LOGINเมื่อเดินออกมาจากร้านตีเหล็ก พวกเขาทั้งห้าคนก็รับรู้ได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นมา นี่หมายความว่า ยิ่งช่วยคนมากก็จะได้รับพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขายกยิ้มด้วยความพอใจ ตื่นเต้นว่าเมื่อไหร่จะช่วยเหลือผู้คนอีก แต่มีเพียงซิ่วอิงที่มีสีหน้าเป็นกังวล
“เจ้าเป็นอะไรรึซิ่วอิง?” “ข้ากำลังคิดว่า สามแม่ลูกข้าช่วยไปแล้ว และให้พี่อู่หย่งพาไปอยู่ที่จวน ส่วนช่างตีเหล็กพวกเจ้าว่า พวกเขาจะตามมาขออยู่กับพวกเราหรือไม่?” “เอ่อใช่ พวกข้าก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย ครอบครัวช่างตีเหล็กยิ่งมีคนเยอะอยู่ด้วย แล้วพวกเราจะทำอย่างไร?” ตงฮวนเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงซิ่วอิง เพราะยิ่งมีคนมาอยู่มากขึ้น ซิ่วอิงก็ต้องรีบหาเงิน เพราะทุกชีวิตก็ต้องกินอาหาร “เขาคงไม่มาขออยู่ด้วย น่าจะมาของานทำมากกว่า หลังกินอาหารมื้อเย็นเสร็จ พวกเจ้าช่วยกันเขียน ป้ายประกาศเชิญชวน ให้คนมากินอาหารที่โรงเตี๊ยมฟู่จิน” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ซิ่วอิงก็นึกขึ้นมาได้ “พี่อู่ถง ข้าอยากได้รถวัวเทียมเกวียน หากต้องส่งอาหารไปที่โรงเตี๊ยมฟู่จิน ต้องมีสิ่งที่ใช้บรรทุกของไป หากเป็นรถลาก พวกท่านจะเหนื่อยเกินไป” อู่ถงพยักหน้าเห็นด้วย นางคิดรอบคอบเสียจริง “เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะพาอู่จิ้งไปดู รถเทียมวัวขอรับ” “ดีเจ้าค่ะ อย่าเอาวัวแก่นะเจ้าคะ” “ขอรับ” เมื่อเดินผ่านตลาด ร้านค้าต่าง ๆ เริ่มก็นำโคมไฟมาติดเพื่อให้แสงสว่าง บางร้านปิดร้านไปแล้ว บางร้านยังคงเปิดขายในช่วงเย็น บางร้านปล่อยให้เช่าหน้าร้าน เพื่อให้คนมาเช่าขายของในช่วงเย็น ซิ่วอิงมองบรรยากาศยามโพล้เพล้ อย่างสบายตาสบายใจ ทุกชีวิตต่างดิ้นรนทำมาหากิน เพื่อความอยู่รอดของชีวิต นางเองก็เช่นกัน พอผ่านร้านขายกระดาษ อุปกรณ์การเขียน และหนังสือต่าง ๆ ซิ่วอิงจึงแวะซื้อกระดาษและพู่กัน แป้นฝนหมึก และสมุดไว้บันทึก ส่วนดินสอนางคิดว่า จะขอจากกล่องโบราณ ทางร้านค้าดีใจเป็นอย่างมาก เพราะวันนี้ร้านเขาเงียบปาก พอนางแวะเข้ามาและซื้อเป็นจำนวนมาก เขาถึงกับยิ้มหน้าบาน คราแรกเขาคิดว่าจะปิดร้าน แต่คิดว่าทนรออีกหน่อย เผื่อว่าจะมีลูกค้า ปรากฏว่ามีเข้ามาจริง ๆ ซิ่วอิงเห็นเขามีหนังสือวางขายด้วย นางจึงเดินเข้าไปหยิบมาเปิดดู เรื่องราวความรักชายหญิง ทุกยุคทุกสมัยมีคนนิยมอ่าน ใช่แล้วนิยาย จู่ ๆ ซิ่วอิงก็คิดว่า นางอ่านนิยายมาก็เยอะ และมีเรื่องราวที่เป็นตำนานมากมาย