บทที่ 2.3
แม่ที่น่าโมโห
เฉินซิ่วลี่แทบอยากจะขอคืนคำพูดของตนเอง เดิมทีคิดว่าก็แค่เก็บชาเกี่ยวหญ้าเลี้ยงสัตว์ง่ายๆ ไม่ได้ยุ่งยากวุ่นวายอะไร หลี่หมิงอายุสามขวบยังทำได้ แล้วทำไมเธอที่อยู่ในร่างของหญิงสาววัยยี่สิบจะทำไม่ได้ ทว่าที่เฉินซิ่วลี่คาดไม่ถึงก็คือร่างกายนี้ดันเแพ้ขนหญ้า ทำงานได้เพียงหนึ่งชั่วโมงผื่นแดงก็ขึ้นทั้งตัว สุดท้ายยังต้องลำบากให้ ถังซาน บุตรชายลำดับที่สามของผู้ใหญ่บ้านถังปั่นจักรยานพาเธอไปส่งยังสถานพยาบาลหมู่บ้าน
“นี่เป็นยาแก้แพ้กินครั้งละเม็ดวันละสามครั้งหลังอาหาร ส่วนนี่ยาทาแก้ผดผื่น ทั้งหมด 3 หยวนครับ”
กู้เหยียน เอ่ยบอกพร้อมกับส่งถุงยาให้ เฉินซิ่วลี่รับซองกระดาษสีน้ำตาลตรงหน้ามาถือเอาไว้ด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ทำงานครั้งแรกไม่เพียงไม่ได้ค่าจ้างยังต้องเสียค่ายาอีก หากเด็กชายทั้งสองคนรู้เข้าคงผิดหวังในตัวเธออย่างแน่นอน หากแต่ตอนที่เฉินซิ่วลี่กำลังจะเอ่ยปากขอกลับไปเอาเงินหยวนที่บ้านมาจ่ายค่ายา บนโต๊ะจ่ายยาก็มีคนวางเงินจ่ายแทน
เฉินซิ่วลี่เงยหน้ามองเจ้าของเงินด้วยความสงสัย ถังซานถอนหายใจอย่างนึกรำคาญแล้วพูดเสียงห้วน
“เธอป่วยเพราะทำงานให้ฉัน ฉันจ่ายค่ายาให้ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือไง”
“แต่ว่า...”
“ค่าแรงวันละหนึ่งหยวน เธอมาทำงานอีกสามวันก็ครบค่ายาวันนี้พอดี”
เฉินซิ่วลี่อ้าปากค้าง เดิมทีคิดว่าได้พบเจอนายจ้างคนดีมีน้ำใจ ไม่คิดว่าเพียงพริบตาจะกลายเป็นนายจ้างหน้าเลือดแทน ใบหน้าสวยพลันงอง้ำจนชายหนุ่มที่นั่งตรงหน้าอดที่จะขบขันไม่ได้
“ถ้าพรุ่งนี้อาการไม่ดีขึ้นคุณเฉินมาตรวจซ้ำนะครับ”
กู้เหยียนบอกเสียงนุ่ม หากวันนี้หญิงสาวมาเพียงคนเดียวเรื่องค่ายา 3 หยวนนี้เขาย่อมยินดีจ่ายแทนเธอ แต่เพราะมีคนอื่นอยู่ด้วยหากเขาไม่เก็บค่ายาเรื่องนี้แพร่ออกไปผู้คนคงตำหนิเขา และอาจวุ่นวายเกิดกรณีไม่ยินดีจ่ายค่ายาขึ้น
“ค่ะ”
เฉินซิ่วลี่ตอบด้วยน้ำเสียงติดไม่พอใจเล็กน้อยเพราะยังอารมณ์ค้างกับการเป็นหนี้กะทันหันของตัวเอง หรือเธอควรแบ่งเอาเงินเก็บสามพันหยวนนั้นมาใช้หนี้ให้มันจบๆ ไปดี ทว่าเมื่อคิดถึงเหตุผลที่ต้องใช้อธิบายแหล่งมาของเงินก้อนนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจยาว ทำได้เพียงอดกลั้นความไม่พอใจนี้เอาไว้
