บทที่ 1.1
แม่ที่เปลี่ยนไป
“ผมไม่ไป! ปล่อย! แม่ช่วยพวกเราด้วย แม่!”
เสียงของเด็กชายฝาแฝดวัยสามขวบร้องประสานหาคนเป็นแม่ลั่นอยู่ที่หน้าบ้านตระกูลหลี่ แม้จะรู้ว่าต่อให้อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีทางช่วยเหลือปกป้องพวกเขา แต่เวลานี้พวกเขานึกถึงใครไม่ออกแล้วจริงๆ แขนเล็กของทั้งสองคนถูกหญิงแปลกหน้าสองคนฉุดกระชากไปคนละทิศละทาง โดยมีหม่าอิงหงผู้เป็นย่ายืนนับเงินหยวนด้วยสีหน้าพอใจ ไม่แม้แต่จะชายตามองหลานชายตัวน้อยทั้งสองคนที่ถูกผู้อื่นฉุดกระชากอย่างไร้ความปรานี
ก็แค่หลานนอกไส้ ที่พ่อมันตายแล้ว ส่วนแม่มันก็หนีตามชู้ เธอจะเลี้ยงดูให้ยากลำบากต่อไปทำไม สู้ขายเอาเงินมาซื้อผ้าใหม่ตอนสิ้นปีไม่ดีกว่าหรือ
“ปล่อย! ย่าช่วยพวกเราด้วยครับ อย่าขายพวกเราเลยพวกเราจะไม่ดื้อ จะเชื่อฟัง ย่าครับ!”
เด็กชายที่ตัวเล็กกว่าอีกคนร้องอ้อนวอนย่า ก่อนจะทิ้งตัวดิ้นรนต่อต้านสุดกำลัง ทว่าไม่เพียงหญิงแปลกหน้าที่ฉุดกระชากจะไม่สนใจเขา เธอยังง้างมือขึ้นฟาดลงมาที่เขาสุดแรง
เพี๊ยะ! ใบหน้าตอบแห้งของเด็กชายตัวน้อยพลันชาวาบ ริ้วแดงขึ้นเป็นแถบรอยนิ้วมือ ยังไม่ทันส่งเสียงร้องร่างกายก็ถูกทุบตีอย่างต่อเนื่องจนดวงตากลมแดงก่ำ หยาดน้ำตาไหลรินร้องโหออกมา
“อย่าทำร้ายอาชุนนะ!”
เด็กชายอีกคนร้องห้ามเสียงลั่นเมื่อเห็นน้องฝาแฝดของตนถูกทุบตี ริมฝีปากเล็กอ้าออกแล้วก้มลงกัดข้อมืออวบอ้วนที่จับเขาไว้จนหลุดจากพันธนาการ ก่อนจะวิ่งไปผลักคนที่ทุบตีน้องของเขาจนอีกฝ่ายล้มลง
“ไอ้เด็กสารเลว วันนี้ฉันจะตีพวกแกให้ตาย”
สองพี่น้องฝาแฝดกอดกันกลมเมื่อเห็นหญิงแปลกหน้าสองคน ง้างมือเดินเข้ามาตบตีพวกเขาอย่างไม่ออมแรง หลี่หมิงกระชับวงแขนโอบน้องชายเอาไว้แน่น หลี่ชุนร่างกายไม่แข็งแรงย่อมไม่อาจทนความเจ็บปวดได้ไหว แต่ถึงอย่างนั้นหลี่หมิงก็เป็นแค่เด็กสามขวบถูกแรงหญิงวัยกลางคนทั้งทุบตีทั้งกระชาก สุดท้ายน้องชายก็หลุดออกไปจากอ้อมแขน
“อาชุน!”
“พี่ชาย... โอ๊ย!”
หลี่ชุนถูกฝ่ามือหยาบตีลงบนเนื้อตัวก็ร้องไห้โฮเสียงดังลั่น ความเจ็บปวดแผ่กระจายไปร่างกายจนต้องงอตัวหลบเลี่ยง
“อย่าตีอาชุนนะ ปล่อย! อย่านะ อย่าตีอาชุน!”
หลี่หมิงร้องลั่น ทั้งดิ้นรนต่อต้าน ทั้งร้องขออ้อนวอน สายมองไปที่น้องชายด้วยความห่วงใยระคนคับแค้นใจ พยายามสุดกำลังเพื่อไปช่วยอีกฝ่าย โดยไม่สนใจแรงฝ่ามือที่ทุบตีบนตัวของเขา
“โอ๊ย!”
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของหญิงแปลกหน้าสองคนดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน พร้อมกับแรงทุบตีพวกเขาที่หยุดลง หลี่หมิงที่หลุดจากการจับกุมรีบพุ่งตัวไปโอบกอดตรวจสอบอาการบาดเจ็บของน้องชาย
“อาชุนเจ็บตรงไหมบ้าง”
หลี่ชุนเม้มริมฝีปาก ยื่นแขนที่แดงช้ำให้พี่ชายดูทั้งน้ำตา ก่อนจะขยับงอตัวซุกอยู่ในอกของคนเป็นพี่ แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองเหตุการณ์ตรงหน้า ดวงตากลมใสก็พลันเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าบนศีรษะของคนที่ทำร้ายพวกเขาตอนนี้อาบไปด้วยเลือดจนดูน่ากลัว
“เฉินซิ่วลี่!”
หม่าอิงหงร้องอย่างตื่นตระหนก สะใภ้น่ารังเกียจผู้นี้ไม่ใช่ว่าหนีตามชายชู้ไปแล้วหรือไร เหตุใดจึงยังอยู่ตรงนี้ได้เล่า อย่างนี้แล้วเธอจะขายเจ้าภาระสองคนนี้ออกไปได้อย่างไรกัน
“ธะ... เธอกล้าตีคนเหรอ”
“พวกคุณกล้าตีลูกฉัน ทำไมฉันจะไม่กล้าตีคุณล่ะ”
เฉินซิ่วลี่ตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว เพื่ออนาคตที่ปลอดภัยของเธอไม่ว่ายากลำบากอย่างไรเฉินซิ่วลี่ก็ต้องปกป้องเด็กชายฝาแฝดคู่นี้เอาไว้ให้ได้ ดังนั้นตลอดทางจากริมแม่น้ำเธอจึงพยายามสุดชีวิตวิ่งตามความทรงจำเดิมของร่างกายกลับมาที่บ้านหลังนี้ จุดหมายก็คือ ขัดขวางหม่าอิงหงในการขายลูกชายฝาแฝดของเธอและหลี่อันเฉิง
“ฉันจะไปแจ้งคณะกรรมการหมู่บ้านของเธอ ว่าเธอทำร้ายคน”
“แจ้งก็แจ้งสิ เช่นนั้นก็ไปพร้อมกันในตอนนี้เลยดีหรือไม่”
เสียงตอบโต้ที่แข็งกร้าวมั่นคงทำให้หญิงสองคนเกิดความหวั่นเกรงอยู่ในใจ ไม่ใช่ว่าแม่ของเด็กแฝดคู่นี้ เป็นผู้หญิงฉาวโฉ่ที่ไม่เคยใส่ใจลูกๆ หรือไง เหตุใดตอนนี้จึงกลายเป็นแม่ไก่หวงไข่เช่นนี้เล่า
“ทำเป็นแสนดีปกป้องลูก หึ! เธอจะเอาเงินเพิ่มใช่หรือไม่”
แน่นอนว่าต้องเป็นเหตุผลนี้อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นคนแบบเฉินซิ่วลี่จะกลายเป็นมารดาที่แสนดีในช่วงข้ามคืนได้อย่างไร
“พวกฉันจ่ายแล้ว จะไม่จ่ายเพิ่ม รีบส่งคนมาได้แล้ว”
“แม่ของพวกเขายังอยู่ตรงนี้ใครกล้าขายพวกเขากัน”
“เอ่อ...”
