บทที่ 2.2
แม่ที่น่าโมโห
ประมาณ 9 โมงหลี่หมิงก็กลับเข้าบ้าน เนื้อตัวของเขามอมแมมเต็มไปด้วยใบชาและเศษหญ้า ดูก็รู้ว่างานที่เขาไปทำน่าจะเป็นการเก็บใบชาหรือเกี่ยวหญ้าเลี้ยงสัตว์
"อาชุน มากิน..."
เสียงของเด็กชายชะงักทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้านแล้วพบว่าแม่ที่ควรนอนอยู่ในห้องวันนี้กลับตื่นเช้ากว่าปกติ มือเล็กรีบขยับไปยังด้านหลังเพื่อซ่อนไข่ต้มสุกสองฟองในมือจากสายตาของมารดา แต่เมื่อเห็นว่าสายตาของเฉินซิ่วลี่จดจ้องมาที่เขาด้วยท่าทางนิ่งงัน ด้านข้างมีน้องชายฝาแฝดของเขานั่งอยู่อย่างสงบนิ่งก็จำต้องยื่นส่งไข่ทั้งสองฟองให้เธอ
ถือเสียว่าวันนี้เขากับน้องชายดวงไม่ดี อดอาหารเช้าสักวันก็แล้วกัน
เฉินซิ่วลี่รับไข่ต้มมาจากมือเล็ก เดิมทีตั้งใจจะตำหนิที่เขาออกจากบ้านสักประโยค แต่ภาพหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำเสียก่อน
เจ้าเด็กสารเลว แกกล้าซ่อนอาหารฉันเหรอ
มือที่กุมไข่ไก่สั่นสะท้าน ภาพเจ้าของร่างเดิมเดินออกจากห้องมาแย่งชิงอาหารจากมือของหลี่หมิงซ้อนทับกับการกระทำของเธอในตอนนี้ อีกทั้งหลังจากแย่งชิงของกินแล้วเจ้าของร่างเดิมยังด่าทอทุบตีเด็กชายตรงหน้าอย่างรุนแรง ก่อนจะให้พวกเขาสองพี่น้องนั่งคุกเข่ามองเธอกินอาหาร
ดวงตาเรียวร้อนผ่าว ดึงร่างผอมแห้งของหลี่หมิงเข้ามาโอบกอดแนบอก โหดร้าย... โหดร้ายเกินไปแล้ว ทำไมในโลกนี้ถึงมีมารดาที่โหดร้ายต่อลูกของตนเองได้ถึงขนาดนี้กัน
“อาหมิง แม่ขอโทษ”
ในใจของหลี่หมิงพลันเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด สอดส่ายสายตามองไปรอบตัว แม่ของเขามีท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้หรือว่าในบ้านจะมีใครแอบมองอยู่ หากไม่มีใครอยู่เช่นนั้นครั้งนี้แม่ต้องการหลอกเอาสิ่งใดจากเขากับน้องชายอย่างนั้นหรือ
หลี่หมิงไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นใดๆ จากอ้อมกอดนี้ ในใจของเขาล้วนแต่หวาดระแวงและสงสัย นั่นเพราะเมื่อเดือนก่อนแม่ก็มาทำดีกับเขาเช่นนี้ ทว่าสุดท้ายก็หลอกเอาสร้อยข้อเท้าที่พ่อซื้อให้เขากับอาชุนเป็นของขวัญวันเกิดครบรอบสองขวบไปขาย ดังนั้นหลี่หมิงจึงสลักเอาไว้ในใจไปแล้วว่า ไม่อาจเชื่อใจมารดา หากแต่แม้ในใจจะหวาดระแวงและไม่เชื่อใจในคำพูดของคนที่โอบกอด แต่หลี่หมิงก็ไม่ได้แสดงอาการต่อต้านหรือพูดออกมา เขาทำเพียงยืนนิ่งๆ ให้คนที่เรียกขานว่าแม่โอบกอดตามใจ
