บทที่ 3.2
แม่ที่ใฝ่ฝัน
หลายวันมานี้บ้านตระกูลหลี่ค่อนข้างสงบ เพราะหม่าอิงหงพาหลี่อันอันที่ถูกเฉินซิ่วลี่หักข้อมือเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมือง ส่วนหลี่อันเผยลูกชายอีกคนของบ้านหลี่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ในรั้วบ้านหลี่จึงมีเพียงพวกเขาสามคนแม่ลูกเท่านั้น
นึกดูตามนิยายแล้วคล้ายจะกล่าวว่าหกเดือนหลังจากที่ทางค่ายทหารส่งข่าวการตายของหลี่อันเฉิง หลี่อันเผย น้องชายต่างมารดาของหลี่อันเฉิงผู้นี้ก็เรียนจบระดับมหาวิทยาลัยกลับมาเป็นครูประจำที่โรงเรียนในหมู่บ้าน และตามตื๊อจีบเฉินซิ่วจูนางเอกของนิยายจนมีเรื่องกับเย่ชิงเหวินพระเอกในนิยายอยู่บ่อยๆ เมื่อนับดูเวลาแล้วก็คืออีก 3 เดือนข้างหน้า
เฉินซิ่วลี่ไม่สนใจเส้นชะตารักของเฉินซิ่วจู แต่ที่เธอใส่ใจก็คือนิสัยของน้องสามีหลี่อันเผยผู้นี้ เพราะตอนนี้เขานับเป็นผู้นำตระกูลหลี่ เธอที่เป็นแม่ม่ายสามีตายหากไม่กลับบ้านเดิมก็ต้องพึ่งพาอยู่ภายใต้การดูแลเขา หากอีกฝ่ายมีนิสัยเช่นหม่าอิงหงผู้เป็นมารดา ชีวิตในอีกสามเดือนข้างหน้าของเธอก็นับว่ายากลำบากแล้ว เช่นนี้เธอควรเร่งวางแผนหาทางรอดให้ตนเองกับลูกชายของพ่อตัวร้ายเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
“ลูกว่าแม่เปิดร้านขายบะหมี่ดีหรือไม่”
เฉินซิ่วลี่เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเด็กๆ ชอบกินบะหมี่ฝีมือเธอกันมาก แต่เมื่อเอ่ยถามไปแล้วกลับได้ยินเสียงสำลักตอบกลับมาแทน เฉินซิ่วลี่รีบส่งน้ำให้พวกเขาดื่มคนละแก้วในทันที ก็แค่คิดหาทางรอดเลี้ยงตัวเองและพวกเขา ทำไมเจ้าก้อนแป้งสองคนต้องทำราวกับพบเจอเรื่องประหลาดด้วยกัน เธอคือเจ้าของร้านบะหมี่ชื่อดังเลยนะ
“แม่อยู่บ้านเฉยๆ เถอะครับ”
แม่ของเขาคนนี้นอกจากแต่งตัวสวยๆ แล้วที่ผ่านมาหลี่หมิงก็ไม่เห็นว่าเธอจะทำอะไรเป็น ดูอย่างวันก่อนแค่ไปเกี่ยวหญ้าเก็บชาก็ยังแพ้ตัวแดงกลับมา ดังนั้นการอยู่เฉยๆ จึงนับว่าดีที่สุด
แม้ไม่ได้เงิน แต่ก็ไม่เสียเงิน
พูดจบหลี่หมิงก็ลงจากเก้าอี้เก็บชามบะหมี่เปล่าของตนเองและน้องชายไปล้าง ก่อนจะเดินกลับมาหยิบถุงยาที่กู้เหยียนจัดให้ออกมาจัดกินเอง
เฉินซิ่วลี่ที่เห็นเด็กชายกำลังจะจัดยากินเองพลันเบิกตากว้างรีบคว้าถุงยาจากมือเล็กมาถือไว้ในทันที
“อาหมิง ยาเป็นเรื่องสำคัญจะกินผิดไม่ได้”
“ยาเม็ดสีเหลือแก้เวียนหัวกินครั้งละหนึ่งในสี่เม็ดสามเวลา ยาสีเขียวฟ้าแก้อักเสบกินครั้งละเม็ดก่อนอาหารและก่อนนอนรวมสี่เวลา ยาเม็ดสีขาวแก้ปวดกินครั้งละครึ่งเม็ดเวลาปวดหรือมีไข้”
เฉินซิ่วลี่เบิกตากว้างเมื่อสิ่งที่เด็กชายพูดมานั้นถูกต้องทั้งหมด นี่เขาคือเด็กวัยสามขวบจริงๆ หรือ ทำไมถึงได้มีความจำดีขนาดนี้กัน แต่อย่างไรเขาก็อ่านหนังสือไม่ออก เรื่องยาเป็นสิ่งสำคัญจะปล่อยให้เขากินมั่วซั่วไม่ได้
“ถึงลูกจะจำได้ก็ห้ามจัดยากินเอง ผิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร”
“แต่...”
“พี่ชายเชื่อฟัง”
หลี่ชุนกระตุกชายเสื้อตัวเก่าของพี่ชายแล้วเอ่ยบอกเบาๆ เขาไม่ต้องการทำให้คนเป็นแม่โมโห เพราะกลัวว่านิสัยเดิมของแม่จะกลับมา หลี่หมิง ย่อมเข้าใจเจตนาของน้องชายจึงเอ่ยขานรับอย่างว่าง่าย
“ครับ”
“เก่งมาก เด็กดี”
เด็กดี หรือว่าเด็กดีที่แม่ของเขาเคยบอกก็คือเด็กที่ยอมให้ผู้ใหญ่จัดยาให้กิน หลี่หมิงขมวดคิ้วคิดวิเคราะห์ในใจ ก่อนจะรับยาใส่ปากกลืนลงท้องโดยไม่มีท่าทางงอแงเลยแม้แต่น้อย
“เก่งมากเด็กดีของแม่ กินยาแล้วก็ไปนอนพัก เดี๋ยวเย็นๆ ค่อยออกไปเล่นกับเพื่อนๆ ที่นอกบ้าน”
“ไม่เล่น... ครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบของเด็กชายเฉินซิ่วลี่ก็กลายเป็นฝ่ายขมวดคิ้วแทน หลี่หมิงกำมือ เม้มปากแน่น เด็กที่นอกบ้านพวกนั้นล้วนน่ารังเกียจ เพราะเห็นว่าหลี่ชุนร่างกายอ่อนแอ พบเจอเขาเมื่อไหร่ก็ชอบรังแก ที่ผ่านมาหลี่หมิงจึงออกไปทำงานข้างนอกเพียงลำพังแล้วให้น้องชายอยู่ทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านแทน
ทว่าเฉินซิ่วลี่ย่อมไม่เข้าใจความคิดของหลี่หมิง เธอรู้เพียงเด็กวัยนี้ควรได้รับการส่งพัฒนาการด้วยเล่นตามวัยเพื่อที่จะได้เรียนรู้และเติบโตอย่างเหมาะสม ทว่าเจ้าของร่างเดิมนั้นต้องการให้พวกเขาช่วยงานที่เกินวัยจึงไม่ได้ส่งเสริมพัฒนาการเหล่านี้ แต่เธอไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น ทั้งนี้เธอก็ไม่ต้องการบังคับพวกเขาเช่นกัน
“เพราะอะไรลูกถึงไม่เล่นหรือ”
“ไม่อยากเล่นครับ”
คำตอบแบบกำปั้นทุบดินของหลี่หมิงชวนให้คนเกิดโทสะได้อย่างง่ายดาย ทว่าเฉินซิ่วลี่ที่สังเกตพวกเขามาสักพักย่อมรู้ว่านี่คือนิสัยที่ถูกหล่อหลอมโดยมารดาน่าโมโหผู้นั้น
“อย่างนั้นลูกๆ อยากทำอะไร”
“เรียนหนังสือครับ”
ในชนบทแห่งนี้หากอยากมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมมีเพียงต้องได้รับการศึกษาที่ดี แม้รู้ว่าตอนนี้พ่อได้จากไปแล้วและครอบครัวก็ไม่มีรายได้เพียงพอจะส่งเสริมเขาและน้องชายให้ได้รับการเรียนหนังสือ แต่หลี่หมิงก็ยังคงอยากเรียน และยิ่งอยากให้หลี่ชุนได้เรียนด้วย
“ผมจะทำงานหาเงินเองครับ”
ตอนนี้เขาอายุสามขวบ โรงเรียนประถมเริ่มรับเด็กเข้าเรียนชั้นประถมหนึ่งตอนอายุห้าขวบเวลาสองปีนี้เขาน่าจะเก็บเงินได้มากพอกับค่าเรียนของตนเองและน้องชาย
“ไม่ได้!”