ชดใช้ก็ชดใช้สิก็แค่ทำงานสามวันจะยากเย็นอะไร
ถังซานมองหญิงสาวที่ตวัดสายตาค้อนเขาตลอดทางที่เดินออกจากสถานพยาบาลหมู่บ้านแล้วยกมุมปากขึ้นอย่างเย้ยหยัน ก่อนหน้านี้หลี่หมิงมาขอทำงานที่ไร่ของเขาถังซานก็นึกโมโหเฉินซิ่วลี่อยู่ไม่น้อย เธออายุ 20 ปีกลับให้เด็ก 3 ขวบทำงานหาเลี้ยง ช่างน่าละอายจริงๆ แต่เพราะรู้ดีว่าหญิงสาวคนนี้มีนิสัยอย่างไร เพื่อไม่ให้ชีวิตของเด็กๆ ยากลำบากมากกว่าเดิมเขาจึงมอบงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างการเก็บชา เกี่ยวหญ้าให้หลี่หมิงทำ ทุกวันยังมอบอาหารให้เขานำกลับไปกินกับน้องชายด้วย
“วันนี้ผมมีธุระไม่สะดวกไปส่ง คุณเดินกลับเองก็แล้วกันนะ”
เดินกลับเอง! เฉินซิ่วลี่ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแล้วได้แต่อ้าปากค้างเป็นรอบที่สอง ผู้ชายคนนี้ช่างน่าโมโหนัก แต่ความจริงแล้วแค่เขาปั่นจักรยานมาส่งเธอก็นับว่ามีน้ำใจมากแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณที่เป็นธุระมาส่งค่ะ”
ขอบคุณ หญิงสาวตรงหน้ากำลังขอบคุณเขาอย่างนั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไรกัน ไม่ใช่ว่าภรรยาของสหายคนนี้ทั้งรังเกียจและดูแคลนเขามาตลอดหรือ
เพราะเขามีอาชีพทำไร่ร่างกายกำยำ ผิวคล้ำ ดูสกปรก ก่อนหน้านี้เฉินซิ่วลี่จึงมักมองเขาด้วยสายตาดูถูกดูแคลนมาตลอด ในใจของถังซานจึงไม่พอใจอยู่ไม่น้อย วันนี้ได้ยินเธอเอ่ยขอบคุณด้วยท่าทางจริงใจจึงรู้สึกแปลกใจ
“ความจริงแล้ว...”
“คุณเฉิน ยังไม่กลับหรือครับ”
เสียงของกู้เหยียนดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อนที่ถังซานจะพูดจบ หางตาของชายหนุ่มเจ้าของไร่ชาจึงตวัดมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางไม่พอใจ
“กำลังจะกลับแล้วค่ะ”
“พอดีเลย ผมกำลังจะเอายาไปให้ป้าชุนที่ท้ายหมู่บ้าน คุณเฉินไปด้วยกันไหมครับหรือว่าคุณจะกลับพร้อมอาซาน”
“คุณถังมีธุระค่ะ คงต้องรบกวนคุณหมอกู้แล้ว”
“ยินดีครับ คุณเฉินรอผมตรงนี้ เดี๋ยวผมไปเอาจักรยานสักครู่”