ขอเพียงแม่ไม่ทุบตีน้องชายกับเขา ก็แค่แกล้งโง่ ทำตัวว่าง่ายเชื่อฟังไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
“ต่อไปลูกๆ ไม่ต้องทำงานแล้วนะ”
“ไม่ทำงาน ก็ไม่ได้กินข้าวใช่ไหมครับ”
หลี่ชุนที่นั่งอยู่เอ่ยบอกเสียงอ่อน มือเล็กกำชายเสื้อเปื่อยๆ ของตัวเองก้มหน้ามองพื้น มารดากำลังจะให้เขาและพี่ชายอดอาหารอีกแล้วใช่ไหม เด็กน้อยขยับลงจากเก้าอี้แล้วทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าบนพื้น เช่นที่เคยทำทุกครั้งยามถูกสั่งให้อดอาหาร
เฉินซิ่วลี่มองเด็กชายอีกคนแล้วร้อนผ่าวในดวงตา ต่อให้เธอไม่ใช่แม่ที่แท้จริงๆ ของพวกเขา แต่ได้เห็นภาพเช่นนี้ก็สะท้านในอกและยากจะยอมรับ เด็กวัยสามขวบเช่นพวกเขาควรได้วิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน มีความสุขกับความรักของพ่อและแม่อันอบอุ่น เจ้าของร่างเดิมใช้ส่วนใดคิดจึงเลี้ยงดูพวกเขามาแบบนี้ สมควรแล้วที่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตจะถูกบิดาของพวกเขาทรมานจนตาย
เฉินซิ่วลี่เอื้อมมือไปดึงหลี่ชุนเข้ามาโอบกอดไว้ในอ้อมแขนอีกคน หลี่ชุนตัวเกร็งเล็กน้อยแต่ไม่ได้ขัดขืนเช่นเดียวกับพี่ชาย
“ต่อไปพวกลูกไม่ต้องไปทำงาน เรื่องอาหารแม่จะจัดการเอง”
หลี่ชุนเงยหน้าขึ้นมองมารดาที่เปลี่ยนไปในช่วงข้ามคืนแล้วเม้มริมฝีปากแน่นดวงตาแดงก่ำ มารดาที่อ่อนโยนและห่วงใยพวกเขาเช่นนี้ ช่างดีนัก หากว่านี่เป็นแค่ความฝันเขาก็ขอหลับไปตลอดชีวิต แขนเล็กสั่นน้อยๆ ค่อยๆ สอดกอดมารดาด้วยท่าทางลังเล
ทว่าหลี่หมิงกลับไม่คิดเช่นน้องชาย แม่ที่อ่อนโยนเช่นนี้ย่อมต้องแลกมากับบางสิ่งอย่างแน่นอน
“เช่นนั้นจะให้พวกเราทำอะไรครับ”
ทำอะไร พวกเขาแค่สามขวบจะต้องทำอะไรกัน
“แค่ลูกๆ เป็นเด็กดีเชื่อฟังแม่ก็พอแล้ว”
เด็กดี เป็นเช่นไรหลี่หมิงไม่รู้จัก แต่เชื่อฟังมารดาเขาล้วนเข้าใจ ดังนั้นข้อแลกเปลี่ยนนี้นับว่ายังไม่ยากจนเกินไป
“ไปเถอะสายแล้วรีบไปกินข้าว”
หลี่ชุนนึกถึงอาหารบนโต๊ะแล้วก็รีบกลับมานั่งบนเก้าอี้อย่างเชื่อฟัง รสชาติซี่โครงหมูทอดเมื่อวานยังตราตรึงลิ้นจนท้องของเขาร้องเบาๆ ดวงตากลมมองข้าวสวยสีขาวพูนชามที่ถูกส่งมาด้วยสายตาวาวโรจน์