“หลี่หมิงกับหลี่ชุนเป็นลูกของฉันหากใครกล้าเอาตัวพวกเขาไปฉันจะแจ้งความ”
อย่างไรเสียเธอก็ตัวคนเดียว ถึงแม้อายุจะน้อยกว่าแต่หากหญิงสามคนนี้ร่วมมือกันคิดแย่งคนไปขายจริงๆ เฉินซิ่วลี่ก็คงสู้ไม่ไหวอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินคำว่าแจ้งความใบหน้าของหญิงต่างหมู่บ้านสองคนก็ซีดเผือดหม่าอิงหงรีบเก็บเงินหยวนในมือซ่อนไว้ด้านหลัง เตรียมขยับตัวหนี ทว่าไม่ได้คนจะยอมเสียเงินได้อย่างไร คนทั้งสองจึงเดินมาแย่งเงินคืนแล้วสบถด่าหม่าอิงหงอีกหลายประโยคที่คิดหลอกขายคน โชคดีที่วันนี้พวกเธอไม่ได้นำตัวเด็กไป ไม่อย่างนั้นหากแม่ของเด็กไปแจ้งความจับพวกเธอก็จะกลายเป็นอาชญากรลักพาตัวคนแล้ว
“เฉินซิ่วลี่! นังตัวดีแกกล้าต่อต้านฉันเหรอ ฉันเป็นแม่ของอาเฉิง เป็นย่าของเด็กสองคนนี้นะ”
“แต่ฉันไม่เคยได้ยินพี่เฉิงเรียกคุณว่าแม่เลยนะคะ แบบนี้แล้วคุณจะนับเป็นย่าของลูกฉันได้อย่างไร”
ไม่ผิด หลี่อันเฉิงนั้นตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยเรียกขานหม่าอิงหงว่าแม่เลยสักคำ ยิ่งไม่เคยแสดงท่าทีเคารพต่อเธอเลยแม้แต่น้อย เงินทองที่ส่งมาก็มอบให้เพียงเฉินซิ่วลี่ผู้เป็นภรรยาไม่ส่งให้มารดาเลี้ยงเช่นเธอเลยแม้แต่หยวนเดียว
“ฉันคิดว่าพวกเราควรอยู่กันแบบน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลองจะดีกว่านะคะ หรือไม่พวกเราสองบ้านก็ไปสำนักทะเบียนทำเรื่องแยกบ้านกัน”
แยกบ้าน หากทำแบบนั้นหม่าอิงหงก็ไม่มีสิทธิในตัวเด็กแฝดคู่นี้น่ะสิ ภายหน้าจะขายพวกเขาได้อย่างไรกัน สุดท้ายเพื่อไม่ให้สิทธิความเป็นย่านี้หายไปหม่าอิงหงก็หันหลังเดินกลับเข้าบ้านของตนเองไป
เมื่อทุกอย่างสงบลงเฉินซิ่วลี่ก็เข้าไปประคองลูกชายที่นอนขดตัวอยู่บนพื้นทั้งสองคนขึ้นมา เด็กชายทั้งสองแสดงอาการตื่นกลัวและหวาดระแวงเธออยู่ในที นี้คงเป็นเพราะก่อนหน้านี้เจ้าของร่างเดิมคงทำตัวร้ายกาจต่อเด็กชายทั้งสองไม่น้อยเช่นกัน
“อาหมิง อาชุนเข้าบ้านไปทำแผลกันก่อนเถอะ”
หลี่หมิงและหลี่ชุนเม้มริมฝีปากแน่น สายตามองท่าทีของคนเป็นแม่ที่เปลี่ยนแปลงไปแบบกะทันหันด้วยความไม่ไว้ใจ ทว่าเมื่อเทียบกับคนแปลกหน้าที่ทุบตีพวกเขาเมื่อครู่ หรือย่าที่ขายพวกเขาให้กับผู้อื่นด้วยสีหน้ายินดี เด็กชายทั้งสองย่อมเลือกที่จะเชื่อฟังแม่ที่เปลี่ยนไปของพวกเขามากกว่า
“ครับ”
แม้ตามนิยายหม่าอิงหงจะขายหลายชายนอกไส้สองคนออกไป แต่เจ้าของร่างเดิมก็ยังหวังว่าคนที่ซื้อลูกชายทั้งสองไปจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี ไม่ต้องยากลำบากเหมือนยามอยู่กับเธอจึงไม่คิดออกตามหารับตัวกลับมา แต่ดูจากท่าทีโหดร้ายที่คนเหล่านั้นลงมือต่อเด็กทั้งสองเมื่อครู่แล้วไม่อยากจะคิดเลยว่าหากวันนี้เธอกลับมาไม่ทันเด็กชายฝาแฝดคู่นี้จะมีชีวิตอย่างไรในอนาคต
.........................................
