บทที่ 3.1
แม่ที่ใฝ่ฝัน
หลังจากที่กู้เหยียนจากไป เฉินซิ่วลี่ก็พาหลี่หมิงเข้าไปนอนพัก เอ่ยกำชับเขาห้ามลุกจากเตียงไปไหน ยังเน้นย้ำว่าหากมีอาการปวดหัวมากขึ้นหรือคลื่นไส้อาเจียนให้รีบบอกเธอในทันที
“พี่ชาย เจ็บไหมครับ”
หลี่ชุนถามพี่ชายทั้งน้ำตา เพราะตอนที่หลี่อันอันลงมือทุบตี พี่ชายกอดเขาเอาไว้ ใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบัง สุดท้ายทุกแรงทุบตีจากอาสามจึงถูกชายแบกรับไว้เพียงผู้เดียว ก่อนหน้านี้เพราะตกใจและหวาดกลัวหลี่ชุนจึงไม่ทันคิดอะไร ตอนนี้เห็นว่าพี่ชายถูกตีจนหัวแตกเลือดไหลในใจจึงรู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง
“พี่ไม่เจ็บ อาชุนอย่าร้องไห้”
ทั้งที่ปวดระบมไปทั้งตัวแต่เมื่อเห็นน้องชายร้องไห้จนสะอื้น หลี่หมิงก็กัดฟันขามความเจ็บฝืนยิ้มและเอ่ยปลอบโยนน้องชายเสียงอ่อนโยน
เฉินซิ่วลี่มองเด็กชายตัวน้อยที่วางท่าเข้มแข็งแล้วรู้สึกสะท้านในอก อยากขึ้นไปบนบ้านใหญ่ดึงคนใจร้ายผู้นั้นกลับมาสั่งสอนเพิ่มอีกสักหน่อยให้สาสมกับการกระทำที่โหดร้ายนี้ ทว่าในบ้านใหญ่เวลานี้ล้วนไม่มีคน เฉินซิ่วลี่จึงได้แต่เก็บความคับแค้นนี้ไว้ในใจ
"พี่ชาย..."
หลี่ชุนยังคงร้องเรียกพี่ชายเสียงสะอื้น แต่เมื่อเห็นสายตาห่วงใยของหลี่หมิงก็พยายามอดทนเม้มริมฝีปากเล็ก ทว่าหลี่ชุนก็คือหลี่ชุน อดทนได้ไม่ถึงสามลมหายใจก็โถมตัวเข้าโอบกอดคนบนเตียงพร่ำบอกขอโทษเสียงสะอื้นอีกระลอก
“พี่ชายผมขอโทษ เพราะผมอ่อนแอจึงเป็นภาระของพี่ ผมปกป้องพี่ไม่ได้เลย”
"ปกป้องไม่ได้อะไรกัน ชีวิตพี่ชายคนนี้ล้วนเป็นอาชุนที่ปกป้องไว้"
ถึงแม้เรื่องราวของพี่น้องแซ่หลี่นี้จะไม่ถูกกล่าวถึงบ่อยนักในนิยาย แต่มีประโยคหนึ่งที่เฉินซิ่วลี่จำได้ก็คือ เจ้าของร่างเดิมเคยพาลูกฝาแฝดวัยสองขวบไปที่บ้านเดิม ในตอนนั้นหลี่หมิงเกิดพลัดตกน้ำ หลี่ชุนจึงยื่นมือไปช่วยพี่ชายขึ้นมาได้แต่ทว่าตนเองกลับตกน้ำแทน กว่าที่เฉินซิ่วจูนางเอกในนิยายจะไปพบ หลี่ชุนก็หมดสติเป็นตายเท่ากัน
แม้ว่าในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถังจะให้คนเร่งพาเขาไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมืองช่วยชีวิตเด็กชายไว้ได้ทัน แต่ก็ใช้เวลาอยู่ถึงครึ่งเดือนหลี่ชุนจึงหายดีและกลับบ้านได้
จากการเจ็บป่วยครั้งนั้นหลี่ชุนก็ร่างกายไม่แข็งแรงและมักเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ จนเจ้าของร่างเดิมหงุดหงิดที่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองไปกับเรื่องที่ตนมองว่าไม่จำเป็น
ไม่จำเป็นอะไรกัน นี่มันชีวิตลูกชายทั้งคนนะ!