หากนางนำมันมาเขียนลงเป็นเล่ม ต้องขายดีแน่นอน “ท่านลุงหากข้าจะฝากหนังสือมาขายบ้างจะได้หรือไม่เจ้าคะ?” “ใครแต่งหรือ อย่าบอกนะว่าเป็นเจ้า?” คนขายเอ่ยถามแบบไม่จริงจังนัก “ข้าเองเจ้าค่ะ รับรองว่าร้านท่านจะขายดีแน่นอน หากว่าท่านตกลงทำการค้ากับข้า ข้าจะวางขายร้านท่านที่เดียว” “ได้ลองดูก็เสียหาย” ถังโยวตอบรับไปอย่างนั้นเอง เขาไม่เชื่อว่านางจะมีความสามารถแต่งหนังสือได้ เพราะนางยังดูเด็กมาก “งั้นข้าขอซื้อกระดาษเพิ่มเจ้าค่ะ ท่านเอาไปส่งที่จวนข้าทีนะเจ้าคะ พรุ่งนี้ก็ได้เจ้าค่ะ ข้าเอาขนาดเล็กแบบหนังสือเล่มนี้ ข้าจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลามานั่งตัดเจ้าค่ะ ข้าเอาทั้งหมดที่ท่านมีเจ้าค่ะ” “อะไรนะ! หมดเลยหรือ?” “ลดด้วยนะเจ้าคะ ข้าซื้อเยอะมากเลย” “ได้ ๆ” ซิ่วอิงนึกกระหยิ่มในใจ หนังสือของนางต้องขายดี แบบเทน้ำเทท่าอย่างแน่นอน ในหัวของนางยามนี้ สว่างสดใสมีความคิดวิ่งปรูดปราด การค้าของนางเริ่มแล้ว แต่พวกเขาที่เห็นนางซื้อกระดาษมากมาย และใช้เงินหมดไปตั้งมาก ก็นึกเสียดาย ว่ากระดาษที่นางซื้อไป จะทำเงินขึ้นมาได้อย่างไร “ข้ามีงานให้ทุกคนทำแล้ว” นางเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ “...” พวกเขามองนางอย่างงุนงง เพราะไม่รู้ว่างานที่นางว่าคืออะไร “เรารีบกลับกันเถอะ ข้ารอไม่ไหวที่จะเขียนหนังสือออกมาขายแล้ว” เมื่อกลับมาถึงจวน ซิ่วอิงก็เรียกทุกคนมารวมตัวกัน นางอยากรู้ว่าใครเขียนหนังสือเป็นบ้าง นางคิดว่าไม่น่าจะมี แต่ก็ลองถามดูก่อน “ที่ข้าเรียกมาเพื่อจะถามว่า ใครรู้หนังสือและเขียนได้บ้าง?” ทุกคนมองหน้ากันพร้อมส่ายหัว ซิ่วอิงถอนใจออกมา ยุคนี้ใช่ว่าคนจะรู้หนังสือกัน นางต้องหาคนมาสอนพวกเขา ให้อ่านออกเขียนได้ “ข้าเจ้าค่ะ” เป็นสตรีที่ซิ่วอิงช่วยวันนี้นั่นเอง “ข้าก็พอรู้ขอรับ” ลุงฮุ่ยเอ่ยขึ้นมาบ้าง ซิ่วอิงครุ่นคิดคงต้องให้ท่านปู่หรือไม่ก็พี่ซีฮัน ช่วยหาคนที่รู้หนังสือและไว้ใจได้ให้ หากต้องจ้างนางก็ต้องทำ เพราะนางมีคนรู้หนังสือและเขียนได้ไม่กี่คน เจียวจู ลี่อิน ตงฮวน หานเกอ ลุงฮุ่ย และสตรีที่นางช่วยวันนี้ “พี่สาวชื่อว่าอะไรหรือเจ้าคะ?” “ซูผิงเจ้าค่ะ” “พิษของท่านเดี๋ยวข้าจะถอนให้ ข้าอยากจะถามท่านว่า อยากจะทำงานให้ข้าหรือไม่ ข้าจ่ายเงินค่าแรงให้แน่นอน ทุกคนก็เหมือนกัน ต่อไปข้าจะจ่ายค่าแรงให้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นห้ามขี้เกียจเด็ดขาด” ทุกคนได้ฟังก็ยกยิ้ม ถึงไม่ให้เงิน พวกเขาก็เต็มใจทำงานให้นางอยู่แล้ว “เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ข้าจะมาแจกแจงงานให้กับทุกคน อาหารที่ข้าทำให้กิน จงกินให้อิ่มร่างกายจะได้แข็งแรง เพราะข้าต้องการแรงของทุกคนทำงาน” แต่แล้วซิ่วอิงก็ต้องชะงัก เมื่อมีเสียงเอ่ยมาแต่ไกล นึกถึงโจโฉว โจโฉวก็มา “เด็ก ๆ ข้ามาแล้ว” ชายชราไม่ได้มาคนเดียว ตามมาด้วย เฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิง เฉินจางหย่ง และองครักษ์อีกสามคน “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่เหรอดูจริงจังเช่นนี้” “ท่านปู่ ข้าอยากได้คนที่รู้หนังสือ ท่านพอจะรู้จักใครบ้างเจ้าคะ?” ชายชราหันไปหาสามหลานชาย ซิ่วอิงจึงรีบเอ่ยขึ้น “คือข้าต้องการจ้างมาทำงาน และสามารถไว้ใจได้เจ้าค่ะ” “เจ้าต้องการกี่คน?” “สักห้าคนก่อนเจ้าค่ะ” “ได้เดี๋ยวข้าจะให้ลู่เฉิงหาให้” “ขอบคุณเจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปทำอาหารก่อนนะเจ้าคะ ท่านปู่จะนั่งรอในห้องโถง หรือว่าจะไปกับข้าที่ห้องครัว?” “ไปดูเจ้าทำอาหารดีกว่า” “งั้นไปกันเถิดเจ้าคะ” ซิ่วอิงเดินนำไปที่โรงครัว พลางครุ่นคิดว่าจะทำอะไรดี เพราะเวลานี้เย็นมากแล้ว ป้าหวังหุงข้าวไว้แล้ว เพียงรอแค่นางทำอาหาร อยากกินผัดกะเพราไข่ดาว แต่ว่าไม่มีใบกะเพรา ทำอะไรดีนา ซิ่วอิงรีบเดินดูของในโรงครัว มีผักหลากหลายให้เลือก เนื้อหมู เนื้อไก่ ปลา กระดูกหมู ไข่ไก่ กระดูกหมูต้มผักกาดดอง ไก่ผัดขิง หมูผัดพริกอ่อน ผัดผักรวม ไข่เจียว เมื่อนางคิดได้ว่าจะทำอะไร เสียงสั่งงานอย่างคล่องแคล่วก็ดังขึ้น เพราะมีคนช่วยเยอะ อาหารจึงเสร็จได้อย่างรวดเร็ว นางจัดอาหารให้พวกเขากินบนโต๊ะ เพราะโต๊ะและเก้าอี้ที่อู่ถงไปซื้อยังไม่มาส่ง จำเป็นต้องนั่งในพื้นไปก่อน พวกเขาทำท่าว่าจะไม่ยอม แต่นางบังคับให้นั่ง และขู่ออกไปว่า หากไม่ทำตามจะไม่ทำอาหารให้กินอีก พวกเขาเลยต้องยอม หลังกินอาหารกันเสร็จ ตบท้ายด้วยบัวลอย ทำเอาทุกคนขยับกันอย่างยากลำบาก เพราะกินเยอะเกินไป จากนั้นนางก็พาทุกคนไปนั่งที่ห้องโถง และนางยังเรียกซูผิงและลุงฮุ่ย ให้มาพบด้วย นางจะให้พวกเขาลองเขียนอักษรดู “ท่านปู่ข้ามีความคิดใหม่ ในการหาเงิน นั้นก็คือการแต่งนิยายประโลมโลกเจ้าค่ะ” ชายชรายกถ้วยชามาเป่า ก่อนจะหันไปถามอย่างสนใจ “มันจะทำเงินได้จริงเหรอ?” “ได้แน่นอนเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงตอบอย่างมั่นใจ ก่อนจะให้อู่ถงยกโต๊ะเข้ามา อีกทั้งเก้าอี้ “พี่ซูผิงท่านลองเขียนอักษร ให้ข้าดูหน่อยเจ้าค่ะ ว่าแต่ข้ายังไม่ได้คำตอบเลย ท่านจะอยู่ที่นี่หรือว่าอย่างไรเจ้าคะ ข้าไม่ได้บังคับ เอาที่ท่านสบายใจเจ้าค่ะ” “หากนายหญิงน้อยไม่ว่าอะไร