“คุณพ่อ คุณแม่ อาเหม่ยอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้”เสียงเด็กหญิงไว้ 3 ขวบร้องบอกคนเป็นพ่อและแม่ กวงซุนหลี่ยิ้มรับทว่าขณะที่กำลังจะเดินไปซื้อของให้ลูกสาวคนเล็ก มือข้างซ้ายก็ถูกดึงรั้งเอาไว้เสียก่อน“อาเหม่ยเพิ่งซื้อของเล่นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน หากจะซื้อชิ้นใหม่ต้องเป็นเดือนหน้า”เฉินซิ่วลี่ห้ามปรามเด็กหญิงตัวน้อยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้ากลมสดใสพลันสลดน้ำตาคลอก้มหน้ามองพื้น หลี่ชุนในวัย 10 ขวบรีบเข้ามาอุ้มน้องสาวตัวน้อยขึ้นแล้วเอ่ยกระซิบปลอบประโลม“ไม่เป็นไรนะอาเหม่ย เดี๋ยวเดือนหน้าพี่ซื้อให้”ด้วยฐานะทางบ้านของพวกเขาตอนนี้ แค่ของเล่นเพียงชิ้นเดียวไม่ใช่เรื่องยากที่จะซื้อหามาครอบครอง แต่เพราะพวกเขาเคยผ่านความยากลำบากมาก่อนจึงได้เรียนรู้คุณค่าของเงิน ในบ้านจึงมีกฎให้ซื้อของเล่นได้เพียงเดือนละ 1 ชิ้นเท่านั้น“ผมเอาตัวนี้ ใส่ถุงให้ด้วยครับ”เสียงเข้มราบเรียบเอ่ยบอก ทุกสายตาพลันหันมาจดจ้องที่หลี่หมิงขณะที่พนักงานขายรีบหยิบตุ๊กตาที่เด็กหญิงร้องบอกอยากได้เมื่อครู่ใส่ถุงอย่างรวดเร็ว“อาหมิงลูกกำลังจะทำลายกฎของบ้านเรา”เฉินซิ่วลี่เอ่ยบอกเสียงราบเรียบ แม้จะไม่ได้มีน้ำเสียงหรือท่าทางตำหนิ แต่สายตานั้นชัดเจ
“คืนนี้พวกเราจะได้น้องสาวแล้วใช่ไหมครับ”หลี่ชุนกระซิบเสียงเบา มุมปากของคนเป็นพ่อยกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้ารับด้วยสายตามุ่งมั่น“พ่อรับรองว่าเดือนหน้าน้องสาวของลูกต้องมาแน่ๆ”เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของคนเป็นพ่อสองเด็กชายก็ย้ายไปนอนที่ห้องถัดไป ขณะที่ร่างสูงโปร่งของกวงซุนหลี่ขยับเดินเข้าห้องลงกลอนแน่นหนาฉับไว “อื้ม...”เฉินซิ่วลี่ร้องครวญในลำคอเมื่อร่างกายถูกรบกวน ความเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะผิวกายทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนที่ดวงตาจะเปิดออก“คุณกวง! เข้ามาทำไมคะ”เพราะความแนบชิดที่ไม่เหมาะสมทำให้เธอตื่นตระหนกรีบมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง“หยุดนะคะ เดี๋ยวเด็กๆ เห็น”“เด็กๆ ย้ายไปนอนอีกห้องแล้ว”คนตัวโตที่ปลดเปลื้องผ้าของเธอจนเหลือเพียงร่างที่เปลือยเปล่าเช่นเดียวกับเขากระซิบบอกเสียงแหบพร่า แนบชิดร่างกายกำยำลงทาบทับบนตัวนุ่ม“คุณกวงหยุดก่อนค่ะ เราต้องคุยกันให้ชัดเจนก่อน”“เดี๋ยวค่อยคุยนะ”ริมฝีปากร้อนขยับจากลำคอขาวกดแนบชิดบดเบียดริมฝีปากบาง พร้อมกับวางมือบีบเคล้นอกอวบอิ่มทั้งสองข้าง ร่างกายของเฉินซิ่วลี่พลันตื่นตัวขนกายสาวลุกชัน สองเนื้อนิ่มแข็งสู้กับมือหนากวงซุนหลี่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ถอนริมฝ
