Masukเฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิง และเฉินจางหย่ง เมื่อเปิดเผยตัวตนออกไปแล้ว ก็รู้สึกสบายใจถึงแม้พวกเขาจะรู้สึกว่า พวกนางยังคงหวาดระแวง และไม่ไว้ใจเท่าใดนัก แต่ได้เท่านี้พวกเขาก็ดีใจมากแล้วเฉิ
“ท่านปู่ พี่ซีฮัน พี่เจียวหมิง พี่จางหย่ง ข้าอยากเก็บเรื่องวันนี้เป็นความลับ ได้หรือไม่เจ้าค่ะ” “ได้สิเจ้าไม่ต้องกังวล” ชายชรารีบรับปากทันที และอีกสามบุรุษก็พยักหน้าเป็นการรับปากเช่นเดียวกัน “ขอบคุณเจ้าค่ะ” “พวกข้าได้ไปติดต่อซื้อที่ดินรอบ ๆ จวนของเจ้ามาแล้ว พวกเขาตกลงขายให้อย่างเต็มใจ เพราะพวกข้าเสนอราคา ให้มากกว่าราคาในท้องตลาด” ซิ่วอิงได้ยินก็ยกยิ้มพอใจ ก่อนจะรีบเอ่ยขึ้น “เท่าไหร่หรือเจ้าคะ หากให้ข้าจ่ายทีเดียวข้าคงไม่มีเงิน แต่ว่าจะข้าทยอยจ่ายเป็นงวด ๆ เพราะช่วงนี้ข้าจะให้ช่างมาปลูกเรือนทางด้านหลัง คงต้องใช้เงินมาก พวกท่านจะว่าอะไรหรือไม่ หากข้าจะฝากโฉนดไว้กับพวกท่านเอาไว้ก่อน เมื่อใดที่ข้ามีเงิน แล้วจะรีบมาจ่ายและค่อยนำโฉนดไป” “ไม่เป็นไร ๆ โฉนดอยู่ที่ข้าเองแหละ ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าเข้าไปอยู่ได้เลย มีเมื่อไหร่ก็ค่อยมาจ่ายให้ข้า ถือเสียว่าเป็นการตอบแทน ที่พวกเจ้าช่วยชีวิตหลานชายของข้า แต่ว่าข้าอยากจะปลูกจวนติดกับเจ้า จะได้ไปหาสู่กันสะดวก เจ้าจะว่าอย่างไร?” ซิ่วอิงยิ้มออกมาอย่างดีใจ เมื่อท่านปู่อนุญาตให้เข้าไปใช้ที่ดินได้ หากเขาต้องการจะปลูกจวนติดกับนาง เรื่องแค่นี้จะเป็นไรไป “ข้าไม่ขัดข้องเจ้าค่ะ” “ขอบคุณท่านปู่” เด็กทั้งห้ารีบลุกขึ้นแล้วโค้งคำนับขอบคุณอย่างอ่อนน้อม ชายชรามองอย่างเอ็นดู หากเขาได้อยู่ใกล้ ๆ เด็กพวกนี้ เขาคงมีความสุขไม่น้อย ทางด้านเจ้าเมืองเสิ่นอี้ห่าวและนายอำเภอจินป๋อเหวิน ที่ยามนี้นั่งเดินหมากกันอย่างผ่อนคลาย แต่แฝงไปด้วยความจริงจัง ต่างคนต่างมองเกมบนกระดานอย่างครุ่นคิด “มีคนพูดถึงข่าวหมู่บ้านไฉ่หลินบ้างหรือไม่?” เสิ่นอี้ห่าวเอนหลังไปพิงเก้าอี้ แล้วเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่ม ด้วยท่าทีผ่อนคลาย “ไม่มีเลยขอรับ แผนนี้ดีจริง ๆ โรคระบาดใคร ๆ หวาดกลัว แม้จะฟังดูเหี้ยมโหด แต่เพื่อรักษาชีวิตคนส่วนมาก จึงไม่มีใครลุกขึ้นมาตำหนิขอรับ” จินป๋อเหวินนึกพอใจ กับแผนของท่านเจ้าเมือง ที่แยบยลยิ่งนักไม่มีใคร คิดสงสัยเลยแม้แต่น้อย เสิ่นอี้ห่าวหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ทุกคนต่างมีความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมีข่าวโรคระบาดที่ร้ายแรงและแพร่ระบาดได้ง่าย ทุกคนก็ต่างรักตัว กลัวตายด้วยกันทั้งนั้น ชีวิตคนในหมู่บ้านไฉ่หลิน แลกกับพลเมืองเหยียนฟาง