ข้ากับลูกขออยู่ที่นี่เจ้าค่ะ” “ดีงั้นนั่งลงเลยเจ้าค่ะ เขียนอักษรข้าจะฝนหมึกให้” ซิ่วอิงดีใจจนออกหน้าออกตา เพราะตื่นเต้นกับหนังสือที่นางจะทำขาย สี่บุรุษเชื้อพระวงศ์มองกิริยาท่าทางของนางอย่างเอ็นดู “พี่อู่ถงยกโต๊ะและเก้าอี้มาอีกเจ้าค่ะ” “เจียวจูเจ้ามานั่ง พี่เจียวหมิงเชิญนั่งเจ้าค่ะ” “ลี่อินมานั่งนี่ พี่จางหย่งเชิญนั่งตรงนี้เจ้าค่ะ” “ท่านลุงฮุ่ยมานั่งตรงนี้เจ้าค่ะ” เมื่อโต๊ะเก้าอี้ที่นางให้อู่ถง ไปยกมาจากห้องต่าง ๆ มาถึง นางก็จัดแจงให้แต่ละคนได้นั่ง “ท่านพี่ซีฮันเชิญนั่งตรงนี้เจ้าค่ะ” “ท่านพี่!” ทุกคนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน กับสรรพนามที่นางเรียกขานเฉินซีฮัน “แค๊ก ๆ” เฉินซีฮันถึงกับสำลักน้ำชา นี่นางเรียกเขาแบบนี้ได้อย่างไรกัน ใบหูของเขาแดงระเรื่อ เมื่อเจอเด็กน้อยเกี้ยวเข้าให้ ชายชราเฉินเจ๋อหยวน หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ซิ่วอิงไม่ได้ใส่ใจ เพราะนางกำลังมองเห็น เงินลอยอยู่ในอากาศเต็มไปหมด “ข้าอยากให้ทุกคนเขียนคำว่า แนะนำอาหารเลิศรส มีแห่งเดียวในใต้หล้า บะหมี่ฮ่องเต้ เป็ดย่างเก้าสวรรค์ ราชาแห่งโจ๊ก เปิดให้บริการอีกสามวัน โปรดจองโต๊ะล่วงหน้า” ทุกคนได้ฟังก็รีบก้มหน้าก้มตาเขียน โดยมีตงฮวน หานเกอและซิ่วอิง ช่วยเดินฝนหมึกให้ ซิ่วอิงเดินชะโงกดูลายมือของแต่ละคนอย่างสนใจ แน่นอนว่าลายมือของสามบุรุษต้องงดงาม เพราะพวกเขาเติบโตมา ก็ถูกให้ฝึกหัดอ่านเขียนตั้งแต่เล็ก “โอ้โฮ ลายมือของบุรุษสามท่านนี้ งดงามเสียจริง” ซิ่วอิงเอ่ยชมขึ้นมา ทำให้พวกเขารู้สึกเขินอายขึ้นมา “พี่ซูผิงก็ใช้ได้หากเขียนบ่อย ๆ ก็จะงดงามได้ในไม่ช้า ท่านลุงฮุ่ย ฮ่าฮ่า” ซิ่วอิงไม่อยากเสียมารยาท แต่ว่าลายมือนี้ แทบอ่านไม่ออกว่าอ่านว่าอะไร แต่ว่าเขาก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว “ขออภัยเจ้าค่ะข้าไม่ควรหัวเราะแต่ว่า ฮ่าฮ่า” ซิ่วอิงอดไม่ได้หัวเราะออกมาอีกครั้ง คนในห้องเห็นลายมือเขา ก็พยายามกลั้นขำเอาไว้ เพราะกลัวว่าเขาจะเสียใจ ลุงฮุ่ยเองเมื่อเห็นนางหัวเราะ เขาก็หัวเราะออกมาบ้าง เขาไม่ได้โกรธที่นางหัวเราะเลยสักนิด กลับรู้สึกดีใจที่ทำให้นางหัวเราะได้ ซิ่วอิงหัวเราะจนนำ้หูน้ำไหลกลิ่นเนื้อย่างส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปรอบบริเวณ ซิ่วอิงให้พวกเขาไปนับจำนวนคน รวมทั้งช่างก่อสร้างและช่างตัดต้นไม้ รวมแล้วเกือบสองร้อยชีวิต ทางโรงเตี๊ยมลู่เฉิงและลู่ไฉ่ดูแล นางจึงไม่ได้กังวลมากนัก “ซิ่วอิงเจ้าดูข้าลองเปลี่ยนใบหน้า ท่านพ่อท่านแม่ เป็นเช่นไรฝีมือข้า” ลี่อินพาอดีตฮ่องเต้ อดีตฮองเฮาและพระสนม อีกทั้งข้ารับใช้คนสนิท ออกมาจากมิติ นางทำการเปลี่ยนใบหน้า ให้พวกเขาทั้งหมด ซิ่วอิงยกยิ้มอย่างพอใจ “คนอื่น ๆ ก็เดี๋ยวค่อยให้พี่จือหยวนและพี่จือไฉ ยกอาหารเอาไปให้ก็แล้ว ออกมากันหมดผู้คนอาจจะสงสัยเอาได้” “เข้าใจแล้ว” ลี่อินตอบรับ ก่อนจะพาพวกเขาไปนั่ง แล้วหาไปยกน้ำชามาให้ “หลานสะใภ้คนงาม เจ้ากำลังทำอะไรหรือ?” ซิ่วอิงหันไปมองตามเสียงก็เห็นท่านปู่เดินยิ้มร่าเข้ามา อย่างอารมณ์ดี “อันนี้เรียกว่าขนมเค้กเจ้าค่ะ” “สีสันงดงามน่ากินจริง ๆ” ชายชรามองเค้กอย่างพอใจ “วันนี้ข้าทำหลายก้อนเลยเจ้าค่ะ ทุกคนจะได้กินกันอย่างทั่วถึงเจ้าค่ะ” “ดี ๆ ข้าไม่ได้กินอาหาร ฝีมือเจ้าทำมาหลายวัน ข้ารู้สึกว่าข้าผอมลงไปเยอะเลย” ทุกคนได้ยินเขาพูดก็หัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูวันนี้อาหารที่นางทำ ถึงแม้จะมีคนเยอะ แต่คนช่ว
ซิ่วอิง ลี่อินและเจียวจู กลับมาที่จวนอีกครั้ง แล้วตรงไปยังโรงครัวเพื่อทำอาหาร อยู่ในมิติแปลกมากเลย ร่างกายเหมือนอิ่มทิพย์ ไม่รู้สึกหิวอะไรเลย อาจเพราะเป็นมิติเทพ ร่างกายจึงไม่ต้องการอาหาร แต่พอกลับออกมาเช่นนี้ นางก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที“ซิ่วอิงข้ารู้สึกหิวมากเลย”“ข้าก็เหมือนกัน”“งั้นวันนี้พวกเราจัดเต็มไปเลย ฉลองวันเกิดอายุครบ15ปี และฉลองที่พวกเราสำเร็จพลังปราณ ขั้นสูงสุด เพราะฉะนั้นข้าจะทำเนื้อย่าง และจะทำเค้กด้วย” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง พอพูดถึงเนื้อย่างตงฮวนและหานเกอก็รีบเข้ามาร่วมวง “สตรีคนงามข้าขอหมูสามชั้นได้หรือไม่?” ตงฮวนรีบหยอดคำหวานทันที“สตรีผู้งามล้ำเหนือผู้ใดในใต้หล้า ข้าขอกุ้งตัวโต ๆ และเนื้อย่างแบบไม่สุกมาก”“เชอะ! พวกเจ้าเป็นบุรุษที่อยู่เป็นจริง ๆ” เจียวจูส่ายหน้าอย่างรู้เท่าทันพวกเขา“ข้าไม่ได้บอกสตรีไร้ยางอายเช่นเจ้า ข้าบอกซิ่วอิงผู้เลอโลมต่างหากเล่า?” ตงฮวนตอบกลับไปอย่างยียวนกวนประสาท“นี่เจ้าเต่าโบราณล้านปี!”“หยุด! หยุดเถิดข้าขอร้อง ข้าเหนื่อยจะฟังแล้ว” ซิ่วอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าและเริ่มรำคาญ เฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิงและเฉินจางหย่ง ก็ต่างพากันหัวเราะออ