“แค่ทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกก็พอ”ใบหน้าของกู้เหยียนพลันร้อนผ่าวแดงก่ำไปจนถึงลำคอ เดิมทีเขาเสนอตัวช่วยแก้ปัญหานี้ก็เพราะว่าเงื่อนไขของคุณหนูกวงเพียงแค่อยากแต่งงาน แต่ไม่ต้องการความสัมพันธ์ทั้งทางกายและใจ ให้แยกบ้านเธอก็ยินดี ในเมื่อชีวิตนี้เขาเองก็ไม่คิดแต่งงานกับใครอีกแล้ว ให้แต่งหลอกๆ เป็นหุ่นเชิดให้เธอก็ไม่นับว่าเสียหายอะไร แต่งเสร็จเขาก็กลับไปเมืองเจียงเป็นคุณหมอกู้ของชาวบ้านต้าหยางต่อไปก็เท่านั้นเพียงแต่แค่เรื่องหลอกๆ เรื่องหนึ่งทำไมต้องให้เขานอนกับเธอด้วย ทำแบบนี้กวงจือหลินย่อมต้องถูกผู้คนครหาติฉินนินทา ทว่าเขาไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธกวงจือหลินก็ตอบรับแผนการของกวงซุนหลี่ไปแล้ว“ได้!”“ดี! อาหย่งเอาเหล้ามา”กู้เหยียนมองเหล้าดีกรีแรงตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายฝืดลงคอ ทั้งชีวิตของเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับเส้นทางอบายมุขไม่ว่าจะเป็น เหล้า บุหรี่ ฝิ่น การพนัน และผู้หญิง ล้วนไม่เคยข้องเกี่ยว ดังนั้นเมื่อกวงซุนหลี่ส่งแก้วเหล้าให้ มือหนาจึงยื่นไปรับด้วยท่าทางลังเล“อาหลี่ ฉัน... ไม่กินได้หรือไม่ นายก็รู้ว่าฉัน...”กู้เหยียนพูดยังไม่ทันจบประโยคแก้วเหล้าในมือก็ถูกกวงซุนหลี่จับจรดที่ริมฝีปากของเขา ตอนนี้แม
“นอกจากเธอฉันไม่เคยสัญญาจะแต่งงานกับใครทั้งนั้น”เฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเรียวมองคนตรงหน้าด้วยสายตาสับสน กวงซุนหลี่จับมือซ้ายของเธอมากอบกุมแล้วกดจุมพิตที่หลังมือนุ่มก่อนจะสวมใส่แหวนลงไปที่นิ้วนางเธอเหมือนเดิม“คุณกวง คุณจะทำอะไร ฉันไม่ยินดีแต่งเป็นภรรยารองให้คุณหรอกนะ หรือต่อให้เป็นภรรยาเอก ฉันก็ไม่ยินดี”“เอาไว้ไปถึงบ้านฉันจะอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เธอฟัง แต่นับจากนี้ห้ามเธอถอดแหวนวงนี้อีก และห้ามเธอทอดทิ้งฉันด้วย แค่คิดก็ไม่ได้เข้าใจไหม”น้ำเสียงกระซิบอ้อนวอนราวกับสาวน้อยถูกรังแก ทำให้ความกรุ่นโกรธในใจของเฉินซิ่วลี่จางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น “ได้! ฉันจะรอฟังคำอธิบายของคุณ แต่ถ้าเหตุผลไม่เพียงพอเรื่องของเราก็ยังคงต้องยุติ”“ไม่ได้! ฉันไม่ยอม”กวงซุนหลี่เอ่ยบอกอย่างดื้อดึงพร้อมกับกระชับอ้อมแขนแน่น เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวไม่คิดทำเรื่องที่เสียแรงเปล่าอย่างการดิ้นรนขัดขืนเขา รั้งรอจนรถหยุดลงกวงซุนหลี่ก็อุ้มคนลงจากรถเดินเข้าบ้านในทันที“คุณกวงปล่อยฉันนะคะ ฉันเดินเองได้”“ไม่!”เสียงเข้มหนักแน่นตอบกลับพลางก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในห้องโถงแล้วนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวโดยยังคงกอดรัดเฉินซิ่วลี่ไว้บนตักไม่ยอมปล