ผู้คนย่อมตัดสินได้ว่าจะเลือกฝ่ายไหน “เจ้าแน่ใจนะว่าคนของเจ้า ฆ่าทุกคนหมดแล้วจริง ๆ” “แน่ใจขอรับ” “ดีโฉนดที่ดินก็ถูกเผาทำลายไปแล้ว ปล่อยให้เรื่องเงียบไปซักพัก เดี๋ยวข้าจะทำทีว่าไปบูรณะที่ดิน และส่งทหารเข้าไปสำรวจพื้นที่ แค่นี้ทุกอย่างก็เรียบร้อย” “แต่ว่าที่ดินแถบนั้นกว้างใหญ่มาก ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลามากเท่าใด ถึงจะหาจุดที่มีแร่ทองคำเจอ และสมบัติที่ถูกฝั่งเอาไว้หลายร้อยปี ขนาดพวกเขาอยู่กันมาหลายปียังหาไม่พบ” “เจ้าจะกังวลไปทำไม ขอแค่เราได้ครอบครองที่ดินแถบนั้น ไม่ช้าก็เร็วต้องหาพบแน่ และวันที่ข้าค้นพบ ก็จะเป็นวันที่ข้ายิ่งใหญ่กว่าใครในใต้หล้า” เสิ่นอี้ห่าวเอ่ยขึ้นอย่างหมายมาด เขาวางแผนมาหลายปี สุดท้ายก็ได้ที่ดินมาครอบครองอย่างง่ายดาย “แล้วการแข่งขันทำอาหาร ผลเป็นเช่นไร?” พอได้ยินคำถามนี้ขึ้นมา จินป๋อเหวินก็อารมณ์เสียขึ้นมาทันที “แพ้อีกแล้วขอรับ” เสิ่นอี้ห่าวเมื่อได้ยินก็หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน “ตระกูลเจ้าก็แพ้มาโดยตลอด จะอารมณ์เสียไปทำไม” “มันไม่ใช่แค่แพ้ แต่แพ้อย่างไร้ศักดิ์ศรีที่สุดเลยขอรับ” เสิ่นอี้หยวนเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ” อย่างไร?” “ก็ข้าอุตส่าห์ให้คนไปวางยา เจ้าพ่อครัวลู่ไฉ่นั่นเพื่อที่จะชนะในครั้งนี้ แต่ที่ไหนได้ มันน่าเจ็บใจนัก โรงเตี๊ยมฟู่จินยังมีไม้เด็ด ส่งเด็กวัยยังไม่ถึง10ขวบ มาลงแข่งแทนขอรับ” “ห้ะ…จริงเหรอ? น่าสนใจจริง ๆ แล้วเด็กคนนั้นก็ดันชนะขึ้นมาใช่หรือไม่?” “ก็ใช่นะสิขอรับ แพ้เด็กมันน่าอายจริง ๆ ข้าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว” “เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า เด็กจะมีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไร” เสิ่นอี้ห่าวเอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อถือนัก “ตอนแรกข้าก็ไม่อยากเชื่อขอรับ แต่คนที่ไปดูการแข่งขัน หลังจากได้ชิมอาหารของนาง ก็ต่างเทคะแนนให้เด็กคนนั้นกันหมด บุตรสาวของข้าตั้งใจฝึกฝนมาหลายปี นางทั้งอับอายและเสียใจขอรับ” จินป๋อเหวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ และสงสารบุตรสาวเป็นอย่างมาก “เจ้าพูดเช่นนี้ ทำให้ข้าอยากลองชิมขึ้นมาบ้างแล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไร เด็กวัยไม่ถึง10ขวบ จะทำอาหารได้แล้วชนะอีกด้วย ข้าต้องหาทางพิสูจน์ ให้หายข้องใจ” จินป๋อเหวินแอบเบ้ปากให้ท่านเจ้าเมือง เขาเล่าให้ฟัง ไม่ได้อยากให้เขาอยากลองกินอาหารที่นางทำเสียหน่อย ฮึ! น่าเบื่อชะมัด วันต่อมาซิ่วอิงก็ให้อู่ถง ไปติดต่อช่างก่อสร้างให้มาหาที่จวน