เฉินซิ่วลี่ได้แต่กร่นด่าเจ้าของร่างเดิมอย่างกรุ่นโกรธ ทว่าเมื่อมองเห็นเด็กชายตัวน้อยที่โถมกอดพี่ชายก็ถอนหายใจยาว เอ่ยเสียงอ่อนโยน
“อาชุนปล่อยพี่ชายเถิด เขาเจ็บอยู่ให้นอนพักมากๆ อย่ากวนเขา”
“งั้นผมจะนอนเฝ้าพี่ พี่ชายอยากได้อะไรบอกผมนะครับ”
เฉินซิ่วลี่มองเด็กชายตัวเล็กที่ซุกตัวนอนข้างคนเป็นพี่แล้วส่ายหน้าไปมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะเดินออกมาจัดการข้าวของในครัวที่ถูกหลี่อันอันรื้อจนเละเทะไปหมด
หากจำไม่ผิดหลี่อันอันเป็นน้องสาวคนเล็กของหลี่อันเฉิงที่เกิดจากหม่าอิงหงแม่เลี้ยงของเขา เพราะเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้านหลี่ตั้งแต่เล็กนายท่านหลี่จึงรักใคร่เอ็นดูเป็นพิเศษทำให้มีนิสัยเอาแต่ใจ สิ่งใดของพี่น้องหากอยากได้ก็จะแย่งชิงเอาไปอยู่เสมอ จนกระทั่งอายุ 15 ปี นายท่านหลี่ตายจากไป หม่าอิงหงก็ไม่คิดสอนสั่งแก้ไขนิสัยเสียนี้ของลูกสาว มาถึงตอนนี้คงยากจะแก้ไขแล้ว
นิสัยเสียแล้วอย่างไร สามารถยกเป็นเหตุผลรังแกผู้อื่นได้หรือ ความเจ็บปวดของเด็กๆ เมื่อเธอกลับมาฉันจะทวงคืนให้หมด
.........................................
วันต่อมาเฉินซิ่วลี่พาหลี่หมิงขี่หลังไปยังสถานพยาบาลหมู่บ้าน แม้เด็กชายจะพยายามปฏิเสธและยืนยันขอเดินไปเองอย่างไรเธอก็ไม่ยินยอม ครั้งนี้ยังได้หลี่ชุนเป็นฝ่ายสนับสนุนมารดาอีกหนึ่งเสียง สุดท้ายหลี่หมิงจึงยอมข่มความอายถูกคนเป็นแม่แบกใส่หลัง
“แผลแห้งดี ไม่มีอาการอักเสบแทรกซ้อน ต่อไปคุณล้างแผลเองที่บ้านก็ได้ครับ จะได้ไม่ต้องเดินทางมาให้ลำบาก”
กู้เหยียนบอกหลังจากที่ตรวจดูแผลให้เด็กชาย ถึงแม้เขาจะรู้สึกดีที่ได้พบหน้าเฉินซิ่วลี่ แต่การที่เธอต้องแบกลูกชายเดินมายังสถานพยาบาลหมู่บ้านก็นับเป็นเรื่องยากลำบากไม่น้อย
“คุณหมอกู้คะ ฉันมีเรื่องจะขอรบกวนค่ะ”
“เรื่องอะไรหรือครับ”
ไม่รู้เพราะอะไรแต่กู้เหยียนรู้สึกว่าการได้เป็นที่พึ่งพาให้เฉินซิ่วลี่นั้นสร้างความภาคภูมิใจให้เขาไม่น้อย
“ฉันอยากขอใบรับการเจ็บป่วยของอาหมิงได้ไหมคะ"
"ได้ครับ"
"ขอคุณช่วยระบุถึงอันตรายจากการบาดเจ็บที่ศีรษะลงไปด้วยนะคะ เอ่อ... ถ้าหากคุณไม่ว่าอะไร ฉันรบกวนขอให้คุณหมอในโรงพยาบาลช่วยรับรองอีกคนด้วยได้ไหมคะ”
การใช้คำพูดที่สุภาพราวกับคนมีความรู้ทางการแพทย์ของเฉินซิ่วลี่ทำให้คิ้วของกู้เหยียนขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรอีกทั้งยังออกใบรับรองให้ตามที่เธอต้องการอีกด้วย
“ค่ารักษาเท่าไหร่คะ”
เสียงถามแผ่วเบาของหญิงสาวทำให้กู้เหยียนยิ้มกว้าง นิสัยเรื่องอื่นที่เขาได้ยินเกี่ยวกับตัวเธอเมื่อได้สัมผัสตัวจริงกลับไม่ตรงสักข้อ เว้นเพียง...
