพยักหน้ารับคำสั่งอย่างรวดเร็ว เขารับร่างบอบบางของหลินฮวาที่หมดสติไปจากหัวหน้าหน่วยอย่างระมัดระวัง ใบหน้าซีดเผือดของหลินฮวามีรอยไหม้จากน้ำกรดปรากฏให้เห็นเป็นบาดแผลที่น่ากลัว ใบหน้าของเธอเสียหายไปทั้งใบหน้า เจียงเฉินกัดฟันแน่น เขาอุ้มหลินฮวาขึ้นรถ รีบบึ่งไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีเมื่อไปถึงโรงพยาบาล ทีมแพทย์และพยาบาลต่างก็กรูเข้ามาช่วยเหลือหลินฮวาอย่างเร่งด่วน พวกเขาเข็นเตียงของหลินฮวาเข้าห้องฉุกเฉินทันที เจียงเฉินมองตามร่างของหญิงสาวที่หายลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน"คุณหมอครับ อาการของเธอจะเป็นยังไงบ้างครับ" เจียงเฉินถามคุณหมอเมื่อเห็นทีมแพทย์ออกจากห้องฉุกเฉินมา"อาการของเธอค่อนข้างสาหัส ของเหลวที่เธอได้รับเข้าไปนั้นเป็นกรดที่มีฤทธิ์รุนแรงมาก ตอนนี้เ
หลังจากได้ข้อมูลทั้งหมดจากหลี่เหว่ยแล้ว หลินเสี่ยวเหยาก็รีบแจ้งหยางเฟิงถึงแผนที่จะไปช่วยลูกชายของหลี่เหว่ยที่บ้านพักตากอากาศชานเมืองจินหลงทันทีหยางเฟิงแสดงสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด "เหยาเหยา เธอแน่ใจนะว่าจะไปเอง? ไม่ให้พี่ไปด้วย"หลินเสี่ยวเหยาส่ายหน้า "ไม่เป็นไรหรอกพี่เฟิง พี่ไปจัดการเรื่องจับกุมเซียวจิ้งหนานเถอะ เรื่องหลี่เหว่ยตงฉันจัดการเองได้" เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น"แต่ว่า..." หยางเฟิงยังคงลังเล"ไม่มีแต่ค่ะ ฉันดูแลตัวเองได้ พี่ไม่ต้องห่วง" หลินเสี่ยวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พร้อมส่งยิ้มหวานละมุนให้คู่หมั้นหนุ่มหยางเฟิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย "ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเหยาเหยาก็ระวังตัวด้วยนะ มีอะไรโทรมาที่ค่ายทหารติดต่อพี่ได้ตลอด"หลินเสี่ยวเหยาพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน "ค่ะ...พี่เฟิง งั้นเดี๋ยวฉันขอยืมรถพี่เฟิงหน่อยนะคะ""เหยาเหยาขับรถเป็นด้วยหรือครับ" หยางเฟิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะไม่เคยเห็นหลินเสี่ยวเหยาขับรถมาก่อน"ฉันขับรถเป็นค่ะ" หลินเสี่ยวเหยากล่าวอย่
แสงอาทิตย์สีทองค่อยๆ ลับหายไปหลังแนวขุนเขา ทิ้งไว้เพียงสีส้มจางๆ ระบายขอบฟ้า แต่แสงนั้นไม่อาจบรรเทาความร้อนรุ่มในใจของเจียงเหม่ยหลิงได้เลยแม้แต่น้อย รถยนต์คันใหญ่เคลื่อนตัวเข้าสู่เมืองจินหลงในยามพลบค่ำ เธอหันไปสั่งคนสนิทเสียงเข้ม"ไปสืบเรื่องหลินฮวาที่ร้านจินหยวนมาให้ฉันเดี๋ยวนี้"รถยนต์ยังคงแล่นไปตามถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและรถลาก เจียงเหม่ยหลิงมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ที่คุ้นเคยกลับดูหม่นหมองลงในสายตา"นายหญิงครับ" เสียงของลูกน้องคนสนิทดังขึ้น ทำให้เจียงเหม่ยหลิงละสายตาจากภาพด้านนอก"ว่าอย่างไร" เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงแววเคร่งขรึม"คุณเซียวได้ไถ่ตัวหลินฮวาจากร้านจินหยวนจริงครับ จากการสืบปากคำเจ้าของร้านทำให้ทราบว่าตอนนี้เธอพักอยู่ที่โรงแรมหลงหยวนชุน" ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยรายงานเจียงเหม่ยหลิงกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ความโกรธเกรี้ยวประดุจเปลวไฟลุกโชนขึ้นในอก เธอหวนนึกถึงคำพูดของบรรดาอนุภรรยาของเซียวจิ้งหนานที่คอยพูดจาดูถูกเหยียดหยาม ชอบโอ้อวดเรื่องสามีให้เธอฟัง แม้จะโกรธเพียงใด แต่เจียงเหม่ยหลิงก็รู้ดีว่าเธอต้องอดทน เธอรู้ว