นางอยากให้ช่างทำโรงครัว เพื่อที่จะให้ทุกคนได้นั่งรวมกันได้ครบทุกคน อีกทั้งนางยังให้ช่างทำเตาอบอีกห้าเตา โดยที่นางวาดให้เขาดูว่าเป็นเช่นไร นางบอกให้ช่างลองทำอันแรกขึ้นมาดูก่อน หากเป็นไปตามที่นางต้องการ ก็ให้ทำเพิ่มอีกสี่เตา นางให้ช่างขยับขยายโรงครัวให้ใหญ่และกว้างขึ้น นางวาดเตาผิงขึ้นมา เพื่อจะให้ช่างต่อเติมขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในโรงอาหาร และในห้องโถง ฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว ที่ดินที่ติดกับจวนของนาง เป็นที่ดินที่เต็มไปด้วยต้นไม้ นางจึงคิดจะตัดต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่มาทำฟืน จากนั้นก็จะปลูกเสริมขึ้นมาใหม่ นางคิดว่าจะเก็บพื้นที่เอาไว้ปลูกต้นไม้ เพื่อจะได้ตัดมาทำฟืน และเผาให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว ช่างก่อสร้างเป็นคนใจดีและใจเย็นมาก เมื่อเห็นสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆ ที่ซิ่วอิงวาดขึ้นมาในกระดาษ ก็ตื่นเต้นที่จะได้ลองทำ และหาประสบการณ์ใหม่ ๆ หากประสบผลสำเร็จ เขาจะได้นำไปเสนอ ให้กับลูกค้าที่อยากจะปลูกเรือนในครั้งต่อไป แต่ดู ๆ แล้ว เขาคงต้องอยู่ที่นี่อีกนาน เพราะเด็กน้อยคนนี้ มีแผนให้เขาทำเรือนอีกหลายหลัง ดีจริง ๆ เพื่อน ๆ ของเขาและลูกน้องอีกหลายคน จะได้มีงานทำและมีรายได้ มาจุนเจือครอบครัว “ท่านลุงเกา ข้าจะทำอาหารกลางวันให้คนงาน เพราะฉะนั้นท่านก็แจ้งพวกเขาด้วยนะเจ้าคะ” “ขอบคุณขอรับนายหญิงน้อย” เกาหลางมองซิ่วอิงอย่างเอ็นดู นางเป็นเพียงเด็กน้อย แต่สามารถดูแลคนมากมายเช่นนี้ นางจะเก่งเกินไปแล้ว ซิ่วอิงให้ช่างทำโรงอาหาร ที่สามารถนั่งได้หลายคน อีกทั้งมีเตาผิงอยู่ข้างใน ในฤดูหนาวอาจให้ทุกคนย้ายมานอนกันในนี้ ยุคนี้เริ่มมีการใช้อิฐในการก่อสร้างแล้ว นางจึงพูดคุยและอธิบายให้ช่างได้ฟัง ว่านางอยากให้ทำออกมาเป็นอย่างไร ในยุคปัจจุบันนางอยู่ในประเทศที่ร้อนตลอดปี ถึงจะหนาวแต่ก็ไม่มาก การก่อสร้างเหล่านี้ นางได้ความรู้มาจากการอ่านหนังสือ และศึกษาในอินเตอร์เน็ต เพราะนางอยากรู้ว่า ประเทศที่หนาวจริง ๆ เขาอยู่กันอย่างไร พอทะลุมิติมาอยู่ในยุคจีนโบราณ ที่มีฤดูหนาวที่แสนเหน็บหนาว อีกทั้งมีหิมะ นางจึงเตรียมการเอาไว้รอ ซิ่วอิงอยากไปหาช่างตีเหล็ก เพราะว่าเตาผิงต้องมีเหล็กที่แข็งแรง กั้นไม่ให้ไม้หลุดออกมา และนางอยากรู้ว่า ยุคนี้ช่างตีเหล็กสามารถตีเหล็กได้แบบไหนบ้าง นางจะได้ออกแบบให้ช่างได้ทำถูก ในหัวของซิ่วอิงมีความคิดมากมายให้คิดเต็มไปหมด นางจะต้องค่อย ๆ คิด ว่าสิ่งไหนควรทำก่อน เพราะนางไม่ได้มีเงินมาก ต้องทยอยทำไปเรื่อย ๆ เมื่อนางพร้อมและมีเงินกลิ่นเนื้อย่างส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปรอบบริเวณ ซิ่วอิงให้พวกเขาไปนับจำนวนคน รวมทั้งช่างก่อสร้างและช่างตัดต้นไม้ รวมแล้วเกือบสองร้อยชีวิต ทางโรงเตี๊ยมลู่เฉิงและลู่ไฉ่ดูแล นางจึงไม่ได้กังวลมากนัก “ซิ่วอิงเจ้าดูข้าลองเปลี่ยนใบหน้า ท่านพ่อท่านแม่ เป็นเช่นไรฝีมือข้า” ลี่อินพาอดีตฮ่องเต้ อดีตฮองเฮาและพระสนม อีกทั้งข้ารับใช้คนสนิท ออกมาจากมิติ นางทำการเปลี่ยนใบหน้า ให้พวกเขาทั้งหมด ซิ่วอิงยกยิ้มอย่างพอใจ “คนอื่น ๆ ก็เดี๋ยวค่อยให้พี่จือหยวนและพี่จือไฉ ยกอาหารเอาไปให้ก็แล้ว ออกมากันหมดผู้คนอาจจะสงสัยเอาได้” “เข้าใจแล้ว” ลี่อินตอบรับ ก่อนจะพาพวกเขาไปนั่ง แล้วหาไปยกน้ำชามาให้ “หลานสะใภ้คนงาม เจ้ากำลังทำอะไรหรือ?” ซิ่วอิงหันไปมองตามเสียงก็เห็นท่านปู่เดินยิ้มร่าเข้ามา อย่างอารมณ์ดี “อันนี้เรียกว่าขนมเค้กเจ้าค่ะ” “สีสันงดงามน่ากินจริง ๆ” ชายชรามองเค้กอย่างพอใจ “วันนี้ข้าทำหลายก้อนเลยเจ้าค่ะ ทุกคนจะได้กินกันอย่างทั่วถึงเจ้าค่ะ” “ดี ๆ ข้าไม่ได้กินอาหาร ฝีมือเจ้าทำมาหลายวัน ข้ารู้สึกว่าข้าผอมลงไปเยอะเลย” ทุกคนได้ยินเขาพูดก็หัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูวันนี้อาหารที่นางทำ ถึงแม้จะมีคนเยอะ แต่คนช่ว
ซิ่วอิง ลี่อินและเจียวจู กลับมาที่จวนอีกครั้ง แล้วตรงไปยังโรงครัวเพื่อทำอาหาร อยู่ในมิติแปลกมากเลย ร่างกายเหมือนอิ่มทิพย์ ไม่รู้สึกหิวอะไรเลย อาจเพราะเป็นมิติเทพ ร่างกายจึงไม่ต้องการอาหาร แต่พอกลับออกมาเช่นนี้ นางก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที“ซิ่วอิงข้ารู้สึกหิวมากเลย”“ข้าก็เหมือนกัน”“งั้นวันนี้พวกเราจัดเต็มไปเลย ฉลองวันเกิดอายุครบ15ปี และฉลองที่พวกเราสำเร็จพลังปราณ ขั้นสูงสุด เพราะฉะนั้นข้าจะทำเนื้อย่าง และจะทำเค้กด้วย” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง พอพูดถึงเนื้อย่างตงฮวนและหานเกอก็รีบเข้ามาร่วมวง “สตรีคนงามข้าขอหมูสามชั้นได้หรือไม่?” ตงฮวนรีบหยอดคำหวานทันที“สตรีผู้งามล้ำเหนือผู้ใดในใต้หล้า ข้าขอกุ้งตัวโต ๆ และเนื้อย่างแบบไม่สุกมาก”“เชอะ! พวกเจ้าเป็นบุรุษที่อยู่เป็นจริง ๆ” เจียวจูส่ายหน้าอย่างรู้เท่าทันพวกเขา“ข้าไม่ได้บอกสตรีไร้ยางอายเช่นเจ้า ข้าบอกซิ่วอิงผู้เลอโลมต่างหากเล่า?” ตงฮวนตอบกลับไปอย่างยียวนกวนประสาท“นี่เจ้าเต่าโบราณล้านปี!”“หยุด! หยุดเถิดข้าขอร้อง ข้าเหนื่อยจะฟังแล้ว” ซิ่วอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าและเริ่มรำคาญ เฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิงและเฉินจางหย่ง ก็ต่างพากันหัวเราะออ
