“....”
“....”
ดวงตาสีดำสนิทดั่งรัตติกาลจ้องมองมายังดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่กำลังเบิกกว้างเพราะตกใจ
ซูเมิ่งจะชักมือออกก็มิสามารถทำได้ดังนั้นริมฝีปากกลีบกุหลาบจึงขบเข้าหากันอย่างขัดใจที่ตนเองในชาตินี้แรงน้อยจนเกินไป
หญิงสาวผ่อนลมหายใจเข้าออกเพื่อต้องการตั้งสติมิให้ตื่นตระหนกกับเพียงแค่เห็นดวงตาดุร้ายของคนเมากำลังจ้องมองมาที่นางเขม็ง
“ท่านหยางเหวิน นี่ข้าเองเจ้าค่ะ ภรรยาของท่าน....” นางพยายามส่งยิ้มเป็นมิตรไปให้อีกฝ่าย ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่นางมักใช้ยามกำลังเจรจาข้อตกลงกับคู่ค้าในชาติที่แล้ว
ซูเมิ่งขอตั้งชื่อให้กับรอยยิ้มนี้ว่า รอยยิ้มการค้าก็แล้วกัน
“....ข้านามซูเมิ่งเจ้าค่ะ”
“....”
ทว่าดูท่าคู่ค้านางผู้นี้จะมิใช่คนที่มีนิสัยเป็นมิตรเสียแล้ว
ดูเขาสิ จ้องมองนางเขม็ง ด้วยใบหน้าดุดันราวกับปิศาจเช่นนั้น หากเป็นเมื่อก่อนนางคงทำทุกวิถีทางที่จะเลี่ยงคบค้ากับคนประเภทนี้
ไม่ทักทายกลับแถมยังไม่ส่งยิ้มให้สักครั้งทั้งที่เราเพิ่งรู้จักกัน
เฮ้อ สงสัยนางต้องศึกษานิสัยของผู้คนในเมืองหลวงแห่งนี้โดยละเอียดเสียหน่อยแล้ว มิเช่นนั้นสตรีบ้านนอกควบด้วยสตรีต่างมิติเช่นนางเกรงว่าจะอยู่รอดได้ยาก
“ท่านเมามาก ข้าเพียงต้องการจัดแจงให้ท่านนอนได้สะดวกขึ้นเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“....”
ซูเมิ่งรู้สึกตนเองราวกับตนเองพูดกับกำแพง ไร้การตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น ในที่สุดนางก็คิดได้เองว่านางควรปล่อยให้คนเมาได้พักผ่อนบนเตียงนอนนุ่มๆ ส่วนนางก็หาที่นอนสักที่ในห้องแห่งนี้ได้แล้ว
ทว่าพอนางหันหลังกำลังจะเดินจากไปแรงฉุดรั้งร่างนางให้หงายหลังมหาศาลทำให้ซูเมิ่งเสียหลักล้มลงไปนอนบนเตียง
เนื่องจากนางมิทันได้ตั้งตัวดังนั้นในหัวคิดแล้วว่าศีรษะตนเองไม่แคล้วกระแทกเตียงไม้บาดเจ็บเป็นแน่ ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายกลับมิเป็นเช่นนั้น...
ศีรษะซูเมิ่งกระแทกกับแผ่นอกแกร่งของสามีขี้เมาของนางเองผู้เป็นคนดึงฉุดให้นางล้มลงมานั่นเอง
ซูเมิ่งไม่พอใจอย่างยิ่งจึงชักสีหน้าใส่อีกฝ่าย
“ว้าย”
ก่อนที่หญิงสาวจะหวั่นวิตกใจอีกรอบเมื่อนางโดนจับพลิกให้มานอนหงายหน้าอยู่ใต้ร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“ทะ ท่านจะทำอันใด”
ซูเมิ่งเพ่งมองแววตาคมกริบคมวาวราวกับเหยี่ยวที่กำลังหมายตาเหยื่ออันโอชะบนพื้นดินด้านล่างเบื้องหน้าอย่างแตกตื่นลนลาน
“เจ้าลืมไปแล้วรึว่าเจ้าเข้ามาที่ตระกูลข้าในฐานะอันใด”
“ขะ ข้า....”