พวกเขาเฝ้ามองแสงที่ครอบร่างของพวกเขาทุกวัน เวลาผ่านไปห้าวันแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่ออกมา ยามนี้ทุกคนนั่งไม่ติด เพราะรู้สึกเป็นห่วงว่าเหตุใดพวกเขาถึงยังไม่ออกมา พวกเขาจะฝึกพลังนานเพียงใดกันนะ“ท่านปู่ข้าเป็นห่วงพวกเขามากเลยขอรับ” เฉินซีฮันเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อก่อนเขาก็อยู่ได้โดยที่ไม่มีนาง แต่มายามนี้ ชีวิตกระวนกระวาย เหมือนขาดอะไรไป “นั่นสิห้าวันแล้วที่พวกเขาเข้าไปฝึก หากใช้เวลาเป็นเดือนจะทำอย่างไร?” เฉินเจียวหมิงเอ่ยอย่างวิตกกังวลไม่ต่างกัน “ข้าว่าไม่นานก็คงออกมาแล้วละ พวกเจ้าดูแสงพวกนั้นสิ ค่อย ๆ จางลงแล้ว” เฉินจางหย่งเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น พร้อมชี้ให้ทุกคนดู เมื่อทุกคนมองไปดู ก็เห็นว่าแสงเริ่มลดลงจริง ๆ พวกเขาต่างมายืนจ้องมองตาไม่กะพริบ ผ่านไปเพียงห้าวัน พวกเขารู้สึกว่ายาวนานเหมือนห้าปี ก่อนที่การรอคอยจะสิ้นสุดลง เมื่อแสงที่เปล่งประกายได้จางหายไป ก่อนพวกเขาทั้งห้าคนจะลุกขึ้น และก้าวเดินมาที่พวกเขานี่มันอะไรกัน! ผ่านไปเพียงห้าวัน พวกเขาเติบโตขึ้นถึงเพียงนี้ น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ซิ่วอิง ลี่อิน เจียวจู สวยสดงดงามดั่งเซียนน้อยมาจุติยังโลกมนุษย์ ตงฮวนหล่อเหล่าสง่างาม ดั่
เด็กทั้งห้าคนกลับถึงจวน ด้วยความสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าวสารอาหารแห้ง ทางร้านจะมาส่งทีหลัง เพราะเถ้าแก่เจ้าของร้านยุ่งจนหัวหมุน พวกเขาทั้งห้าคนเห็นทุกคนเริ่ม ตุนเสบียงและอาหารเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยพวกเขา ก็ซื้อได้ในราคาปกติ หากรอไปซื้อในช่วงฤดูหนาว พ่อค้าคงขึ้นราคาเป็นแน่ “ป้าหวังที่จวนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ” “ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงยกยิ้มอย่างพอใจ “ช่วงนี้ข้าฝากท่านป้าและลุงฮุ่ยช่วยดูแลจวนด้วยเจ้าค่ะ พี่อู่ถง พี่อู่จิ้ง พี่อู่หย่ง ต่อไปท่านทั้งสามคนช่วยดูแลเรื่องทั่วไปในจวน หากต้องการซื้ออะไรเพิ่ม หากจำเป็นก็ซื้อได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะฝากเงินไว้กับป้าหวัง พี่ซูผิงว่าง ๆ ก็ช่วยสอนเด็กๆ หัดคัดอักษรทีเจ้าค่ะ กระดาษและหมึก มีพร้อมไม่ต้องกังวล ช่วงนี้พวกข้ามีเรื่องให้ทำมากมาย หากวันไหนข้าไม่ได้ทำอาหาร ป้าหวังพาทุกคนทำเลยนะเจ้าคะ ให้ทุกคนได้กินอย่าปล่อยให้หิว เพื่อรอพวกข้าเจ้าค่ะ” “ขอรับ/เจ้าค่ะ ซิ่วอิงสั่งงานทุกคน เพราะตอนนี้นางและสหายมีเรื่องให้ทำมากมาย จึงไม่สามารถทำได้เหมือนแต่ก่อน “ท่านลุงช่วงนี้ยังไม่เป็ดให้ย่าง ท่านสามคนไปขนฟืนที่ช่างตัดต้นไม้มาไว้ที่จวนเจ้า