พวกเขาเฝ้ามองแสงที่ครอบร่างของพวกเขาทุกวัน เวลาผ่านไปห้าวันแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่ออกมา ยามนี้ทุกคนนั่งไม่ติด เพราะรู้สึกเป็นห่วงว่าเหตุใดพวกเขาถึงยังไม่ออกมา พวกเขาจะฝึกพลังนานเพียงใดกันนะ“ท่านปู่ข้าเป็นห่วงพวกเขามากเลยขอรับ” เฉินซีฮันเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อก่อนเขาก็อยู่ได้โดยที่ไม่มีนาง แต่มายามนี้ ชีวิตกระวนกระวาย เหมือนขาดอะไรไป “นั่นสิห้าวันแล้วที่พวกเขาเข้าไปฝึก หากใช้เวลาเป็นเดือนจะทำอย่างไร?” เฉินเจียวหมิงเอ่ยอย่างวิตกกังวลไม่ต่างกัน “ข้าว่าไม่นานก็คงออกมาแล้วละ พวกเจ้าดูแสงพวกนั้นสิ ค่อย ๆ จางลงแล้ว” เฉินจางหย่งเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น พร้อมชี้ให้ทุกคนดู เมื่อทุกคนมองไปดู ก็เห็นว่าแสงเริ่มลดลงจริง ๆ พวกเขาต่างมายืนจ้องมองตาไม่กะพริบ ผ่านไปเพียงห้าวัน พวกเขารู้สึกว่ายาวนานเหมือนห้าปี ก่อนที่การรอคอยจะสิ้นสุดลง เมื่อแสงที่เปล่งประกายได้จางหายไป ก่อนพวกเขาทั้งห้าคนจะลุกขึ้น และก้าวเดินมาที่พวกเขานี่มันอะไรกัน! ผ่านไปเพียงห้าวัน พวกเขาเติบโตขึ้นถึงเพียงนี้ น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ซิ่วอิง ลี่อิน เจียวจู สวยสดงดงามดั่งเซียนน้อยมาจุติยังโลกมนุษย์ ตงฮวนหล่อเหล่าสง่างาม ดั่
เด็กทั้งห้าคนกลับถึงจวน ด้วยความสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าวสารอาหารแห้ง ทางร้านจะมาส่งทีหลัง เพราะเถ้าแก่เจ้าของร้านยุ่งจนหัวหมุน พวกเขาทั้งห้าคนเห็นทุกคนเริ่ม ตุนเสบียงและอาหารเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยพวกเขา ก็ซื้อได้ในราคาปกติ หากรอไปซื้อในช่วงฤดูหนาว พ่อค้าคงขึ้นราคาเป็นแน่ “ป้าหวังที่จวนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ” “ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงยกยิ้มอย่างพอใจ “ช่วงนี้ข้าฝากท่านป้าและลุงฮุ่ยช่วยดูแลจวนด้วยเจ้าค่ะ พี่อู่ถง พี่อู่จิ้ง พี่อู่หย่ง ต่อไปท่านทั้งสามคนช่วยดูแลเรื่องทั่วไปในจวน หากต้องการซื้ออะไรเพิ่ม หากจำเป็นก็ซื้อได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะฝากเงินไว้กับป้าหวัง พี่ซูผิงว่าง ๆ ก็ช่วยสอนเด็กๆ หัดคัดอักษรทีเจ้าค่ะ กระดาษและหมึก มีพร้อมไม่ต้องกังวล ช่วงนี้พวกข้ามีเรื่องให้ทำมากมาย หากวันไหนข้าไม่ได้ทำอาหาร ป้าหวังพาทุกคนทำเลยนะเจ้าคะ ให้ทุกคนได้กินอย่าปล่อยให้หิว เพื่อรอพวกข้าเจ้าค่ะ” “ขอรับ/เจ้าค่ะ ซิ่วอิงสั่งงานทุกคน เพราะตอนนี้นางและสหายมีเรื่องให้ทำมากมาย จึงไม่สามารถทำได้เหมือนแต่ก่อน “ท่านลุงช่วงนี้ยังไม่เป็ดให้ย่าง ท่านสามคนไปขนฟืนที่ช่างตัดต้นไม้มาไว้ที่จวนเจ้า