ไม่ถึงสิบนาที ประตูห้องสอบสวนก็เปิดออกอีกครั้ง ร่างระหงของหลินเสี่ยวเหยาปรากฏขึ้น เธอเดินอย่างสง่าผ่าเผยออกมาจากห้อง ทิ้งให้หลี่เหว่ยจมอยู่กับความคิดอันสับสนวุ่นวายเพียงลำพังทันทีที่ก้าวพ้นประตู หลินเสี่ยวเหยาต้องเผชิญหน้ากับบุรุษสองนายที่ยืนรออยู่ หยางเฟิงในชุดทหารที่ดูสง่างามยืนรออยู่เคียงข้างพลตรีเฉินกั๋วชิง ผู้บังคับบัญชาของเขา ดวงตาคมกริบของหยางเฟิงจับจ้องมาที่หลินเสี่ยวเหยาอย่างร้อนรน ความอยากรู้ฉายชัดอยู่ในแววตา"เหยาเหยา เป็นยังไงบ้าง หลี่เหว่ยมันยอมปริปากหรือยัง?" เสียงทุ้มเข้มของพันตรีหนุ่มดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบของทางเดินหลินเสี่ยวเหยาหยุดยืนอยู่หน้าหยางเฟิงและพลตรีเฉินกั๋วชิง เธอสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะตอบ "แน่นอนค่ะว่าหลี่เหว่ยสารภาพ" เธอตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศหยางเฟิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขาและเหว่ยเจี้ยน ต่างก็เค้นสอบสวนหลี่เหว่ยมาตลอดทั้งอาทิตย์ ใช้ทั้งวิธีข่มขู่และทรมานสารพัด แต่หัวหน้ากลุ่มกบฏก็ยังคงปิดปากเงียบ ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวแต่หลินเสี่ยวเหยาที่เข้าไปในห้องสืบสวน
ท้องฟ้าเหนือเมืองจินหลงยังคงมืดครึ้ม แม้แสงอาทิตย์แรกของวันใหม่จะเริ่มสาดส่อง ทว่าบรรยากาศในเซฟเฮาส์ลับกลับเย็นเยียบราวกับถูกปกคลุมด้วยเงามืดเซียวจิ้งหนานนั่งนิ่ง สายตาคมกริบจับจ้องไปยังลูกน้องที่ยืนตัวสั่นอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าที่ถึงจะมีอายุเยอะแต่ก็ยังคงความหล่อเหลา บัดนี้ใบหน้าเขากลับบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยวเมื่อทุกสิ่งที่เขาได้วางแผนไว้ล้มเหลวไม่เป็นท่า"นายท่านผมมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ ผมได้รับรายงานว่าค่ายของพวกกบฏที่เราสนับสนุนถูกทหารบุกโจมตีตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วครับ" เสียงของลูกน้องรายงานด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "อาวุธและคนของเราถูกจับยึดไปทั้งหมด...""ว่ายังไงนะ!" เสียงทุ้มต่ำของเซียวจิ้งหนานดังก้องไปทั่วห้องทำงานเมื่อได้ยินข่าวร้าย "ค่ายของเราถูกพวกทหารรัฐบาลบุกโจมตีงั้นเหรอ?"แก้วเหล้าคริสตัลที่บรรจุของเหลวสีอำพันล้ำค่าหลุดร่วงจากมือหนา กระทบกับพื้นหินอ่อนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ของเหลวสีทองอร่ามไหลนองไปทั่วพรมเปอร์เซียราคาแพง"ครับนายท่าน" ลูกน้องคนสนิทก้มหน้าลงต่ำด้วยความหวาดกลัว "พวกมันบุกเข้ามาโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว ทำให้คนของเราเสียชีวิ