คำพูดเดียวของคนเป็นแม่ทำลายความฝันทั้งหมดของหลี่หมิงลงในทันที ทว่าเขารู้ดีว่าตนเองไม่มีอำนาจในการต่อต้านคัดค้าน ถึงแม้ไม่ยินดีก็ต้องยอมรับเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่โมโหจนทุบตีเขากับน้องอีก
“หากลูกอยากเรียนก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม จะออกไปทำงานหาเงินไม่ได้”
คำพูดของแม่ทำให้หลี่หมิงและหลี่ชุนเบิกตากว้างเงยหน้ามองเธอด้วยความตะลึงงัน
“แม่หมายความว่าจะให้พวกเราเรียนหนังสือใช่ไหมครับ”
หลี่ชุนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและแววตาที่คาดหวัง แม้ในใจจะมีความหวาดกลัวโทสะของแม่อยู่เล็กน้อยก็ตาม แต่เพราะความอยากเรียนมีมากกว่าจึงกลั้นใจข่มความกลัวเอ่ยถามออกมา
“ใช่จ้ะ แต่ลูกๆ ต้องสัญญาว่าจะตั้งใจ”
“ครับ”
เฉินซิ่วลี่ได้ยินคำขานรับที่หนักแน่นของเด็กชายทั้งสองก็ยิ้มกว้าง ต้องรออีกสองปีเด็กๆ ทั้งสองจึงจะถึงวัยเข้าโรงเรียน ในตอนนั้นหลี่อันเฉิงก็คงกลับมาแล้ว มีเขาอยู่เธอยังต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรอีก ระหว่างนี้เธอแค่เป็นแม่ที่ดี เตรียมความพร้อมให้พวกเขาก่อนเข้าเรียน เมื่อตัวร้ายผู้นั้นกลับมาย่อมไม่ถือโทษโกรธเคืองเรื่องในอดีตที่เจ้าของร่างเคยทำไว้และปล่อยเธอไปอย่างแน่นอน
“อย่างนั้นพรุ่งนี้แม่จะไปทำงานหาเงินไปซื้ออุปกรณ์การเรียนมาให้”
เฉินซิ่วลี่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นภาคภูมิใจ ราวกับการส่งเสริมเด็กชายทั้งสองเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ระดับชาติ ยิ่งสบแววตายินดีของหลี่ชุนที่ชัดเจนราวกับได้พบแม่ในฝัน หัวใจของเฉินซิ่วลี่ก็ยิ่งพองโต ทว่าไม่ทันได้ซึมซับความภาคภูมิใจนี้ให้เต็มอิ่มเด็กชายอีกคนก็เอ่ยเสียงราบเรียบ
"แม่ใช้หนี้ค่ายาลุงสามถังหมดแล้วหรือครับ”
เฉินซิ่วลี่เบิกตากว้าง เธอลืมเรื่องนี้ไปเลย ใบหน้าหวานซีดเผือด เธอหายหน้ามาร่วมสัปดาห์ชายหน้าดุผู้นั้นจะคิดว่าเธอหนีหนี้หรือไม่ ยังไม่ทันคิดหาวิธีแก้ไขเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าบ้าน
“เฉินซิ่วลี่ ออกมา เดี๋ยวนี้!”
.........................................