ไม่นานข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองเหยียนฟางว่า หมู่บ้านเหยียนฟางมีผีร้าย ข่าวลือเรื่องนี้ทำเอาผู้คนขนลุกขนชันด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่ใช่เพียงทหารคนเดียวที่พบ แต่เป็นทหารหลายสิบคน รวมทั้งท่านเจ้าเมืองและนายอำเภอ ซิ่วอิงและสหาย ที่ออกมาสั่งของที่ตลาด พอได้ยินข่าวนี้ ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ด้วยความสะใจ สมน้ำหน้า! “ฮ่า ๆ ข้าละสะใจจริง ๆ” หานเกอเอ่ยขึ้น “ใช่สมน้ำหน้า ไปรบกวนวิญญาณคนตาย ก็ต้องเจอดีแบบนี้” เจียวจูเสริมขึ้น “ซิ่วอิงวิญญาณพวกเขา ยังไม่ไปเกิดใหม่อีกเหรอ?” ลี่อินเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าคิดว่าพวกเขา คงยังเป็นห่วงสมบัติอยู่ เลยยังไม่จากไปไหน” “ซิ่วอิงข้าคิดแผนออกมาได้แล้ว” ตงฮวนเอ่ยขึ้นด้วย ท่าทางเจ้าเล่ห์ “แผนอะไรรึ?” ซิ่วอิงหันมาถามอย่างสนใจ “ก็แผนไปสำรวจพื้นที่แถบนั้นนะสิ” “แต่ว่าตงฮวนเจ้าไม่กลัวผีรึ?” เจียวจูถามขึ้น “จะกลัวทำไมวิญญาณเหล่านั้น เป็นคนในครอบครัวของเราที่ถูกฆ่า ข้าดีใจเสียอีกหากว่าจะได้พบพวกเขาอีก” ซิ่วอิงฟังจากที่ตงฮวนพูดก็ครุ่นคิด แผนของเขาดีมากเลยทีเดียว ตงฮวนเป็นเด็กฉลาด เขาสามารถฟังและวิเคราะห์ ได้อย่างดีเยี่ยม“แล้วจะไปสำรวจยังไง ไม่ใช่ว่าพวกเ
เช้าวันนี้มีประกาศจากทางการว่า มีแจ้งเบาะแสว่าพบเจออดีตฮ่องเต้ หลบหนีอยู่ที่หมู่บ้านไฉ่หลิน ทางการจึงจำเป็นต้อง ส่งคนไปตรวจสอบ อู่ถงรีบเข้ามารายงานอีกเช่นเคย เพราะเขามีหน้าไปจ่ายของที่ตลาด จึงพบเห็นทางการออกมาปิดประกาศข่าวสาร ให้ผู้คนได้รับรู้ “นายหญิงน้อย ดูเหมือนทางการจะออกมาติดประกาศแจ้งข่าวขอรับ” “แจ้งว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” “แจ้งว่าพบเจอ อดีตฮ่องเต้หลบหนีไปอยู่แถว ๆ หมู่บ้านไฉ่หลินขอรับ” ซิ่วอิงจากที่กำลังผัดผัก ก็ต้องหยุดชะงักลงทันที ทางการคงอ้างเหตุผลนี้ เพื่อเข้าไปตรวจค้นสมบัติ ที่หมู่บ้านไฉ่หลินเป็นแน่ หากเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังไม่รู้เรื่องนี้ และดูเหมือนท่านเจ้าเมือง จะทำการปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ “แล้วยังมีข่าวอย่างอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ?” “ไม่มีแล้วขอรับ” เขาตอบเสร็จก็เดินไปยกของลงจากรถวัวเทียมเกวียน ซิ่วอิงจึงหันมาหาสหาย ที่ช่วยงานกันอยู่ในครัว “ท่านเจ้าเมืองคงเริ่มให้ทหารไปสำรวจพื้นที่แล้ว ข้าลืมบอกพวกเจ้าไป ก่อนหน้านี้ข้าได้ฝันเห็น วิญญาณของทุกคนที่จากไป บิดาของข้ายังบอกอีกว่า พื้นที่แถบนั้นมีสมบัติซ่อนอยู่” “จริงเหรอซิ่วอิง” หานเกอถามขึ