ขณะที่หลี่หมิงมองกับข้าวง่ายๆ สามอย่างบนโต๊ะและข้าวสวยตรงหน้าแล้วขมวดคิ้ว มองมารดาที่กำลังปอกไข่ให้พวกเขาคนละฟองด้วยความสงสัย
เหตุใดจึงต้องทำดีกับพวกเขาขนาดนี้ แม่กำลังต้องการสิ่งใดกันแน่ หรือว่าแม่ตั้งใจจะเลี้ยงดูพวกเขาจนสมบูรณ์ แล้วค่อยขายออกไปในราคาที่สูงกว่าครั้งก่อน
การยกลูกหลานให้ผู้อื่นเลี้ยงเพื่อตัดภาระในบ้านเป็นเรื่องที่คนในชนบททำกันเป็นปกติ เพราะนอกจากจะลดภาระค่าใช้จ่ายในบ้านแล้ว คนรับเลี้ยงยังให้ค่าน้ำชาเป็นเงินหยวนอีกไม่น้อยด้วย แน่นอนว่าค่าน้ำชานี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของเด็กๆ ที่ถูกรับไปเลี้ยงอีกที ดังนั้นในใจของหลี่หมิงจึงสรุปได้เช่นนั้น
“อาหมิง อาชุนกินให้มาก กินเสร็จแล้วค่อยไปวิ่งเล่น บ่ายๆ ก็กลับมากินข้าวแล้วนอนกลางวัน”
“ครับ”
หลี่ชุนขานรับก่อนจะคีบผัดแตงกวาใส่ไข่เข้าปาก รสชาติกลมกล่อมกำลังดีทำให้แววตากลมเปล่งประกาย พริบตาข้าวในถ้วยก็พร่องไปเกินขึ้น ไม่คิดว่ารสมือของแม่จะดีถึงเพียงนี้
“ไม่ได้ครับ”
หลี่หมิงปฏิเสธเสียงนิ่ง ตะเกียบในมือคีบอาหารด้วยท่าทางสุขุม แม้จะรู้สึกพอใจต่อรสชาติอาหารแต่ก็พยายามข่มใจกินให้น้อยเข้าไว้ เพื่อที่จะได้ถ่วงเวลาไม่ให้ตัวเองสมบูรณ์เร็วเกินไป หากร่างกายยังไม่สมบูรณ์แม่ก็จะยังไม่ขายเขาออกไป
“ทำไมเล่า หรือว่าอาหมิงอยากทำอย่างอื่น”
“ยังทำงานไม่เสร็จครับ”
ความจริงแล้วเขาแค่ตั้งใจเอาไข่ต้มมาให้หลี่ชุนกินเป็นมื้อเช้า เสร็จแล้วก็จะกลับไปทำงานต่อ ทว่าเฉินซิ่วลี่ที่ตอนนี้ตั้งใจแล้วว่าจะเลี้ยงดูเด็กชายทั้งสองให้ดีย่อมไม่ยินดีให้เขากลับไปทำงาน
“ไม่ต้องไปทำแล้ว แม่บอกแล้วไงว่าจะหาเลี้ยงลูกๆ เอง”
“รับปากแล้ว ไม่ไปทำไม่ได้ครับ”
“งั้นเดี๋ยวแม่จะไปทำแทนเอง”
ทำแทน แม่ของเขาผู้นี้น่ะหรือจะทำงาน ปกติแม้แต่งานบ้านเธอยังไม่ทำ จะไปทำงานใช้แรงงานเช่นนั้นได้อย่างไร
“ไม่เป็นไรครับผมทำเองน่าจะดีกว่า”
อะไรคือเขาทำได้ดีกว่า เฉินซิ่วลี่มองเด็กชายตรงหน้านิ่ง อย่างน้อยร่างนี้ก็อายุยี่สิบแล้วจะทำงานได้แย่กว่าเด็กสามขวบเช่นเขาได้ยังไง
“ตามใจแม่ครับ”
เมื่อเห็นท่าทางคล้ายไม่พอใจของมารดา หลี่หมิงก็ไม่คิดดื้อรั้นให้อีกฝ่ายอารมณ์ขุ่นเคือง ตัวเขาไม่กลัวหากจะถูกทุบตี แต่ไม่ต้องการให้หลี่ชุนถูกทุบตีไปด้วย จึงจำใจยอมคล้อยตามคำบอกของคนตรงหน้า
.........................................