“คุณพ่อ คุณแม่ อาเหม่ยอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้”เสียงเด็กหญิงไว้ 3 ขวบร้องบอกคนเป็นพ่อและแม่ กวงซุนหลี่ยิ้มรับทว่าขณะที่กำลังจะเดินไปซื้อของให้ลูกสาวคนเล็ก มือข้างซ้ายก็ถูกดึงรั้งเอาไว้เสียก่อน“อาเหม่ยเพิ่งซื้อของเล่นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน หากจะซื้อชิ้นใหม่ต้องเป็นเดือนหน้า”เฉินซิ่วลี่ห้ามปรามเด็กหญิงตัวน้อยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้ากลมสดใสพลันสลดน้ำตาคลอก้มหน้ามองพื้น หลี่ชุนในวัย 10 ขวบรีบเข้ามาอุ้มน้องสาวตัวน้อยขึ้นแล้วเอ่ยกระซิบปลอบประโลม“ไม่เป็นไรนะอาเหม่ย เดี๋ยวเดือนหน้าพี่ซื้อให้”ด้วยฐานะทางบ้านของพวกเขาตอนนี้ แค่ของเล่นเพียงชิ้นเดียวไม่ใช่เรื่องยากที่จะซื้อหามาครอบครอง แต่เพราะพวกเขาเคยผ่านความยากลำบากมาก่อนจึงได้เรียนรู้คุณค่าของเงิน ในบ้านจึงมีกฎให้ซื้อของเล่นได้เพียงเดือนละ 1 ชิ้นเท่านั้น“ผมเอาตัวนี้ ใส่ถุงให้ด้วยครับ”เสียงเข้มราบเรียบเอ่ยบอก ทุกสายตาพลันหันมาจดจ้องที่หลี่หมิงขณะที่พนักงานขายรีบหยิบตุ๊กตาที่เด็กหญิงร้องบอกอยากได้เมื่อครู่ใส่ถุงอย่างรวดเร็ว“อาหมิงลูกกำลังจะทำลายกฎของบ้านเรา”เฉินซิ่วลี่เอ่ยบอกเสียงราบเรียบ แม้จะไม่ได้มีน้ำเสียงหรือท่าทางตำหนิ แต่สายตานั้นชัดเจ
“คืนนี้พวกเราจะได้น้องสาวแล้วใช่ไหมครับ”หลี่ชุนกระซิบเสียงเบา มุมปากของคนเป็นพ่อยกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้ารับด้วยสายตามุ่งมั่น“พ่อรับรองว่าเดือนหน้าน้องสาวของลูกต้องมาแน่ๆ”เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของคนเป็นพ่อสองเด็กชายก็ย้ายไปนอนที่ห้องถัดไป ขณะที่ร่างสูงโปร่งของกวงซุนหลี่ขยับเดินเข้าห้องลงกลอนแน่นหนาฉับไว “อื้ม...”เฉินซิ่วลี่ร้องครวญในลำคอเมื่อร่างกายถูกรบกวน ความเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะผิวกายทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนที่ดวงตาจะเปิดออก“คุณกวง! เข้ามาทำไมคะ”เพราะความแนบชิดที่ไม่เหมาะสมทำให้เธอตื่นตระหนกรีบมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง“หยุดนะคะ เดี๋ยวเด็กๆ เห็น”“เด็กๆ ย้ายไปนอนอีกห้องแล้ว”คนตัวโตที่ปลดเปลื้องผ้าของเธอจนเหลือเพียงร่างที่เปลือยเปล่าเช่นเดียวกับเขากระซิบบอกเสียงแหบพร่า แนบชิดร่างกายกำยำลงทาบทับบนตัวนุ่ม“คุณกวงหยุดก่อนค่ะ เราต้องคุยกันให้ชัดเจนก่อน”“เดี๋ยวค่อยคุยนะ”ริมฝีปากร้อนขยับจากลำคอขาวกดแนบชิดบดเบียดริมฝีปากบาง พร้อมกับวางมือบีบเคล้นอกอวบอิ่มทั้งสองข้าง ร่างกายของเฉินซิ่วลี่พลันตื่นตัวขนกายสาวลุกชัน สองเนื้อนิ่มแข็งสู้กับมือหนากวงซุนหลี่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ถอนริมฝ