ไม่นานข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองเหยียนฟางว่า หมู่บ้านเหยียนฟางมีผีร้าย ข่าวลือเรื่องนี้ทำเอาผู้คนขนลุกขนชันด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่ใช่เพียงทหารคนเดียวที่พบ แต่เป็นทหารหลายสิบคน รวมทั้งท่านเจ้าเมืองและนายอำเภอ ซิ่วอิงและสหาย ที่ออกมาสั่งของที่ตลาด พอได้ยินข่าวนี้ ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ด้วยความสะใจ สมน้ำหน้า! “ฮ่า ๆ ข้าละสะใจจริง ๆ” หานเกอเอ่ยขึ้น “ใช่สมน้ำหน้า ไปรบกวนวิญญาณคนตาย ก็ต้องเจอดีแบบนี้” เจียวจูเสริมขึ้น “ซิ่วอิงวิญญาณพวกเขา ยังไม่ไปเกิดใหม่อีกเหรอ?” ลี่อินเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าคิดว่าพวกเขา คงยังเป็นห่วงสมบัติอยู่ เลยยังไม่จากไปไหน” “ซิ่วอิงข้าคิดแผนออกมาได้แล้ว” ตงฮวนเอ่ยขึ้นด้วย ท่าทางเจ้าเล่ห์ “แผนอะไรรึ?” ซิ่วอิงหันมาถามอย่างสนใจ “ก็แผนไปสำรวจพื้นที่แถบนั้นนะสิ” “แต่ว่าตงฮวนเจ้าไม่กลัวผีรึ?” เจียวจูถามขึ้น “จะกลัวทำไมวิญญาณเหล่านั้น เป็นคนในครอบครัวของเราที่ถูกฆ่า ข้าดีใจเสียอีกหากว่าจะได้พบพวกเขาอีก” ซิ่วอิงฟังจากที่ตงฮวนพูดก็ครุ่นคิด แผนของเขาดีมากเลยทีเดียว ตงฮวนเป็นเด็กฉลาด เขาสามารถฟังและวิเคราะห์ ได้อย่างดีเยี่ยม“แล้วจะไปสำรวจยังไง ไม่ใช่ว่าพวกเ
เช้าวันนี้มีประกาศจากทางการว่า มีแจ้งเบาะแสว่าพบเจออดีตฮ่องเต้ หลบหนีอยู่ที่หมู่บ้านไฉ่หลิน ทางการจึงจำเป็นต้อง ส่งคนไปตรวจสอบ อู่ถงรีบเข้ามารายงานอีกเช่นเคย เพราะเขามีหน้าไปจ่ายของที่ตลาด จึงพบเห็นทางการออกมาปิดประกาศข่าวสาร ให้ผู้คนได้รับรู้ “นายหญิงน้อย ดูเหมือนทางการจะออกมาติดประกาศแจ้งข่าวขอรับ” “แจ้งว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” “แจ้งว่าพบเจอ อดีตฮ่องเต้หลบหนีไปอยู่แถว ๆ หมู่บ้านไฉ่หลินขอรับ” ซิ่วอิงจากที่กำลังผัดผัก ก็ต้องหยุดชะงักลงทันที ทางการคงอ้างเหตุผลนี้ เพื่อเข้าไปตรวจค้นสมบัติ ที่หมู่บ้านไฉ่หลินเป็นแน่ หากเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังไม่รู้เรื่องนี้ และดูเหมือนท่านเจ้าเมือง จะทำการปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ “แล้วยังมีข่าวอย่างอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ?” “ไม่มีแล้วขอรับ” เขาตอบเสร็จก็เดินไปยกของลงจากรถวัวเทียมเกวียน ซิ่วอิงจึงหันมาหาสหาย ที่ช่วยงานกันอยู่ในครัว “ท่านเจ้าเมืองคงเริ่มให้ทหารไปสำรวจพื้นที่แล้ว ข้าลืมบอกพวกเจ้าไป ก่อนหน้านี้ข้าได้ฝันเห็น วิญญาณของทุกคนที่จากไป บิดาของข้ายังบอกอีกว่า พื้นที่แถบนั้นมีสมบัติซ่อนอยู่” “จริงเหรอซิ่วอิง” หานเกอถามขึ