“คุณพ่อ คุณแม่ อาเหม่ยอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้”เสียงเด็กหญิงไว้ 3 ขวบร้องบอกคนเป็นพ่อและแม่ กวงซุนหลี่ยิ้มรับทว่าขณะที่กำลังจะเดินไปซื้อของให้ลูกสาวคนเล็ก มือข้างซ้ายก็ถูกดึงรั้งเอาไว้เสียก่อน“อาเหม่ยเพิ่งซื้อของเล่นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน หากจะซื้อชิ้นใหม่ต้องเป็นเดือนหน้า”เฉินซิ่วลี่ห้ามปรามเด็กหญิงตัวน้อยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้ากลมสดใสพลันสลดน้ำตาคลอก้มหน้ามองพื้น หลี่ชุนในวัย 10 ขวบรีบเข้ามาอุ้มน้องสาวตัวน้อยขึ้นแล้วเอ่ยกระซิบปลอบประโลม“ไม่เป็นไรนะอาเหม่ย เดี๋ยวเดือนหน้าพี่ซื้อให้”ด้วยฐานะทางบ้านของพวกเขาตอนนี้ แค่ของเล่นเพียงชิ้นเดียวไม่ใช่เรื่องยากที่จะซื้อหามาครอบครอง แต่เพราะพวกเขาเคยผ่านความยากลำบากมาก่อนจึงได้เรียนรู้คุณค่าของเงิน ในบ้านจึงมีกฎให้ซื้อของเล่นได้เพียงเดือนละ 1 ชิ้นเท่านั้น“ผมเอาตัวนี้ ใส่ถุงให้ด้วยครับ”เสียงเข้มราบเรียบเอ่ยบอก ทุกสายตาพลันหันมาจดจ้องที่หลี่หมิงขณะที่พนักงานขายรีบหยิบตุ๊กตาที่เด็กหญิงร้องบอกอยากได้เมื่อครู่ใส่ถุงอย่างรวดเร็ว“อาหมิงลูกกำลังจะทำลายกฎของบ้านเรา”เฉินซิ่วลี่เอ่ยบอกเสียงราบเรียบ แม้จะไม่ได้มีน้ำเสียงหรือท่าทางตำหนิ แต่สายตานั้นชัดเจ
“คืนนี้พวกเราจะได้น้องสาวแล้วใช่ไหมครับ”หลี่ชุนกระซิบเสียงเบา มุมปากของคนเป็นพ่อยกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้ารับด้วยสายตามุ่งมั่น“พ่อรับรองว่าเดือนหน้าน้องสาวของลูกต้องมาแน่ๆ”เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของคนเป็นพ่อสองเด็กชายก็ย้ายไปนอนที่ห้องถัดไป ขณะที่ร่างสูงโปร่งของกวงซุนหลี่ขยับเดินเข้าห้องลงกลอนแน่นหนาฉับไว “อื้ม...”เฉินซิ่วลี่ร้องครวญในลำคอเมื่อร่างกายถูกรบกวน ความเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะผิวกายทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนที่ดวงตาจะเปิดออก“คุณกวง! เข้ามาทำไมคะ”เพราะความแนบชิดที่ไม่เหมาะสมทำให้เธอตื่นตระหนกรีบมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง“หยุดนะคะ เดี๋ยวเด็กๆ เห็น”“เด็กๆ ย้ายไปนอนอีกห้องแล้ว”คนตัวโตที่ปลดเปลื้องผ้าของเธอจนเหลือเพียงร่างที่เปลือยเปล่าเช่นเดียวกับเขากระซิบบอกเสียงแหบพร่า แนบชิดร่างกายกำยำลงทาบทับบนตัวนุ่ม“คุณกวงหยุดก่อนค่ะ เราต้องคุยกันให้ชัดเจนก่อน”“เดี๋ยวค่อยคุยนะ”ริมฝีปากร้อนขยับจากลำคอขาวกดแนบชิดบดเบียดริมฝีปากบาง พร้อมกับวางมือบีบเคล้นอกอวบอิ่มทั้งสองข้าง ร่างกายของเฉินซิ่วลี่พลันตื่นตัวขนกายสาวลุกชัน สองเนื้อนิ่มแข็งสู้กับมือหนากวงซุนหลี่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ถอนริมฝ