เฉินซิ่วลี่เป็นสตรีที่รักเงินหยวนยิ่งนัก
“อาหมิงเป็นลูกของอาเฉิง ครั้งนี้ผมรับผิดชอบค่ารักษาให้เองครับ”
กู้เหยียนจำสายตาประทับใจของหญิงสาวตอนที่คุณชายสามบ้านถังเอ่ยปากจ่ายค่ายาให้เธอได้ ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงหาเหตุผลเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้เธอบ้าง ดวงตาคมจดจ้องใบหน้าสวยหวานตรงหน้าอย่างรั้งรอให้แววตาเช่นนั้นส่งกลับมาที่เขา หากแต่เมื่อตระหนักถึงความคิดอันไม่ควรของตนเองได้ก็ถอนหายใจยาวเบนสายตามองไปยังรายการยาตรงหน้าแทน
นี่เขากำลังคิดอะไรกับภรรยาของเพื่อนกัน
หลังกลับจากสถานพยาบาลหมู่บ้าน เฉินซิ่วลี่ก็เข้าครัวทำบะหมี่ให้สองพี่น้องกิน กลิ่นหอมของบะหมี่ทำให้ท้องเล็กๆ ร้องออกมาอย่างไม่อาจหักห้าม เฉินซิ่วลี่มองใบหน้าที่แม้จะนิ่งขรึมไม่ต่างจากปกติแต่กลับขึ้นริ้วแดงแล้วอมยิ้มน้อยๆ
“อืม... บะหมี่ฝีมือแม่อร่อยมากเลยครับ”
หลี่ชุนที่ตอนนี้คลายความตื่นกลัวในตัวเฉินซิ่วลี่ลงบ้างแล้วพูดด้วยเสียงสดใส ตะเกียบในมือม้วนเส้นบะหมี่แล้วสูดเสียงดัง เคี้ยวจนแก้มกลมพองออกราวกับซาลาเปาขาวในเตานึ่ง
เฉินซิ่วลี่มองดูสองพี่น้องฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกันจนแยกไม่ออก หากแต่ยามมองกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
สำหรับหลี่ชุน แม้ปกติจะดูอ่อนแอขี้โรคและตื่นกลัวคนแปลกหน้า ทว่ายามที่คุ้นเคยแล้วเด็กน้อยกลับทำให้รู้สึกเบิกบานใจ รอยยิ้มที่สดใส ดวงตาที่เปล่งประกาย แค่ได้มองก็คลายความเหนื่อยล้าออกไปได้ในทันที
ส่วนหลี่หมิง ทั้งที่อายุเท่ากันกับหลี่ชุนแต่กลับให้ความรู้สึกโตกว่าเป็นเท่าตัว แววตาที่นิ่งสงบ ใบหน้าที่เคร่งขรึม และวงแขนที่พร้อมกางออกปกป้องน้องชายนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกมั่นคงปลอดภัยยิ่งนัก ไม่แปลกที่หลี่ชุนจะรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัยทุกครั้งที่เห็นพี่ชายคนนี้อยู่ในลานสายตา
“อาหมิง กินให้มากหน่อยจะได้กลับมาแข็งแรงไวๆ”
“ครับ”
เด็กชายขานรับอย่างเชื่อฟัง ตะเกียบในมือม้วนเส้นบะหมี่กินอย่างสุภาพ แต่รวดเร็วไม่ต่างจากน้องชาย ชั่วครู่คล้ายเฉินซิ่วลี่จะเห็นแววตาที่นิ่งสงบของเขาเปล่งประกายขึ้นเมื่อได้ลิ้มรสของบะหมี่ฝีมือเธอ
เฉินซิ่วลี่ไม่อยากจะโอ้อวดแต่อาชีพเดิมก่อนที่เธอจะทะลุมิติมาก็คือการทำบะหมี่ขาย ที่สำคัญร้านบะหมี่ของเธอยังเป็นร้านที่อร่อยที่สุดในอำเภออีกด้วย การันตีได้ด้วยถ้วยรางวัลมากมายในชั้นวางของเธอเลย
“กินเสร็จแล้ว เป็นเด็กดีกินยาและนอนพักนะ”
ถ้วยเล็กพร้อมเม็ดยาถูกส่งมาตรงหน้า เด็กชายวันสามขวบมีสีหน้าย่ำแย่เล็กน้อยแต่ก็ยอมรับมากินอย่างว่าง่าย เฉินซิ่วลี่คิดถึงยาน้ำสำหรับเด็กขึ้นมาในทันที แต่ก็เข้าใจว่าสถานพยาบาลเล็กๆ ในชนบทมียาให้กินก็นับว่าดีมากแล้ว
“แม่เองก็อย่าลืมกินยานะครับ”
หลี่หมิงมองซองยาสีน้ำตาลของคนเป็นแม่ และรอยแดงบนแขนของอีกฝ่ายก็เอ่ยบอกเสียงราบเรียบ ทว่าเฉินซิ่วลี่กลับรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก
น้ำหนักของเธอในใจเด็กๆ เพิ่มขึ้นแล้วใช่หรือไม่
“จ้ะ แม่จะเป็นเด็กดีกินยาแล้วเข้านอนเหมือนกัน”
........................
