LOGINซิ่วอิงเดินมาดูเป็ดย่าง เพราะพรุ่งนี้ต้องเป็นวันเปิดขายแล้ว วันแรกจองมาทั้งหมด240คน รอบละ40โต๊ะ ที่มีเกินมา นางปัดเป็นวันถัดไป และนางก็ยังไม่ได้เปิดรับจองเพิ่ม รอนางจัดระบบให้ลงตัวก่อน แล้วค่อยเปิดให้จองใหม่
ซิ่วอิงอยากรู้ว่าพรุ่งจะเป็นอย่างไร จะได้วางแผนในอนาคตได้ถูก แน่นอนว่าวันแรกและวันที่สองอาจจะขายดี แต่วันต่อไปก็คงจะลดลง เพราะใครจะมีเงินมากินทุกวัน แต่คนที่สามารถจ่ายได้ต้องมากินแน่นอน ลุงลู่เฉิงเปิดจองเวลากระชั้นชิดเกินไป หากยังเปิดรับต่อไปคงเกิดความวุ่นวาย นางอยากได้เงินแต่ไม่อยากปวดหัว เพราะฉะนั้นต้องค่อย ๆ ทำอย่ารีบร้อน “ท่านลุงเหอชุน ย่างเป็ดไปถึงไหนแล้วเจ้าคะ?” “ได้20ตัวแล้วขอรับ” “อืมดีเจ้าค่ะ ว่าแต่ท่านลุงทั้งสามคน วันนี้กลับช้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าจะจ่ายเงินเพิ่มให้แน่นอนเจ้าค่ะ ข้าอยากให้ย่างเสร็จ150ตัว แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาย่างเพิ่มเจ้าค่ะ” “ได้ ๆ ไม่มีปัญหาขอรับ” “ขอบคุณเจ้าค่ะ พี่อู่ถงรถเทียมเกวียนได้มาหรือไม่เจ้าคะ?” “เดี๋ยวเขาจะเอามาให้ยามเว่ยขอรับ (บ่าย3-5โมงเย็น) “ขอบคุณเจ้าค่ะ” “ป้าหวังเส้นบะหมี่กับติ่มซำ ซาลาเปา เรียบร้อยดีหรือไม่เจ้าค่ะ” “เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ สตรีที่มาใหม่สอนพวกนางแป้บเดียวก็ทำได้แล้วเจ้าค่ะ” “ดี ๆ เดี๋ยวข้าจะทำบะหมี่น้ำให้ทุกคนกิน” ซิ่วอิงเดินจับมือเฉินซีฮัน ตรวจดูงานอย่างพอใจ ทุกคนขยันขันแข็ง และตั้งใจทำกันดีมาก เดี๋ยวไปดูเด็ก ๆ ถอนขนเป็ดเสียหน่อย นางบอกให้ลุงฮุ่ย ให้เก็บขนเป็ดเอาไว้ทำผ้าห่ม เพราะขนเป็ดให้ความอบอุ่นได้ดี ซิ่วอิงดินจับมือเฉินซีฮัน ลี่อินเดินควงแขนเฉินจางหย่งไม่ปล่อย ส่วนเจียวจูกอดแขนเฉินเจียวหมิงเอาไว้แน่น ตงฮวนและหานเกอเดินตามมาข้างหลัง “ลุงฮุ่ยเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” “เรียบร้อยดีขอรับ” ซิ่วอิงยกยิ้มอย่างพอใจ นางราดน้ำแดงบนตัวเป็ดแล้ว100ตัว แล้วปล่อยให้แห้ง ลุงเหอจะทยอยนำไปย่าง เดี๋ยวนางจะต้องทำเพิ่มอีก เพราะการราดน้ำบนตัวเป็ด ต้องทำทิ้งไว้ให้สีติดตัวเป็ด เวลาย่างสีถึงจะสวยน่ากิน เมื่อนางเดินดูทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว นางก็ กลับไปที่โรงครัวอีกครั้ง แล้วตั้งหม้อเพื่อทำน้ำซุปบะหมี่ นางให้ตงหาน หานเกอ และองครักษ์อีกสามคน ช่วยกันราดน้ำเป็ด ส่วนนางหลังจากต้มน้ำซุปทิ้งไว้ ก็พาลี่อิน เจียวจูและอีกสามบุรุษมาที่ห้องโถง จากนั้นก็ให้พวกเขานั่งลงบนเก้าอี้ ที่มีโต๊ะไว้เขียนหนังสือ ที่นางให้พี่อู่ถงยกมาตั้งแต่วันก่อน “ในระหว่างที่รอน้ำซุปเดือด