“แค่ทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกก็พอ”ใบหน้าของกู้เหยียนพลันร้อนผ่าวแดงก่ำไปจนถึงลำคอ เดิมทีเขาเสนอตัวช่วยแก้ปัญหานี้ก็เพราะว่าเงื่อนไขของคุณหนูกวงเพียงแค่อยากแต่งงาน แต่ไม่ต้องการความสัมพันธ์ทั้งทางกายและใจ ให้แยกบ้านเธอก็ยินดี ในเมื่อชีวิตนี้เขาเองก็ไม่คิดแต่งงานกับใครอีกแล้ว ให้แต่งหลอกๆ เป็นหุ่นเชิดให้เธอก็ไม่นับว่าเสียหายอะไร แต่งเสร็จเขาก็กลับไปเมืองเจียงเป็นคุณหมอกู้ของชาวบ้านต้าหยางต่อไปก็เท่านั้นเพียงแต่แค่เรื่องหลอกๆ เรื่องหนึ่งทำไมต้องให้เขานอนกับเธอด้วย ทำแบบนี้กวงจือหลินย่อมต้องถูกผู้คนครหาติฉินนินทา ทว่าเขาไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธกวงจือหลินก็ตอบรับแผนการของกวงซุนหลี่ไปแล้ว“ได้!”“ดี! อาหย่งเอาเหล้ามา”กู้เหยียนมองเหล้าดีกรีแรงตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายฝืดลงคอ ทั้งชีวิตของเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับเส้นทางอบายมุขไม่ว่าจะเป็น เหล้า บุหรี่ ฝิ่น การพนัน และผู้หญิง ล้วนไม่เคยข้องเกี่ยว ดังนั้นเมื่อกวงซุนหลี่ส่งแก้วเหล้าให้ มือหนาจึงยื่นไปรับด้วยท่าทางลังเล“อาหลี่ ฉัน... ไม่กินได้หรือไม่ นายก็รู้ว่าฉัน...”กู้เหยียนพูดยังไม่ทันจบประโยคแก้วเหล้าในมือก็ถูกกวงซุนหลี่จับจรดที่ริมฝีปากของเขา ตอนนี้แม
“นอกจากเธอฉันไม่เคยสัญญาจะแต่งงานกับใครทั้งนั้น”เฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเรียวมองคนตรงหน้าด้วยสายตาสับสน กวงซุนหลี่จับมือซ้ายของเธอมากอบกุมแล้วกดจุมพิตที่หลังมือนุ่มก่อนจะสวมใส่แหวนลงไปที่นิ้วนางเธอเหมือนเดิม“คุณกวง คุณจะทำอะไร ฉันไม่ยินดีแต่งเป็นภรรยารองให้คุณหรอกนะ หรือต่อให้เป็นภรรยาเอก ฉันก็ไม่ยินดี”“เอาไว้ไปถึงบ้านฉันจะอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เธอฟัง แต่นับจากนี้ห้ามเธอถอดแหวนวงนี้อีก และห้ามเธอทอดทิ้งฉันด้วย แค่คิดก็ไม่ได้เข้าใจไหม”น้ำเสียงกระซิบอ้อนวอนราวกับสาวน้อยถูกรังแก ทำให้ความกรุ่นโกรธในใจของเฉินซิ่วลี่จางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น “ได้! ฉันจะรอฟังคำอธิบายของคุณ แต่ถ้าเหตุผลไม่เพียงพอเรื่องของเราก็ยังคงต้องยุติ”“ไม่ได้! ฉันไม่ยอม”กวงซุนหลี่เอ่ยบอกอย่างดื้อดึงพร้อมกับกระชับอ้อมแขนแน่น เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวไม่คิดทำเรื่องที่เสียแรงเปล่าอย่างการดิ้นรนขัดขืนเขา รั้งรอจนรถหยุดลงกวงซุนหลี่ก็อุ้มคนลงจากรถเดินเข้าบ้านในทันที“คุณกวงปล่อยฉันนะคะ ฉันเดินเองได้”“ไม่!”เสียงเข้มหนักแน่นตอบกลับพลางก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในห้องโถงแล้วนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวโดยยังคงกอดรัดเฉินซิ่วลี่ไว้บนตักไม่ยอมปล