“แค่ทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกก็พอ”ใบหน้าของกู้เหยียนพลันร้อนผ่าวแดงก่ำไปจนถึงลำคอ เดิมทีเขาเสนอตัวช่วยแก้ปัญหานี้ก็เพราะว่าเงื่อนไขของคุณหนูกวงเพียงแค่อยากแต่งงาน แต่ไม่ต้องการความสัมพันธ์ทั้งทางกายและใจ ให้แยกบ้านเธอก็ยินดี ในเมื่อชีวิตนี้เขาเองก็ไม่คิดแต่งงานกับใครอีกแล้ว ให้แต่งหลอกๆ เป็นหุ่นเชิดให้เธอก็ไม่นับว่าเสียหายอะไร แต่งเสร็จเขาก็กลับไปเมืองเจียงเป็นคุณหมอกู้ของชาวบ้านต้าหยางต่อไปก็เท่านั้นเพียงแต่แค่เรื่องหลอกๆ เรื่องหนึ่งทำไมต้องให้เขานอนกับเธอด้วย ทำแบบนี้กวงจือหลินย่อมต้องถูกผู้คนครหาติฉินนินทา ทว่าเขาไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธกวงจือหลินก็ตอบรับแผนการของกวงซุนหลี่ไปแล้ว“ได้!”“ดี! อาหย่งเอาเหล้ามา”กู้เหยียนมองเหล้าดีกรีแรงตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายฝืดลงคอ ทั้งชีวิตของเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับเส้นทางอบายมุขไม่ว่าจะเป็น เหล้า บุหรี่ ฝิ่น การพนัน และผู้หญิง ล้วนไม่เคยข้องเกี่ยว ดังนั้นเมื่อกวงซุนหลี่ส่งแก้วเหล้าให้ มือหนาจึงยื่นไปรับด้วยท่าทางลังเล“อาหลี่ ฉัน... ไม่กินได้หรือไม่ นายก็รู้ว่าฉัน...”กู้เหยียนพูดยังไม่ทันจบประโยคแก้วเหล้าในมือก็ถูกกวงซุนหลี่จับจรดที่ริมฝีปากของเขา ตอนนี้แม
“นอกจากเธอฉันไม่เคยสัญญาจะแต่งงานกับใครทั้งนั้น”เฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเรียวมองคนตรงหน้าด้วยสายตาสับสน กวงซุนหลี่จับมือซ้ายของเธอมากอบกุมแล้วกดจุมพิตที่หลังมือนุ่มก่อนจะสวมใส่แหวนลงไปที่นิ้วนางเธอเหมือนเดิม“คุณกวง คุณจะทำอะไร ฉันไม่ยินดีแต่งเป็นภรรยารองให้คุณหรอกนะ หรือต่อให้เป็นภรรยาเอก ฉันก็ไม่ยินดี”“เอาไว้ไปถึงบ้านฉันจะอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เธอฟัง แต่นับจากนี้ห้ามเธอถอดแหวนวงนี้อีก และห้ามเธอทอดทิ้งฉันด้วย แค่คิดก็ไม่ได้เข้าใจไหม”น้ำเสียงกระซิบอ้อนวอนราวกับสาวน้อยถูกรังแก ทำให้ความกรุ่นโกรธในใจของเฉินซิ่วลี่จางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น “ได้! ฉันจะรอฟังคำอธิบายของคุณ แต่ถ้าเหตุผลไม่เพียงพอเรื่องของเราก็ยังคงต้องยุติ”“ไม่ได้! ฉันไม่ยอม”กวงซุนหลี่เอ่ยบอกอย่างดื้อดึงพร้อมกับกระชับอ้อมแขนแน่น เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวไม่คิดทำเรื่องที่เสียแรงเปล่าอย่างการดิ้นรนขัดขืนเขา รั้งรอจนรถหยุดลงกวงซุนหลี่ก็อุ้มคนลงจากรถเดินเข้าบ้านในทันที“คุณกวงปล่อยฉันนะคะ ฉันเดินเองได้”“ไม่!”เสียงเข้มหนักแน่นตอบกลับพลางก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในห้องโถงแล้วนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวโดยยังคงกอดรัดเฉินซิ่วลี่ไว้บนตักไม่ยอมปล