เราทำงานฆ่าเวลาไปก่อน ทุกคนลอกตามกระดาษแผ่นนี้ หน้าที่1เป็นพี่ซีฮัน หน้าที่2พี่เจียวหมิง หน้าที่สามที่3 พี่จางหย่ง หน้าที่4ลี่อิน หน้าที่5เจียวจู” “ลอกตามนั้นเลยนะเจ้าค่ะ บทพูด บทสนทนา ลอกตามนั้นเลยเจ้าค่ะ อันนี้เรียกว่านิยาย ข้าแต่งขึ้นมาใหม่” ที่จริงนางก็แต่งขึ้นใหม่ แต่ใช้เค้าโครงเรื่องจากที่เคยอ่าน “นิยายเรื่องนี้มีชื่อว่า คนงามกับจอมมารอสูร” เจียวจูได้ฟังก็ไม่ชอบใจแย้งขึ้นมา “ซิ่วอิงน่ากลัวเกินไปหรือเปล่า คนงามไม่เหมาะกับจอมมารหรอก” “คนงามต้องเหมาะกับองค์ชายรูปงามเหมือนพี่เจียวหย่งกับข้า” ซิ่วอิงกลอกตามองบน ตั้งแต่เปลี่ยนหน้าพวกเขา สหายของนาง ก็ดูจะคลั่งรักเกินไปแล้ว “หยุด! ไม่ใช่เวลามาเกี้ยวพาบุรุษ พวกเจ้าฟังให้จบก่อน จอมมารอสูรที่จริงก็เป็น องค์ชายรูปงาม เหมือนพี่ซีฮันนี่ละ” “ชิ่วอิง!! ไม่ใช่เวลามาเกี้ยวบุรุษ เจ้าพูดเองจำไม่ได้หรืออย่างไร” ลี่อินแย้งขึ้นทันที “ข้าเกี้ยวที่ไหนกัน ข้ายกตัวอย่างให้ฟัง เอาละ ๆ ต่อเลย ที่จริงจอมมารก็คือองค์ชายรูปงาม แต่ต้องคำสาปให้เป็นจอมมาร ผู้มีหน้าตาน่าเกลียดและอัปลักษณ์ การแก้คำสาปก็คือ ต้องมีสตรีผู้งดงามและจิตใจบริสุทธิ์ ไปแก้คำสาปให้เขา” ลี่อินและเจียวจูพอได้ฟังเค้าโคร่งก็ให้ความสนใจขึ้นมา เจียวจูก็เลยถามขึ้นมา “แล้วต้องแก้คำสาปอย่างไร?” “ข้าไม่บอก” “ได้อย่างไร ข้าอยากรู้ ซิ่วอิงบอกหน่อยเถอะ” “แล้วถ้าเป็นเจ้าละ หากพี่เจียวหมิงถูกคำสาปให้กลายเป็นคนน่าเกลียด เจ้าคิดว่าจะถอนคำสาปอย่างไร” พอนางตั้งคำถามเช่นนี้ สามบุรุษก็ให้ความสนใจขึ้นมา นั้นสิหากเฉินเจียวหมิงต้องคำสาป นางจะถอนคำสาปนี้อย่างไร เจียวจูทำท่าครุ่นคิดก่อนจะตอบออกมา “หากพี่เจียวหมิงต้องคำสาป ข้าจะถอนคำสาปอย่างไร ข้าคิดว่าเลือดข้าแก้พิษได้ ก็ต้องถอนคำสาปได้ ข้าจะให้พี่เจียวหมิงกินเลือดของข้า” คำตอบของนางทำเอาคนเป็นพี่ถึงกับเป็นปลื้ม รู้สึกประทับอย่างบอกไม่ถูก “คำตอบที่เจ้าถามข้าในนิยาย ก็อย่างที่เจ้าตอบข้านั่นแหละ” “ห้ะ…นี่เจ้าหลอกเอาความคิดของข้า แล้วเอาลงไปเขียนในนิยายรึ” “ใช่ที่ไหนกัน นิยายเป็นเรื่องของจินตนาการ เพราะฉะนั้นมันก็เป็นไปได้หมดนั่นละ มันอยู่ที่ว่า เราจะแต่งให้มันไปแบบไหน” “แล้วเจ้าละ หากพี่ซีฮันต้องคำสาป เจ้าจะถอนคำสาปอย่างไร” เจียวจูถามกลับมาที่ซิ่วอิง คราวนี้ทุกคนมารอฟังคำตอบจากนางดูบ้าง “ข้าเหรอ? อืม…ข้าคงต้องอุ่นเตียงกับเขา” “อุ่นเตียง!!” ลี่อินกับเจียวจูร้องออกมา แม้ไม่เข้าใจเรื่องนี้เท่าใด แต่ก็พอจะรู้ว่าอุ่นเตียงหมายถึงอะไร คราวนี้ใบหน้าถึงกับขึ้นสีแดงระเรื่อ ส่วนเฉินซีฮันหน้าแดงก่ำลามไปจนถึงใบหู เจ้ามันนางมารน้อยชัด ๆ ส่วนเจียวหมิงและจางหย่ง ถึงกับต้องหันหน้าไปมองอย่างอื่น เพราะรู้สึกกระดากอายกับคำพูดของนาง “นายหญิงน้อยน้ำซุปเดือดแล้วเจ้าค่ะ” มีเด็กในห้องครัววิ่งมาบอกซิ่วอิง ทุกคนถึงกับถอนใจออกมา หลุดพ้นสถานการณ์กระอักกระอ่วนใจเสียที “เดี๋ยวข้าไป เจ้าไปบอกทุกคนให้มากินอาหารกลางวัน” “เจ้าค่ะ” “เดี๋ยวเรากินอาหารเสร็จ ต้องแวะไปที่โรงเตี๊ยม ข้าต้องไปดูความพร้อมของสถานที่และพนักงานเจ้าค่ะ” ทุกคนพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะรวบรวมกระดาษมาให้นาง เพราะแทบไม่ได้เขียนอะไร เพราะมัวแต่ฟังบทสนทนา ซิ่วอิงหยิบกล่องโบราณออกมาวาง แล้วเปิดกล่อง “พี่ซีฮันไปบอกทุกคนให้ไปกินบะหมี่เจ้าค่ะ แต่ว่ากินเสร็จแล้ว ต้องกลับลงไปเหมือนเดิม จนกว่าจวนใหม่จะสร้างเสร็จ ต้องอดทนไปก่อนเจ้าค่ะ” “อืม” “ข้าไปรอที่โรงครัวนะเจ้าคะ” ซิ่วอิงตะโอนบอกเขา ก่อนจะพากันเดินไปโรงครัว ปล่อยให้เขาเข้าไปในกล่องคนเดียว เฉินซีฮันเมื่อมาถึง ก็เห็นมารดา พระสนม และบ่าวรับใช้ กำลังทำความสะอาดเรือนพัก อย่างขะมักเขม้น เขาระบายยิ้มออกมา คิดได้เสียทีนะว่า สถานการณ์ตอนนี้ มันเปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างต้องปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา “ท่านพ่อ ท่านแม่ แม่รอง นางให้มาเชิญไปกินบะหมี่ขอรับ หลังจากเสวยเสร็จแล้ว นางบอกว่าให้กลับมาอยู่ในนี้เหมือนเดิม นางบอกให้อดทนไปก่อน จวนสร้างเสร็จเมื่อไหร่ นางจะให้ย้ายไปอยู่ ที่นางทำเช่นนี้เพราะจวนคนเยอะมากพ่ะย่ะค่ะ” “เข้าใจแล้ว” พวกเขาตอบรับอย่างเข้าใจ ก่อนที่เฉินซีฮันจะเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อนางประกาศต่อหน้าทุกคน ว่าข้าเป็นคู่หมั้นของนาง” จ้าวซูเมิ่งที่ใช้ผ้าเช็ดระเบียงอยู่ถึงกับโยนผ้าทิ้ง ด้วยความตกใจและดีใจ ก่อนจะวิ่งมาหาบุตรชาย โจวชิงเหยียนและซูหนิงเหอ ก็ต่างรีบวิ่งมาเช่นกัน “จริงเหรอนางประกาศเช่นนั้นจริงหรือ? “ขอรับ” “แล้วลี่อินกับเจียวจูนางได้ประกาศหรือไม่” โจวชิงเหยียนถามออกไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เพราะหวาดกลัวกับคำตอบ “ลี่อินนางเป็นคนประกาศคนแรกเลยขอรับ เจียวจูคนที่สอง และซิ่วอิงคนที่สามขอรับ” “กรี้ดดด” จู่ ๆ สตรีทั้งสามนางก็กรีดร้องออกมาด้วยความดีใจ “ลี่อินลูกสะใภ้ข้าน่ารักที่สุด” “เชอะ! เจียวจูลูกสะใภ้ข้างดงามกว่าใคร” “หยุด! ซิ่วอิงลูกสะใภ้ของข้า งดงามและจิตใจดีมากกว่าใครทั้งหมด” เฉินหมิงเจ๋อส่ายหัวกับความไร้สาระของพวกนาง “ข้าไปก่อนละ รอพวกเจ้าเถียงกันจบ ข้าคงหิวตายกันพอดี” “ท่านพี่รอข้าด้วยเจ้าค่ะ”กลิ่นเนื้อย่างส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปรอบบริเวณ ซิ่วอิงให้พวกเขาไปนับจำนวนคน รวมทั้งช่างก่อสร้างและช่างตัดต้นไม้ รวมแล้วเกือบสองร้อยชีวิต ทางโรงเตี๊ยมลู่เฉิงและลู่ไฉ่ดูแล นางจึงไม่ได้กังวลมากนัก “ซิ่วอิงเจ้าดูข้าลองเปลี่ยนใบหน้า ท่านพ่อท่านแม่ เป็นเช่นไรฝีมือข้า” ลี่อินพาอดีตฮ่องเต้ อดีตฮองเฮาและพระสนม อีกทั้งข้ารับใช้คนสนิท ออกมาจากมิติ นางทำการเปลี่ยนใบหน้า ให้พวกเขาทั้งหมด ซิ่วอิงยกยิ้มอย่างพอใจ “คนอื่น ๆ ก็เดี๋ยวค่อยให้พี่จือหยวนและพี่จือไฉ ยกอาหารเอาไปให้ก็แล้ว ออกมากันหมดผู้คนอาจจะสงสัยเอาได้” “เข้าใจแล้ว” ลี่อินตอบรับ ก่อนจะพาพวกเขาไปนั่ง แล้วหาไปยกน้ำชามาให้ “หลานสะใภ้คนงาม เจ้ากำลังทำอะไรหรือ?” ซิ่วอิงหันไปมองตามเสียงก็เห็นท่านปู่เดินยิ้มร่าเข้ามา อย่างอารมณ์ดี “อันนี้เรียกว่าขนมเค้กเจ้าค่ะ” “สีสันงดงามน่ากินจริง ๆ” ชายชรามองเค้กอย่างพอใจ “วันนี้ข้าทำหลายก้อนเลยเจ้าค่ะ ทุกคนจะได้กินกันอย่างทั่วถึงเจ้าค่ะ” “ดี ๆ ข้าไม่ได้กินอาหาร ฝีมือเจ้าทำมาหลายวัน ข้ารู้สึกว่าข้าผอมลงไปเยอะเลย” ทุกคนได้ยินเขาพูดก็หัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูวันนี้อาหารที่นางทำ ถึงแม้จะมีคนเยอะ แต่คนช่ว
ซิ่วอิง ลี่อินและเจียวจู กลับมาที่จวนอีกครั้ง แล้วตรงไปยังโรงครัวเพื่อทำอาหาร อยู่ในมิติแปลกมากเลย ร่างกายเหมือนอิ่มทิพย์ ไม่รู้สึกหิวอะไรเลย อาจเพราะเป็นมิติเทพ ร่างกายจึงไม่ต้องการอาหาร แต่พอกลับออกมาเช่นนี้ นางก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที“ซิ่วอิงข้ารู้สึกหิวมากเลย”“ข้าก็เหมือนกัน”“งั้นวันนี้พวกเราจัดเต็มไปเลย ฉลองวันเกิดอายุครบ15ปี และฉลองที่พวกเราสำเร็จพลังปราณ ขั้นสูงสุด เพราะฉะนั้นข้าจะทำเนื้อย่าง และจะทำเค้กด้วย” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง พอพูดถึงเนื้อย่างตงฮวนและหานเกอก็รีบเข้ามาร่วมวง “สตรีคนงามข้าขอหมูสามชั้นได้หรือไม่?” ตงฮวนรีบหยอดคำหวานทันที“สตรีผู้งามล้ำเหนือผู้ใดในใต้หล้า ข้าขอกุ้งตัวโต ๆ และเนื้อย่างแบบไม่สุกมาก”“เชอะ! พวกเจ้าเป็นบุรุษที่อยู่เป็นจริง ๆ” เจียวจูส่ายหน้าอย่างรู้เท่าทันพวกเขา“ข้าไม่ได้บอกสตรีไร้ยางอายเช่นเจ้า ข้าบอกซิ่วอิงผู้เลอโลมต่างหากเล่า?” ตงฮวนตอบกลับไปอย่างยียวนกวนประสาท“นี่เจ้าเต่าโบราณล้านปี!”“หยุด! หยุดเถิดข้าขอร้อง ข้าเหนื่อยจะฟังแล้ว” ซิ่วอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าและเริ่มรำคาญ เฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิงและเฉินจางหย่ง ก็ต่างพากันหัวเราะออ