นี่เขาคงไม่คิดจะประกาศแต่งงานกับเธอในเวลานี้หรอกนะดวงตาคมของคนบนเวทีมองตอบกลับสอดประสานดวงตาเรียว ก่อนที่เขาจะประกาศก้องอีกครั้ง“ลี่ลี่ แต่งงานกับฉันนะ”เมื่อได้ยินกวงซุนหลี่เอ่ยชื่อหญิงสาวที่เขาต้องการแต่งงาน บรรดาแขกในงานก็ส่งเสียงวิจารณ์อื้ออึงอีกครั้ง“ลี่ลี่เหรอ ใครกัน”“นั่นสิ! คุณกวงไม่ใช่ว่ากำลังคบหาดูใจกับคุณหนูกวงจือหลินอยู่หรือ ทำไมถึงประกาศแต่งกับคนอื่นได้”“แบบนี้คุณกวงจือเหลียงจะยอมหรือ”“กวงซุนหลี่ เขาไม่รักลมหายใจของตนเองแล้วหรือไง”คำพูดของผู้คนมากมายดังก้องไปทั่วงานจนกวงซุนหลี่ขบกรามแน่น หากแต่ใครจะพูดอย่างไรเขาล้วนไม่สนใจ ที่เขาสนใจมีเพียงเฉินซิ่วลี่ที่ยังนั่งนิ่งไม่ตอบรับคำขอของเขา“ลี่ลี่ ฉันสัญญาหากเธอตกลงแต่งงานกับฉัน ฉันจะมีแค่เธอ จะปกป้องดูแลเธอและครอบครัวของเราด้วยชีวิตของฉัน”หัวใจของเฉินซิ่วลี่พลันสั่นระรัว มองสบดวงตาคมด้วยแววตาสั่นไหว ดูแลด้วยชีวิต เมื่อได้ยินคำพูดนี้ความรู้สึกในวันที่เธอคิดว่าเขาตายจากไปแล้วก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสแบบเธอ ในเมื่อมีโอกาสแล้วยังต้องยึดติดกับทิฐิและข้อสงสัยมากมายทำไมกัน เมื่อคิดได้เช่นนี้เฉินซิ่วลี่ก็โยนท
เมื่อใกล้ถึงเวลาเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของกวงซุนหลี่ เฉินซิ่วลี่ก็เลือกสวมชุดสีฟ้าเข้ารูปคอสูงเพื่อปกปิดร่องรอยที่กวงซุนหลี่ทิ้งเอาไว้บนลำคอระหง แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่จัดเลี้ยงกู้เหยียนใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็ขับรถมาถึงหน้าโรงแรมจัดเลี้ยง ชายในชุดสูทแบบตะวันตกก็เดินมาเปิดประตูรถทั้ง 4 ด้าน กู้เหยียนส่งกุญแจรถให้พนักงานตรงหน้านำรถไปจอดในสถานที่จอดรถ ส่วนตัวเขาเดินมารับเฉินซิ่วลี่ ขณะที่หลี่หมิงและหลี่ชุนเดินขนาบข้างซ้ายขวาหวังรั่วซีตามหลังคนเป็นแม่เข้างานอย่างสงบเสงี่ยมรู้ความและในทันทีที่เฉินซิ่วลี่ก้าวเท้าเข้ามาในงาน ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น จึงทำให้สายตาชายหนุ่มในงานจดจ้องมาที่เธออย่างมากมาย หากไม่เพราะข้างกายเธอมีกู้เหยียนเคียงข้างอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าคืนนี้เฉินซิ่วลี่คงไม่อาจนั่งอย่างสงบแน่นอน“คุณกวงจัดที่นั่งไว้ให้คุณเฉินและผู้ติดตามเป็นพิเศษ เชิญพวกคุณทางด้านนี้ครับ”เมื่อทุกคนในงานได้เห็นตำแหน่งที่นั่งของเฉินซิ่วลี่ผู้คนในงานต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานะความสำคัญของเธอและกู้เหยียน จวบจนกระทั่งกวงซุนหลี่ก้าวเท้าเข้ามาความสนใจของผู้คนจึงเปลี่ยนไปที่เขาแทน“สวัสดีค่ะคุณก