“คุณพ่อ คุณแม่ อาเหม่ยอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้”เสียงเด็กหญิงไว้ 3 ขวบร้องบอกคนเป็นพ่อและแม่ กวงซุนหลี่ยิ้มรับทว่าขณะที่กำลังจะเดินไปซื้อของให้ลูกสาวคนเล็ก มือข้างซ้ายก็ถูกดึงรั้งเอาไว้เสียก่อน“อาเหม่ยเพิ่งซื้อของเล่นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน หากจะซื้อชิ้นใหม่ต้องเป็นเดือนหน้า”เฉินซิ่วลี่ห้ามปรามเด็กหญิงตัวน้อยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้ากลมสดใสพลันสลดน้ำตาคลอก้มหน้ามองพื้น หลี่ชุนในวัย 10 ขวบรีบเข้ามาอุ้มน้องสาวตัวน้อยขึ้นแล้วเอ่ยกระซิบปลอบประโลม“ไม่เป็นไรนะอาเหม่ย เดี๋ยวเดือนหน้าพี่ซื้อให้”ด้วยฐานะทางบ้านของพวกเขาตอนนี้ แค่ของเล่นเพียงชิ้นเดียวไม่ใช่เรื่องยากที่จะซื้อหามาครอบครอง แต่เพราะพวกเขาเคยผ่านความยากลำบากมาก่อนจึงได้เรียนรู้คุณค่าของเงิน ในบ้านจึงมีกฎให้ซื้อของเล่นได้เพียงเดือนละ 1 ชิ้นเท่านั้น“ผมเอาตัวนี้ ใส่ถุงให้ด้วยครับ”เสียงเข้มราบเรียบเอ่ยบอก ทุกสายตาพลันหันมาจดจ้องที่หลี่หมิงขณะที่พนักงานขายรีบหยิบตุ๊กตาที่เด็กหญิงร้องบอกอยากได้เมื่อครู่ใส่ถุงอย่างรวดเร็ว“อาหมิงลูกกำลังจะทำลายกฎของบ้านเรา”เฉินซิ่วลี่เอ่ยบอกเสียงราบเรียบ แม้จะไม่ได้มีน้ำเสียงหรือท่าทางตำหนิ แต่สายตานั้นชัดเจ
“คืนนี้พวกเราจะได้น้องสาวแล้วใช่ไหมครับ”หลี่ชุนกระซิบเสียงเบา มุมปากของคนเป็นพ่อยกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้ารับด้วยสายตามุ่งมั่น“พ่อรับรองว่าเดือนหน้าน้องสาวของลูกต้องมาแน่ๆ”เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของคนเป็นพ่อสองเด็กชายก็ย้ายไปนอนที่ห้องถัดไป ขณะที่ร่างสูงโปร่งของกวงซุนหลี่ขยับเดินเข้าห้องลงกลอนแน่นหนาฉับไว “อื้ม...”เฉินซิ่วลี่ร้องครวญในลำคอเมื่อร่างกายถูกรบกวน ความเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะผิวกายทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนที่ดวงตาจะเปิดออก“คุณกวง! เข้ามาทำไมคะ”เพราะความแนบชิดที่ไม่เหมาะสมทำให้เธอตื่นตระหนกรีบมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง“หยุดนะคะ เดี๋ยวเด็กๆ เห็น”“เด็กๆ ย้ายไปนอนอีกห้องแล้ว”คนตัวโตที่ปลดเปลื้องผ้าของเธอจนเหลือเพียงร่างที่เปลือยเปล่าเช่นเดียวกับเขากระซิบบอกเสียงแหบพร่า แนบชิดร่างกายกำยำลงทาบทับบนตัวนุ่ม“คุณกวงหยุดก่อนค่ะ เราต้องคุยกันให้ชัดเจนก่อน”“เดี๋ยวค่อยคุยนะ”ริมฝีปากร้อนขยับจากลำคอขาวกดแนบชิดบดเบียดริมฝีปากบาง พร้อมกับวางมือบีบเคล้นอกอวบอิ่มทั้งสองข้าง ร่างกายของเฉินซิ่วลี่พลันตื่นตัวขนกายสาวลุกชัน สองเนื้อนิ่มแข็งสู้กับมือหนากวงซุนหลี่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ถอนริมฝ