ถังซานมองสองชายหญิงที่ตอบตกลงกลับบ้านด้วยกันแล้วกำมือแน่น ยิ่งเห็นเฉินซิ่วลี่พยักหน้ารับจนหัวคลอนในทันทีที่อีกฝ่ายอาสาไปส่งราวกับกลัวว่ากู้เหยียนจะเปลี่ยนใจก็ยิ่งรู้สึกไม่หงุดหงิด อาเฉิงตายจากไปแค่ไม่กี่เดือนภรรยาอย่างเธอก็คิดหาสามีใหม่แล้วหรือ ช่างน่าโมโหนัก เขาหมุนจักรยานปั่นออกไปอย่างหงุดหงิดจนฝุ่นดินตลบฟุ้งใส่คนทั้งสอง
"ดูเหมือนคุณถังเขาจะรีบมากจริงๆ นะคะ"
เฉินซิ่วลี่ยกมือปัดฝุ่นดินตรงหน้าแล้วเอ่ยบอกแบบประชดประชัน กู้เหยียนมองเธอแล้วอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ รีบเดินไปหยิบจักรยานวางถุงยาและกระเป๋าใบเล็กลงในตะกร้าด้านหน้า ก่อนหยุดให้เธอขึ้นนั่งด้านหลังแล้วปั่นออกไป
มือเล็กวางจับที่ชายเสื้อด้านหลังของเขาอย่างไว้ตัว โดยไม่ได้โอบกอดเช่นที่ผู้อื่นชอบกระทำเวลาซ้อนอยู่ด้านหลังจักรยาน มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะปั่นจักรยานไปตามเส้นทางเล็ก ในใจพลันเกิดความรู้สึกยินดีขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
.........................................
“ไอ้เด็กหัวขโมย วันนี้ฉันจะตีแกให้ตาย”
เสียงดุด่าดังออกมาจากรั้วบ้านตระกูลหลี่ เฉินซิ่วลี่ที่นั่งซ้อนท้ายจักรยานของกู้เหยียนกลับบ้านกระโดดลงจากท้ายรถจักรยานจนคนที่กำลังปั่นอยู่ใจหาย เร่งบีบคันเบรกเพื่อหยุดรถ ทว่าวงล้อรถไม่ทันหยุดหมุน คนก็วิ่งเข้าไปในบ้านแล้ว
“หยุดนะ!”
เฉินซิ่วลี่ร้องห้ามเสียงลั่นเมื่อเห็นว่าหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอกำลังง้างแขนตีเด็กชายทั้งสองที่กอดกันกลม ในใจพลันเกิดโทสะที่ยากจะอดกลั้น สาวเท้าเข้าไปจับข้อมือที่ง้างขึ้นแล้วบิดจนเกิดเสียงดังกร๊อป! ก่อนดันคนจนล้มลงไปกองกับพื้นอีกด้าน
“โอ๊ย! หญิงหน้าด้านแกกล้าหักมือฉันเหรอ”
เฉินซิ่วลี่ไม่สนใจคนที่ร้องโวยวายรีบหันกลับไปดูเด็กชายที่กอดกันกลมอยู่บนพื้น นั่งลงจับตัวพวกเขาสำรวจร่างกายด้วยความห่วงใย
“พวกเราไม่เป็นอะไรครับแม่”
หลี่หมิงเอ่ยตอบเสียงหนัก บ่งบอกถึงความพยายามอดกลั้นเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ ขณะที่หลี่ชุนนั้นร้องโฮตัวสั่นน้ำตาอาบแก้มอยู่ในอ้อมแขนพี่ชาย เห็นท่าทางเช่นนี้ของเด็กๆ เฉินซิ่วลี่ก็ใจสั่นสะท้านยิ่งเห็นหยาดน้ำสีแดงหยดลงบนต้นแขนของหลี่หมิง ความโกรธเคืองในใจของเฉินซิ่วลี่ก็ยิ่งเพิ่มทวีลุกขึ้นเดินเข้าไปหาหลี่อันอันที่นั่งร้องโวยวายอยู่บนพื้น ตวัดเรียวขานั่งคร่อมร่างคนแล้วง้างมือตบหน้าอีกฝ่ายจนมุมปากคนมือเจ็บมีเลือดไหลซึม