พวกเขาเฝ้ามองแสงที่ครอบร่างของพวกเขาทุกวัน เวลาผ่านไปห้าวันแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่ออกมา ยามนี้ทุกคนนั่งไม่ติด เพราะรู้สึกเป็นห่วงว่าเหตุใดพวกเขาถึงยังไม่ออกมา พวกเขาจะฝึกพลังนานเพียงใดกันนะ“ท่านปู่ข้าเป็นห่วงพวกเขามากเลยขอรับ” เฉินซีฮันเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อก่อนเขาก็อยู่ได้โดยที่ไม่มีนาง แต่มายามนี้ ชีวิตกระวนกระวาย เหมือนขาดอะไรไป “นั่นสิห้าวันแล้วที่พวกเขาเข้าไปฝึก หากใช้เวลาเป็นเดือนจะทำอย่างไร?” เฉินเจียวหมิงเอ่ยอย่างวิตกกังวลไม่ต่างกัน “ข้าว่าไม่นานก็คงออกมาแล้วละ พวกเจ้าดูแสงพวกนั้นสิ ค่อย ๆ จางลงแล้ว” เฉินจางหย่งเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น พร้อมชี้ให้ทุกคนดู เมื่อทุกคนมองไปดู ก็เห็นว่าแสงเริ่มลดลงจริง ๆ พวกเขาต่างมายืนจ้องมองตาไม่กะพริบ ผ่านไปเพียงห้าวัน พวกเขารู้สึกว่ายาวนานเหมือนห้าปี ก่อนที่การรอคอยจะสิ้นสุดลง เมื่อแสงที่เปล่งประกายได้จางหายไป ก่อนพวกเขาทั้งห้าคนจะลุกขึ้น และก้าวเดินมาที่พวกเขานี่มันอะไรกัน! ผ่านไปเพียงห้าวัน พวกเขาเติบโตขึ้นถึงเพียงนี้ น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ซิ่วอิง ลี่อิน เจียวจู สวยสดงดงามดั่งเซียนน้อยมาจุติยังโลกมนุษย์ ตงฮวนหล่อเหล่าสง่างาม ดั่
เด็กทั้งห้าคนกลับถึงจวน ด้วยความสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าวสารอาหารแห้ง ทางร้านจะมาส่งทีหลัง เพราะเถ้าแก่เจ้าของร้านยุ่งจนหัวหมุน พวกเขาทั้งห้าคนเห็นทุกคนเริ่ม ตุนเสบียงและอาหารเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยพวกเขา ก็ซื้อได้ในราคาปกติ หากรอไปซื้อในช่วงฤดูหนาว พ่อค้าคงขึ้นราคาเป็นแน่ “ป้าหวังที่จวนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ” “ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงยกยิ้มอย่างพอใจ “ช่วงนี้ข้าฝากท่านป้าและลุงฮุ่ยช่วยดูแลจวนด้วยเจ้าค่ะ พี่อู่ถง พี่อู่จิ้ง พี่อู่หย่ง ต่อไปท่านทั้งสามคนช่วยดูแลเรื่องทั่วไปในจวน หากต้องการซื้ออะไรเพิ่ม หากจำเป็นก็ซื้อได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะฝากเงินไว้กับป้าหวัง พี่ซูผิงว่าง ๆ ก็ช่วยสอนเด็กๆ หัดคัดอักษรทีเจ้าค่ะ กระดาษและหมึก มีพร้อมไม่ต้องกังวล ช่วงนี้พวกข้ามีเรื่องให้ทำมากมาย หากวันไหนข้าไม่ได้ทำอาหาร ป้าหวังพาทุกคนทำเลยนะเจ้าคะ ให้ทุกคนได้กินอย่าปล่อยให้หิว เพื่อรอพวกข้าเจ้าค่ะ” “ขอรับ/เจ้าค่ะ ซิ่วอิงสั่งงานทุกคน เพราะตอนนี้นางและสหายมีเรื่องให้ทำมากมาย จึงไม่สามารถทำได้เหมือนแต่ก่อน “ท่านลุงช่วงนี้ยังไม่เป็ดให้ย่าง ท่านสามคนไปขนฟืนที่ช่างตัดต้นไม้มาไว้ที่จวนเจ้า