นี่เขาคงไม่คิดจะประกาศแต่งงานกับเธอในเวลานี้หรอกนะดวงตาคมของคนบนเวทีมองตอบกลับสอดประสานดวงตาเรียว ก่อนที่เขาจะประกาศก้องอีกครั้ง“ลี่ลี่ แต่งงานกับฉันนะ”เมื่อได้ยินกวงซุนหลี่เอ่ยชื่อหญิงสาวที่เขาต้องการแต่งงาน บรรดาแขกในงานก็ส่งเสียงวิจารณ์อื้ออึงอีกครั้ง“ลี่ลี่เหรอ ใครกัน”“นั่นสิ! คุณกวงไม่ใช่ว่ากำลังคบหาดูใจกับคุณหนูกวงจือหลินอยู่หรือ ทำไมถึงประกาศแต่งกับคนอื่นได้”“แบบนี้คุณกวงจือเหลียงจะยอมหรือ”“กวงซุนหลี่ เขาไม่รักลมหายใจของตนเองแล้วหรือไง”คำพูดของผู้คนมากมายดังก้องไปทั่วงานจนกวงซุนหลี่ขบกรามแน่น หากแต่ใครจะพูดอย่างไรเขาล้วนไม่สนใจ ที่เขาสนใจมีเพียงเฉินซิ่วลี่ที่ยังนั่งนิ่งไม่ตอบรับคำขอของเขา“ลี่ลี่ ฉันสัญญาหากเธอตกลงแต่งงานกับฉัน ฉันจะมีแค่เธอ จะปกป้องดูแลเธอและครอบครัวของเราด้วยชีวิตของฉัน”หัวใจของเฉินซิ่วลี่พลันสั่นระรัว มองสบดวงตาคมด้วยแววตาสั่นไหว ดูแลด้วยชีวิต เมื่อได้ยินคำพูดนี้ความรู้สึกในวันที่เธอคิดว่าเขาตายจากไปแล้วก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสแบบเธอ ในเมื่อมีโอกาสแล้วยังต้องยึดติดกับทิฐิและข้อสงสัยมากมายทำไมกัน เมื่อคิดได้เช่นนี้เฉินซิ่วลี่ก็โยนท
เมื่อใกล้ถึงเวลาเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของกวงซุนหลี่ เฉินซิ่วลี่ก็เลือกสวมชุดสีฟ้าเข้ารูปคอสูงเพื่อปกปิดร่องรอยที่กวงซุนหลี่ทิ้งเอาไว้บนลำคอระหง แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่จัดเลี้ยงกู้เหยียนใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็ขับรถมาถึงหน้าโรงแรมจัดเลี้ยง ชายในชุดสูทแบบตะวันตกก็เดินมาเปิดประตูรถทั้ง 4 ด้าน กู้เหยียนส่งกุญแจรถให้พนักงานตรงหน้านำรถไปจอดในสถานที่จอดรถ ส่วนตัวเขาเดินมารับเฉินซิ่วลี่ ขณะที่หลี่หมิงและหลี่ชุนเดินขนาบข้างซ้ายขวาหวังรั่วซีตามหลังคนเป็นแม่เข้างานอย่างสงบเสงี่ยมรู้ความและในทันทีที่เฉินซิ่วลี่ก้าวเท้าเข้ามาในงาน ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น จึงทำให้สายตาชายหนุ่มในงานจดจ้องมาที่เธออย่างมากมาย หากไม่เพราะข้างกายเธอมีกู้เหยียนเคียงข้างอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าคืนนี้เฉินซิ่วลี่คงไม่อาจนั่งอย่างสงบแน่นอน“คุณกวงจัดที่นั่งไว้ให้คุณเฉินและผู้ติดตามเป็นพิเศษ เชิญพวกคุณทางด้านนี้ครับ”เมื่อทุกคนในงานได้เห็นตำแหน่งที่นั่งของเฉินซิ่วลี่ผู้คนในงานต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานะความสำคัญของเธอและกู้เหยียน จวบจนกระทั่งกวงซุนหลี่ก้าวเท้าเข้ามาความสนใจของผู้คนจึงเปลี่ยนไปที่เขาแทน“สวัสดีค่ะคุณก