“กรี๊ด! นางสารเลวแกกล้าตีฉัน”
“เธอตีลูกฉัน ฉันตีเธอแบบนี้ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือไง”
เฉินซิ่วลี่ที่ถูกโทสะเข้าครอบงำ ไม่สนใจว่าเด็กทั้งสองจะกระทำเรื่องผิดถูกอันใดจึงทำให้หญิงสาวคนนี้ทุบตีพวกเขา แต่เด็กๆ เป็นคนของเธอ กล้าตีพวกเขาก็สมควรถูกตีกลับเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
กู้เหยียนร้องถามด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจระคนห่วงใย ทีแรกเขาได้ยินเสียงเด็กร้อง ต่อมาหลังจากที่เฉินซิ่วลี่วิ่งเข้าบ้านนอย่างเร่งรีบก็ได้ยินว่ามีการตบตี จึงถือวิสาสะเข้ามาในบ้านคนอื่น มือหนารีบเอื้อมไปดึงคนที่กำลังตบตีผู้อื่นออกมาก่อนที่เธอจะลงมือจนอีกฝ่ายเจ็บหนักเกินไป
"คุณเฉินใจเย็นก่อนนะครับ"
เฉินซิ่วลี่สูดลมหายใจเข้าและผ่อนออกมองคนที่มือหัก ใบหน้ามีแต่ริ้วรอยฝ่ามือของเธอแล้วโทสะที่พลุ่งพล่านก่อนหน้าก็ค่อยๆ ทุเลาลง หากจะหวังว่าเธอจะเป็นตัวละครที่ทะลุมิติมาเพื่อยอมให้ถูกรังแก บอกเลยว่าไม่มีทาง
"เราไปดูเด็กๆ กันก่อนเถอะครับ"
เป็นอีกครั้งที่กู้เหยียนพูดดึงสติของเธอ เฉินซิ่วลี่จึงรีบหมุนตัวไปดูเด็กๆ ในทันที หลี่อันอัน เห็นกู้เหยียนผู้ชายที่ตนเองหมายตาปรากฏตัวแบบกะทันหันก็รีบปั้นเรื่องทำตัวเป็นถูกกระทำในทันที
“ไอ้เด็กสวะ เอ่อ... หลานชายสองคนนั่นเข้าไปขโมยข้าวสารและเนื้อหมูจากบ้านฉันมาค่ะ ฉันจึงได้มาอบรมสั่งสอนแต่เฉินซิ่วลี่เธอไม่พอใจก็เลยหักมือและทุบตีฉัน พี่กู้คะพี่ช่วยดูมือกับหน้าให้ฉันหน่อยได้ไหมคะฉันเจ็บมากๆ เลย”
เฉินซิ่วลี่ขบกรามแน่น ข้าวสารและเนื้อในครัวเป็นเธอที่ซื้อมาจากร้านสหกรณ์หมู่บ้านเมื่อวาน ลูกชายของเธอจะเป็นขโมยได้อย่างไร
“ขอผมดูหน่อยนะครับ”
หลี่อันอันยิ้มกว้างส่งมือที่เจ็บของตนให้เขาดู แต่ชายหนุ่มกลับเดินผ่านไปยังเด็กน้อยสองคนที่เนื้อตัวช้ำไปหมด เขายังเห็นหยดเลือดที่พื้นเมื่อสำรวจตรวจร่างกายของเด็กชายทั้งสองก็พบว่าหัวของหลี่หมิงยังมีรอยเลือดไหลซึม นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เฉินซิ่วลี่ผู้เป็นแม่โกรธจนหักมือคน