“แค่ทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกก็พอ”ใบหน้าของกู้เหยียนพลันร้อนผ่าวแดงก่ำไปจนถึงลำคอ เดิมทีเขาเสนอตัวช่วยแก้ปัญหานี้ก็เพราะว่าเงื่อนไขของคุณหนูกวงเพียงแค่อยากแต่งงาน แต่ไม่ต้องการความสัมพันธ์ทั้งทางกายและใจ ให้แยกบ้านเธอก็ยินดี ในเมื่อชีวิตนี้เขาเองก็ไม่คิดแต่งงานกับใครอีกแล้ว ให้แต่งหลอกๆ เป็นหุ่นเชิดให้เธอก็ไม่นับว่าเสียหายอะไร แต่งเสร็จเขาก็กลับไปเมืองเจียงเป็นคุณหมอกู้ของชาวบ้านต้าหยางต่อไปก็เท่านั้นเพียงแต่แค่เรื่องหลอกๆ เรื่องหนึ่งทำไมต้องให้เขานอนกับเธอด้วย ทำแบบนี้กวงจือหลินย่อมต้องถูกผู้คนครหาติฉินนินทา ทว่าเขาไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธกวงจือหลินก็ตอบรับแผนการของกวงซุนหลี่ไปแล้ว“ได้!”“ดี! อาหย่งเอาเหล้ามา”กู้เหยียนมองเหล้าดีกรีแรงตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายฝืดลงคอ ทั้งชีวิตของเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับเส้นทางอบายมุขไม่ว่าจะเป็น เหล้า บุหรี่ ฝิ่น การพนัน และผู้หญิง ล้วนไม่เคยข้องเกี่ยว ดังนั้นเมื่อกวงซุนหลี่ส่งแก้วเหล้าให้ มือหนาจึงยื่นไปรับด้วยท่าทางลังเล“อาหลี่ ฉัน... ไม่กินได้หรือไม่ นายก็รู้ว่าฉัน...”กู้เหยียนพูดยังไม่ทันจบประโยคแก้วเหล้าในมือก็ถูกกวงซุนหลี่จับจรดที่ริมฝีปากของเขา ตอนนี้แม
“นอกจากเธอฉันไม่เคยสัญญาจะแต่งงานกับใครทั้งนั้น”เฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเรียวมองคนตรงหน้าด้วยสายตาสับสน กวงซุนหลี่จับมือซ้ายของเธอมากอบกุมแล้วกดจุมพิตที่หลังมือนุ่มก่อนจะสวมใส่แหวนลงไปที่นิ้วนางเธอเหมือนเดิม“คุณกวง คุณจะทำอะไร ฉันไม่ยินดีแต่งเป็นภรรยารองให้คุณหรอกนะ หรือต่อให้เป็นภรรยาเอก ฉันก็ไม่ยินดี”“เอาไว้ไปถึงบ้านฉันจะอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เธอฟัง แต่นับจากนี้ห้ามเธอถอดแหวนวงนี้อีก และห้ามเธอทอดทิ้งฉันด้วย แค่คิดก็ไม่ได้เข้าใจไหม”น้ำเสียงกระซิบอ้อนวอนราวกับสาวน้อยถูกรังแก ทำให้ความกรุ่นโกรธในใจของเฉินซิ่วลี่จางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น “ได้! ฉันจะรอฟังคำอธิบายของคุณ แต่ถ้าเหตุผลไม่เพียงพอเรื่องของเราก็ยังคงต้องยุติ”“ไม่ได้! ฉันไม่ยอม”กวงซุนหลี่เอ่ยบอกอย่างดื้อดึงพร้อมกับกระชับอ้อมแขนแน่น เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวไม่คิดทำเรื่องที่เสียแรงเปล่าอย่างการดิ้นรนขัดขืนเขา รั้งรอจนรถหยุดลงกวงซุนหลี่ก็อุ้มคนลงจากรถเดินเข้าบ้านในทันที“คุณกวงปล่อยฉันนะคะ ฉันเดินเองได้”“ไม่!”เสียงเข้มหนักแน่นตอบกลับพลางก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในห้องโถงแล้วนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวโดยยังคงกอดรัดเฉินซิ่วลี่ไว้บนตักไม่ยอมปล