ไม่นานข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองเหยียนฟางว่า หมู่บ้านเหยียนฟางมีผีร้าย ข่าวลือเรื่องนี้ทำเอาผู้คนขนลุกขนชันด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่ใช่เพียงทหารคนเดียวที่พบ แต่เป็นทหารหลายสิบคน รวมทั้งท่านเจ้าเมืองและนายอำเภอ ซิ่วอิงและสหาย ที่ออกมาสั่งของที่ตลาด พอได้ยินข่าวนี้ ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ด้วยความสะใจ สมน้ำหน้า! “ฮ่า ๆ ข้าละสะใจจริง ๆ” หานเกอเอ่ยขึ้น “ใช่สมน้ำหน้า ไปรบกวนวิญญาณคนตาย ก็ต้องเจอดีแบบนี้” เจียวจูเสริมขึ้น “ซิ่วอิงวิญญาณพวกเขา ยังไม่ไปเกิดใหม่อีกเหรอ?” ลี่อินเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าคิดว่าพวกเขา คงยังเป็นห่วงสมบัติอยู่ เลยยังไม่จากไปไหน” “ซิ่วอิงข้าคิดแผนออกมาได้แล้ว” ตงฮวนเอ่ยขึ้นด้วย ท่าทางเจ้าเล่ห์ “แผนอะไรรึ?” ซิ่วอิงหันมาถามอย่างสนใจ “ก็แผนไปสำรวจพื้นที่แถบนั้นนะสิ” “แต่ว่าตงฮวนเจ้าไม่กลัวผีรึ?” เจียวจูถามขึ้น “จะกลัวทำไมวิญญาณเหล่านั้น เป็นคนในครอบครัวของเราที่ถูกฆ่า ข้าดีใจเสียอีกหากว่าจะได้พบพวกเขาอีก” ซิ่วอิงฟังจากที่ตงฮวนพูดก็ครุ่นคิด แผนของเขาดีมากเลยทีเดียว ตงฮวนเป็นเด็กฉลาด เขาสามารถฟังและวิเคราะห์ ได้อย่างดีเยี่ยม“แล้วจะไปสำรวจยังไง ไม่ใช่ว่าพวกเ
เช้าวันนี้มีประกาศจากทางการว่า มีแจ้งเบาะแสว่าพบเจออดีตฮ่องเต้ หลบหนีอยู่ที่หมู่บ้านไฉ่หลิน ทางการจึงจำเป็นต้อง ส่งคนไปตรวจสอบ อู่ถงรีบเข้ามารายงานอีกเช่นเคย เพราะเขามีหน้าไปจ่ายของที่ตลาด จึงพบเห็นทางการออกมาปิดประกาศข่าวสาร ให้ผู้คนได้รับรู้ “นายหญิงน้อย ดูเหมือนทางการจะออกมาติดประกาศแจ้งข่าวขอรับ” “แจ้งว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” “แจ้งว่าพบเจอ อดีตฮ่องเต้หลบหนีไปอยู่แถว ๆ หมู่บ้านไฉ่หลินขอรับ” ซิ่วอิงจากที่กำลังผัดผัก ก็ต้องหยุดชะงักลงทันที ทางการคงอ้างเหตุผลนี้ เพื่อเข้าไปตรวจค้นสมบัติ ที่หมู่บ้านไฉ่หลินเป็นแน่ หากเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังไม่รู้เรื่องนี้ และดูเหมือนท่านเจ้าเมือง จะทำการปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ “แล้วยังมีข่าวอย่างอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ?” “ไม่มีแล้วขอรับ” เขาตอบเสร็จก็เดินไปยกของลงจากรถวัวเทียมเกวียน ซิ่วอิงจึงหันมาหาสหาย ที่ช่วยงานกันอยู่ในครัว “ท่านเจ้าเมืองคงเริ่มให้ทหารไปสำรวจพื้นที่แล้ว ข้าลืมบอกพวกเจ้าไป ก่อนหน้านี้ข้าได้ฝันเห็น วิญญาณของทุกคนที่จากไป บิดาของข้ายังบอกอีกว่า พื้นที่แถบนั้นมีสมบัติซ่อนอยู่” “จริงเหรอซิ่วอิง” หานเกอถามขึ