“แผลไม่ใหญ่มาก แต่ต้องล้างและทำแผลให้ดีเดี๋ยวผมออกไปเอากระเป๋ายาก่อนนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
กู้เหยียนพูดกับเฉินซิ่วลี่จบก็รีบออกไปเอากระเป๋ายาที่หน้ารถจักรยานโดยไม่แม้แต่จะชายตามองหญิงสาวมือหักที่เอ่ยเรียกเขาอย่างออดอ้อน
“พี่กู้คะ พี่ช่วยดูมือให้ฉันก่อนสิคะ ฉันเจ็บมากเลย”
หลี่อันอันยังไม่ยอมแพ้เมื่อกู้เหยียนเดินกลับเข้ามาพร้อมกระเป๋ายาก็รีบขยับตัวไปขวางยื่นมือที่ผิดรูปของตัวเองให้เขาดู กู้เหยียนหยุดเท้ายกมือขึ้นขยับแว่นสายตาของตนเองแล้วถอนหายใจเบาๆ
“กระดูกข้อมือหักต้องเข้าเฝือก ผมแนะนำคุณรีบเข้าเมืองไปโรงพยาบาลเถอะครับ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวกระดูกติดผิดรูปมือจะบิดเบี้ยวไม่ปกติ”
เมื่อได้ยินว่ามือของตนเองจะบิดเบี้ยวไม่ปกติ หลี่อันอันก็หวาดกลัวจนรีบวิ่งไปหามารดาในทันที
“โชคดีที่แผลไม่ลึกแล้วก็ไม่ใหญ่มาก ไม่ถึงกับต้องเย็บ แค่ทำความสะอาดใส่ยาแล้วก็ปิดแผลเอาไว้ก็พอ เจ็ดวันนี้ห้ามให้โดดน้ำนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
หลี่หมิงกำมือขบกราม ใบหน้าของเด็กน้อยมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นจนหยดลงที่ปลายคางเล็ก แต่ถึงจะเจ็บจนตัวสั่นเขาก็ไม่ร้องออกมาแม้แต่น้อย
“สมกับเป็นลูกชายของอาเฉิงจริงๆ”
กู้เหยียนเอ่ยชมหลังจากปิดแผลให้หลี่หมิงแล้ว หากแต่คำเรียกขานชื่อสามีของเธอแบบสนิทสนมนี้ทำให้เฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเล็ก กู้เหยียนย่อมมองสายตาสงสัยของหญิงสาวออก เขาส่งยิ้มอบอุ่นเก็บเครื่องมือทำแผลไปพลางอธิบายความสัมพันธ์ของตนเองกับหลี่อันเฉิงไปพลาง
“เมื่อก่อนผมกับอาเฉิงเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันครับ ถึงไม่สนิทมากแต่ก็พอคุ้นเคยกันอยู่ไม่น้อย อาเฉิงในวัยเด็กเหมือนอาหมิงมากทีเดียว”
เฉินซิ่วลี่ยิ้มแห้ง หากคนตรงหน้าสนิทสนมกับสามีเธอก็คงรู้เรื่องที่เจ้าของร่างเดิมทำไปไม่มากก็น้อย ใบหน้าของเฉินซิ่วลี่พลันรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาด้วยความอับอายต่อการกระทำในอดีตของเจ้าของร่างเดิม
“ยังไงพรุ่งนี้พาอาหมิงไปให้ผมล้างแผลด้วยนะครับ”
“อ่อ... ค่ะ”
.........................................