นี่เขาคงไม่คิดจะประกาศแต่งงานกับเธอในเวลานี้หรอกนะดวงตาคมของคนบนเวทีมองตอบกลับสอดประสานดวงตาเรียว ก่อนที่เขาจะประกาศก้องอีกครั้ง“ลี่ลี่ แต่งงานกับฉันนะ”เมื่อได้ยินกวงซุนหลี่เอ่ยชื่อหญิงสาวที่เขาต้องการแต่งงาน บรรดาแขกในงานก็ส่งเสียงวิจารณ์อื้ออึงอีกครั้ง“ลี่ลี่เหรอ ใครกัน”“นั่นสิ! คุณกวงไม่ใช่ว่ากำลังคบหาดูใจกับคุณหนูกวงจือหลินอยู่หรือ ทำไมถึงประกาศแต่งกับคนอื่นได้”“แบบนี้คุณกวงจือเหลียงจะยอมหรือ”“กวงซุนหลี่ เขาไม่รักลมหายใจของตนเองแล้วหรือไง”คำพูดของผู้คนมากมายดังก้องไปทั่วงานจนกวงซุนหลี่ขบกรามแน่น หากแต่ใครจะพูดอย่างไรเขาล้วนไม่สนใจ ที่เขาสนใจมีเพียงเฉินซิ่วลี่ที่ยังนั่งนิ่งไม่ตอบรับคำขอของเขา“ลี่ลี่ ฉันสัญญาหากเธอตกลงแต่งงานกับฉัน ฉันจะมีแค่เธอ จะปกป้องดูแลเธอและครอบครัวของเราด้วยชีวิตของฉัน”หัวใจของเฉินซิ่วลี่พลันสั่นระรัว มองสบดวงตาคมด้วยแววตาสั่นไหว ดูแลด้วยชีวิต เมื่อได้ยินคำพูดนี้ความรู้สึกในวันที่เธอคิดว่าเขาตายจากไปแล้วก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสแบบเธอ ในเมื่อมีโอกาสแล้วยังต้องยึดติดกับทิฐิและข้อสงสัยมากมายทำไมกัน เมื่อคิดได้เช่นนี้เฉินซิ่วลี่ก็โยนท
เมื่อใกล้ถึงเวลาเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของกวงซุนหลี่ เฉินซิ่วลี่ก็เลือกสวมชุดสีฟ้าเข้ารูปคอสูงเพื่อปกปิดร่องรอยที่กวงซุนหลี่ทิ้งเอาไว้บนลำคอระหง แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่จัดเลี้ยงกู้เหยียนใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็ขับรถมาถึงหน้าโรงแรมจัดเลี้ยง ชายในชุดสูทแบบตะวันตกก็เดินมาเปิดประตูรถทั้ง 4 ด้าน กู้เหยียนส่งกุญแจรถให้พนักงานตรงหน้านำรถไปจอดในสถานที่จอดรถ ส่วนตัวเขาเดินมารับเฉินซิ่วลี่ ขณะที่หลี่หมิงและหลี่ชุนเดินขนาบข้างซ้ายขวาหวังรั่วซีตามหลังคนเป็นแม่เข้างานอย่างสงบเสงี่ยมรู้ความและในทันทีที่เฉินซิ่วลี่ก้าวเท้าเข้ามาในงาน ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น จึงทำให้สายตาชายหนุ่มในงานจดจ้องมาที่เธออย่างมากมาย หากไม่เพราะข้างกายเธอมีกู้เหยียนเคียงข้างอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าคืนนี้เฉินซิ่วลี่คงไม่อาจนั่งอย่างสงบแน่นอน“คุณกวงจัดที่นั่งไว้ให้คุณเฉินและผู้ติดตามเป็นพิเศษ เชิญพวกคุณทางด้านนี้ครับ”เมื่อทุกคนในงานได้เห็นตำแหน่งที่นั่งของเฉินซิ่วลี่ผู้คนในงานต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานะความสำคัญของเธอและกู้เหยียน จวบจนกระทั่งกวงซุนหลี่ก้าวเท้าเข้ามาความสนใจของผู้คนจึงเปลี่ยนไปที่เขาแทน“สวัสดีค่ะคุณก