นี่เขาคงไม่คิดจะประกาศแต่งงานกับเธอในเวลานี้หรอกนะดวงตาคมของคนบนเวทีมองตอบกลับสอดประสานดวงตาเรียว ก่อนที่เขาจะประกาศก้องอีกครั้ง“ลี่ลี่ แต่งงานกับฉันนะ”เมื่อได้ยินกวงซุนหลี่เอ่ยชื่อหญิงสาวที่เขาต้องการแต่งงาน บรรดาแขกในงานก็ส่งเสียงวิจารณ์อื้ออึงอีกครั้ง“ลี่ลี่เหรอ ใครกัน”“นั่นสิ! คุณกวงไม่ใช่ว่ากำลังคบหาดูใจกับคุณหนูกวงจือหลินอยู่หรือ ทำไมถึงประกาศแต่งกับคนอื่นได้”“แบบนี้คุณกวงจือเหลียงจะยอมหรือ”“กวงซุนหลี่ เขาไม่รักลมหายใจของตนเองแล้วหรือไง”คำพูดของผู้คนมากมายดังก้องไปทั่วงานจนกวงซุนหลี่ขบกรามแน่น หากแต่ใครจะพูดอย่างไรเขาล้วนไม่สนใจ ที่เขาสนใจมีเพียงเฉินซิ่วลี่ที่ยังนั่งนิ่งไม่ตอบรับคำขอของเขา“ลี่ลี่ ฉันสัญญาหากเธอตกลงแต่งงานกับฉัน ฉันจะมีแค่เธอ จะปกป้องดูแลเธอและครอบครัวของเราด้วยชีวิตของฉัน”หัวใจของเฉินซิ่วลี่พลันสั่นระรัว มองสบดวงตาคมด้วยแววตาสั่นไหว ดูแลด้วยชีวิต เมื่อได้ยินคำพูดนี้ความรู้สึกในวันที่เธอคิดว่าเขาตายจากไปแล้วก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสแบบเธอ ในเมื่อมีโอกาสแล้วยังต้องยึดติดกับทิฐิและข้อสงสัยมากมายทำไมกัน เมื่อคิดได้เช่นนี้เฉินซิ่วลี่ก็โยนท
เมื่อใกล้ถึงเวลาเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของกวงซุนหลี่ เฉินซิ่วลี่ก็เลือกสวมชุดสีฟ้าเข้ารูปคอสูงเพื่อปกปิดร่องรอยที่กวงซุนหลี่ทิ้งเอาไว้บนลำคอระหง แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่จัดเลี้ยงกู้เหยียนใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็ขับรถมาถึงหน้าโรงแรมจัดเลี้ยง ชายในชุดสูทแบบตะวันตกก็เดินมาเปิดประตูรถทั้ง 4 ด้าน กู้เหยียนส่งกุญแจรถให้พนักงานตรงหน้านำรถไปจอดในสถานที่จอดรถ ส่วนตัวเขาเดินมารับเฉินซิ่วลี่ ขณะที่หลี่หมิงและหลี่ชุนเดินขนาบข้างซ้ายขวาหวังรั่วซีตามหลังคนเป็นแม่เข้างานอย่างสงบเสงี่ยมรู้ความและในทันทีที่เฉินซิ่วลี่ก้าวเท้าเข้ามาในงาน ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น จึงทำให้สายตาชายหนุ่มในงานจดจ้องมาที่เธออย่างมากมาย หากไม่เพราะข้างกายเธอมีกู้เหยียนเคียงข้างอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าคืนนี้เฉินซิ่วลี่คงไม่อาจนั่งอย่างสงบแน่นอน“คุณกวงจัดที่นั่งไว้ให้คุณเฉินและผู้ติดตามเป็นพิเศษ เชิญพวกคุณทางด้านนี้ครับ”เมื่อทุกคนในงานได้เห็นตำแหน่งที่นั่งของเฉินซิ่วลี่ผู้คนในงานต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานะความสำคัญของเธอและกู้เหยียน จวบจนกระทั่งกวงซุนหลี่ก้าวเท้าเข้ามาความสนใจของผู้คนจึงเปลี่ยนไปที่เขาแทน“สวัสดีค่ะคุณก