“คุณพ่อ คุณแม่ อาเหม่ยอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้”เสียงเด็กหญิงไว้ 3 ขวบร้องบอกคนเป็นพ่อและแม่ กวงซุนหลี่ยิ้มรับทว่าขณะที่กำลังจะเดินไปซื้อของให้ลูกสาวคนเล็ก มือข้างซ้ายก็ถูกดึงรั้งเอาไว้เสียก่อน“อาเหม่ยเพิ่งซื้อของเล่นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน หากจะซื้อชิ้นใหม่ต้องเป็นเดือนหน้า”เฉินซิ่วลี่ห้ามปรามเด็กหญิงตัวน้อยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้ากลมสดใสพลันสลดน้ำตาคลอก้มหน้ามองพื้น หลี่ชุนในวัย 10 ขวบรีบเข้ามาอุ้มน้องสาวตัวน้อยขึ้นแล้วเอ่ยกระซิบปลอบประโลม“ไม่เป็นไรนะอาเหม่ย เดี๋ยวเดือนหน้าพี่ซื้อให้”ด้วยฐานะทางบ้านของพวกเขาตอนนี้ แค่ของเล่นเพียงชิ้นเดียวไม่ใช่เรื่องยากที่จะซื้อหามาครอบครอง แต่เพราะพวกเขาเคยผ่านความยากลำบากมาก่อนจึงได้เรียนรู้คุณค่าของเงิน ในบ้านจึงมีกฎให้ซื้อของเล่นได้เพียงเดือนละ 1 ชิ้นเท่านั้น“ผมเอาตัวนี้ ใส่ถุงให้ด้วยครับ”เสียงเข้มราบเรียบเอ่ยบอก ทุกสายตาพลันหันมาจดจ้องที่หลี่หมิงขณะที่พนักงานขายรีบหยิบตุ๊กตาที่เด็กหญิงร้องบอกอยากได้เมื่อครู่ใส่ถุงอย่างรวดเร็ว“อาหมิงลูกกำลังจะทำลายกฎของบ้านเรา”เฉินซิ่วลี่เอ่ยบอกเสียงราบเรียบ แม้จะไม่ได้มีน้ำเสียงหรือท่าทางตำหนิ แต่สายตานั้นชัดเจ
“คืนนี้พวกเราจะได้น้องสาวแล้วใช่ไหมครับ”หลี่ชุนกระซิบเสียงเบา มุมปากของคนเป็นพ่อยกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้ารับด้วยสายตามุ่งมั่น“พ่อรับรองว่าเดือนหน้าน้องสาวของลูกต้องมาแน่ๆ”เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของคนเป็นพ่อสองเด็กชายก็ย้ายไปนอนที่ห้องถัดไป ขณะที่ร่างสูงโปร่งของกวงซุนหลี่ขยับเดินเข้าห้องลงกลอนแน่นหนาฉับไว “อื้ม...”เฉินซิ่วลี่ร้องครวญในลำคอเมื่อร่างกายถูกรบกวน ความเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะผิวกายทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนที่ดวงตาจะเปิดออก“คุณกวง! เข้ามาทำไมคะ”เพราะความแนบชิดที่ไม่เหมาะสมทำให้เธอตื่นตระหนกรีบมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง“หยุดนะคะ เดี๋ยวเด็กๆ เห็น”“เด็กๆ ย้ายไปนอนอีกห้องแล้ว”คนตัวโตที่ปลดเปลื้องผ้าของเธอจนเหลือเพียงร่างที่เปลือยเปล่าเช่นเดียวกับเขากระซิบบอกเสียงแหบพร่า แนบชิดร่างกายกำยำลงทาบทับบนตัวนุ่ม“คุณกวงหยุดก่อนค่ะ เราต้องคุยกันให้ชัดเจนก่อน”“เดี๋ยวค่อยคุยนะ”ริมฝีปากร้อนขยับจากลำคอขาวกดแนบชิดบดเบียดริมฝีปากบาง พร้อมกับวางมือบีบเคล้นอกอวบอิ่มทั้งสองข้าง ร่างกายของเฉินซิ่วลี่พลันตื่นตัวขนกายสาวลุกชัน สองเนื้อนิ่มแข็งสู้กับมือหนากวงซุนหลี่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ถอนริมฝ
“แค่ทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกก็พอ”ใบหน้าของกู้เหยียนพลันร้อนผ่าวแดงก่ำไปจนถึงลำคอ เดิมทีเขาเสนอตัวช่วยแก้ปัญหานี้ก็เพราะว่าเงื่อนไขของคุณหนูกวงเพียงแค่อยากแต่งงาน แต่ไม่ต้องการความสัมพันธ์ทั้งทางกายและใจ ให้แยกบ้านเธอก็ยินดี ในเมื่อชีวิตนี้เขาเองก็ไม่คิดแต่งงานกับใครอีกแล้ว ให้แต่งหลอกๆ เป็นหุ่นเชิดให้เธอก็ไม่นับว่าเสียหายอะไร แต่งเสร็จเขาก็กลับไปเมืองเจียงเป็นคุณหมอกู้ของชาวบ้านต้าหยางต่อไปก็เท่านั้นเพียงแต่แค่เรื่องหลอกๆ เรื่องหนึ่งทำไมต้องให้เขานอนกับเธอด้วย ทำแบบนี้กวงจือหลินย่อมต้องถูกผู้คนครหาติฉินนินทา ทว่าเขาไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธกวงจือหลินก็ตอบรับแผนการของกวงซุนหลี่ไปแล้ว“ได้!”“ดี! อาหย่งเอาเหล้ามา”กู้เหยียนมองเหล้าดีกรีแรงตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายฝืดลงคอ ทั้งชีวิตของเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับเส้นทางอบายมุขไม่ว่าจะเป็น เหล้า บุหรี่ ฝิ่น การพนัน และผู้หญิง ล้วนไม่เคยข้องเกี่ยว ดังนั้นเมื่อกวงซุนหลี่ส่งแก้วเหล้าให้ มือหนาจึงยื่นไปรับด้วยท่าทางลังเล“อาหลี่ ฉัน... ไม่กินได้หรือไม่ นายก็รู้ว่าฉัน...”กู้เหยียนพูดยังไม่ทันจบประโยคแก้วเหล้าในมือก็ถูกกวงซุนหลี่จับจรดที่ริมฝีปากของเขา ตอนนี้แม
“นอกจากเธอฉันไม่เคยสัญญาจะแต่งงานกับใครทั้งนั้น”เฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเรียวมองคนตรงหน้าด้วยสายตาสับสน กวงซุนหลี่จับมือซ้ายของเธอมากอบกุมแล้วกดจุมพิตที่หลังมือนุ่มก่อนจะสวมใส่แหวนลงไปที่นิ้วนางเธอเหมือนเดิม“คุณกวง คุณจะทำอะไร ฉันไม่ยินดีแต่งเป็นภรรยารองให้คุณหรอกนะ หรือต่อให้เป็นภรรยาเอก ฉันก็ไม่ยินดี”“เอาไว้ไปถึงบ้านฉันจะอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เธอฟัง แต่นับจากนี้ห้ามเธอถอดแหวนวงนี้อีก และห้ามเธอทอดทิ้งฉันด้วย แค่คิดก็ไม่ได้เข้าใจไหม”น้ำเสียงกระซิบอ้อนวอนราวกับสาวน้อยถูกรังแก ทำให้ความกรุ่นโกรธในใจของเฉินซิ่วลี่จางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น “ได้! ฉันจะรอฟังคำอธิบายของคุณ แต่ถ้าเหตุผลไม่เพียงพอเรื่องของเราก็ยังคงต้องยุติ”“ไม่ได้! ฉันไม่ยอม”กวงซุนหลี่เอ่ยบอกอย่างดื้อดึงพร้อมกับกระชับอ้อมแขนแน่น เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวไม่คิดทำเรื่องที่เสียแรงเปล่าอย่างการดิ้นรนขัดขืนเขา รั้งรอจนรถหยุดลงกวงซุนหลี่ก็อุ้มคนลงจากรถเดินเข้าบ้านในทันที“คุณกวงปล่อยฉันนะคะ ฉันเดินเองได้”“ไม่!”เสียงเข้มหนักแน่นตอบกลับพลางก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในห้องโถงแล้วนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวโดยยังคงกอดรัดเฉินซิ่วลี่ไว้บนตักไม่ยอมปล
นี่เขาคงไม่คิดจะประกาศแต่งงานกับเธอในเวลานี้หรอกนะดวงตาคมของคนบนเวทีมองตอบกลับสอดประสานดวงตาเรียว ก่อนที่เขาจะประกาศก้องอีกครั้ง“ลี่ลี่ แต่งงานกับฉันนะ”เมื่อได้ยินกวงซุนหลี่เอ่ยชื่อหญิงสาวที่เขาต้องการแต่งงาน บรรดาแขกในงานก็ส่งเสียงวิจารณ์อื้ออึงอีกครั้ง“ลี่ลี่เหรอ ใครกัน”“นั่นสิ! คุณกวงไม่ใช่ว่ากำลังคบหาดูใจกับคุณหนูกวงจือหลินอยู่หรือ ทำไมถึงประกาศแต่งกับคนอื่นได้”“แบบนี้คุณกวงจือเหลียงจะยอมหรือ”“กวงซุนหลี่ เขาไม่รักลมหายใจของตนเองแล้วหรือไง”คำพูดของผู้คนมากมายดังก้องไปทั่วงานจนกวงซุนหลี่ขบกรามแน่น หากแต่ใครจะพูดอย่างไรเขาล้วนไม่สนใจ ที่เขาสนใจมีเพียงเฉินซิ่วลี่ที่ยังนั่งนิ่งไม่ตอบรับคำขอของเขา“ลี่ลี่ ฉันสัญญาหากเธอตกลงแต่งงานกับฉัน ฉันจะมีแค่เธอ จะปกป้องดูแลเธอและครอบครัวของเราด้วยชีวิตของฉัน”หัวใจของเฉินซิ่วลี่พลันสั่นระรัว มองสบดวงตาคมด้วยแววตาสั่นไหว ดูแลด้วยชีวิต เมื่อได้ยินคำพูดนี้ความรู้สึกในวันที่เธอคิดว่าเขาตายจากไปแล้วก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสแบบเธอ ในเมื่อมีโอกาสแล้วยังต้องยึดติดกับทิฐิและข้อสงสัยมากมายทำไมกัน เมื่อคิดได้เช่นนี้เฉินซิ่วลี่ก็โยนท
เมื่อใกล้ถึงเวลาเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของกวงซุนหลี่ เฉินซิ่วลี่ก็เลือกสวมชุดสีฟ้าเข้ารูปคอสูงเพื่อปกปิดร่องรอยที่กวงซุนหลี่ทิ้งเอาไว้บนลำคอระหง แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่จัดเลี้ยงกู้เหยียนใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็ขับรถมาถึงหน้าโรงแรมจัดเลี้ยง ชายในชุดสูทแบบตะวันตกก็เดินมาเปิดประตูรถทั้ง 4 ด้าน กู้เหยียนส่งกุญแจรถให้พนักงานตรงหน้านำรถไปจอดในสถานที่จอดรถ ส่วนตัวเขาเดินมารับเฉินซิ่วลี่ ขณะที่หลี่หมิงและหลี่ชุนเดินขนาบข้างซ้ายขวาหวังรั่วซีตามหลังคนเป็นแม่เข้างานอย่างสงบเสงี่ยมรู้ความและในทันทีที่เฉินซิ่วลี่ก้าวเท้าเข้ามาในงาน ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น จึงทำให้สายตาชายหนุ่มในงานจดจ้องมาที่เธออย่างมากมาย หากไม่เพราะข้างกายเธอมีกู้เหยียนเคียงข้างอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าคืนนี้เฉินซิ่วลี่คงไม่อาจนั่งอย่างสงบแน่นอน“คุณกวงจัดที่นั่งไว้ให้คุณเฉินและผู้ติดตามเป็นพิเศษ เชิญพวกคุณทางด้านนี้ครับ”เมื่อทุกคนในงานได้เห็นตำแหน่งที่นั่งของเฉินซิ่วลี่ผู้คนในงานต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานะความสำคัญของเธอและกู้เหยียน จวบจนกระทั่งกวงซุนหลี่ก้าวเท้าเข้ามาความสนใจของผู้คนจึงเปลี่ยนไปที่เขาแทน“สวัสดีค่ะคุณก