แม้ว่าวาจาตระกุกตระกักทว่าประสาทสัมผัสซูเมิ่งตื่นตัวระวังภัยเต็มที่
“เช่นนั้นข้าจะทบทวนสถานะของเจ้า แล้วจงจดจำให้ขึ้นใจ”
โพล๊ะ
ราวกับมีฟองสบู่แตกในหัวของซูเมิ่ง หญิงสาวตะลึงพรึงเพริดจนสมองว่างเปล่าไปแล้วสิ้น เมื่อสามีที่นางคิดว่าอีกฝ่ายเมามายไร้สติมาโดยตลอดกำลังก้มหน้าลงมาป้อนจุมพิตร้อนแรงให้แก่นาง
มิรู้ว่าเพราะอีกฝ่ายดื่มสุราจนเมาเกินไปหรือไม่ รสจูบที่ชายหนุ่มยัดเยียดให้นางจึงเต็มไปด้วยความกระหายราวกับนักล่าจำศีลที่มิได้กินเนื้อนุ่มมานานหลายปี พอได้มีโอกาสลิ้มรสจึงตระกละตระกลามเช่นนี้
ครั้งนี้ถือเป็นจุมพิตแรกของนางทั้งในมิตินี้และมิติที่แล้ว
ซูเมิ่งรู้สึกเหมือนตนเองกำลังโดนเขมือบกินปาก
นางไม่คิดเลยว่าฉากหวานแหววของพระนางที่เคยเห็นในละครหลังข่าวแท้จริงแล้วจะน่ากลัวถึงเพียงนี้
ซูเมิ่งหวาดกลัวยิ่งนัก
“แค่กๆๆ”
ท้ายที่สุดคนไม่เคยจูบมาก่อนยิ่งมิต้องพูดถึงการหายใจให้ถูกต้องนางล้วนไม่สามารถทำได้ ดังนั้นนางจึงไอโขลกๆ ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ข้า ข้าหายใจมิทันเจ้าค่ะ”
เสียงของซูเมิ่งทำให้หยางเหวินที่กำลังคลุ้มคลั่งกระหายความหวานหยดหยุดชะงัก ชายหนุ่มค่อยๆ ผละใบหน้าออกมาสบตามองสตรีที่ได้ชื่อเป็นภรรยาของตนเอง
ใบหน้าเย็นชานั้นทำให้ซูเมิ่งหวาดหวั่นใจยิ่ง
นางย่อมรู้ว่าอย่างไรเสียวันนี้นางจะต้องเข้าหอกับเขาเป็นแน่แท้ ซูเมิ่งไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ทว่าหญิงสาวก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะกระทำรุนแรงเกินร่างกายนางจะรับไหวหรือไม่
ซูเมิ่งไม่เคย แล้วยิ่งเป็นครั้งแรกของนางที่เขาบอกกันว่าเจ็บยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
หยาดน้ำตาไม่รู้ว่ามันเอ่อล้นออกมาเต็มดวงตานางตั้งแต่เมื่อไหร่ ยามใช้แววตาสองคู่นี้มองไปที่บุรุษเหนือร่างนางจึงดูเว้าวอน น่าสงสารยิ่งนัก
“เหอะ! ข้าหาได้ต้องการบังคับใครไม่ ออกไป! ข้าบอกให้เจ้าออกไปจากห้องของข้าเดี๋ยวนี้”
ซูเมิ่งเผลอตัวสั่นตามแรงอารมณ์ของอีกฝ่าย เสียงตะคอกดังก้องในโสตประสาทหูของนางยิ่งนัก
ราวกับกริยาหวาดกลัวของนางทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจจึงไล่ตเพิดนางราวกับหมูกับหมาเช่นนี้
“ตะ แต่ นี่เป็นห้องหอ”
ให้นางออกไปจากที่ห้องนี้แล้วนางควรไปที่ใดต่อ....
ในเมื่อที่นี่มิใช่จวนของนาง และซูเมิ่งเพิ่งเคยมาเหยียบสถานที่แห่งนี้คราแรกด้วยซ้ำ
ดังนั้นซูเมิ่งจึงได้แต่ยืนเคว้งคว้างมิเดินออกจากห้องไปตามที่อีกฝ่ายตะโกนไล่
“หึ....”
สุดท้ายแล้วฝ่ายที่ต้องเดินจากไปจึงคือสามีผู้สร่างเมาของนาง เสียงกระแทกปิดประตูดังโครมทำให้ซูเมิ่งสะดุ้งตกใจ
“เฮ้อ รอดไปแล้วหนึ่งวัน”
ซูเมิ่งเดินเข้าไปนั่งบนเตียงนอนที่เคยเป็นสถานที่ที่ทำให้นางเกือบหลั่งน้ำตาด้วยความกลัวเป็นครั้งแรกในชีวิตนี้
“ดูท่าชีวิตในจวนแห่งนี้จะมิง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว”
_________________________________________________________________________
ใจร้ายจังเลยพ่อจ๋า นี่มันตัวร้ายหรือพระเอกกันเนี่ย
บทส่งท้ายและวันนั้นทั้งวันหยางเหวินโดนพ่อตาของตนเองลากไปไหนมาไหนด้วย เรียกได้ว่าตัวติดกันจนซูเมิ่งนึกสงสัยว่าหรือสามีของนางจะเป็นลูกชายที่หายสาบสูญไปอีกคนหนึ่งของบิดาตนเองซูเมิ่งทั้งวันไม่ไปนั่งพูดคุยกับญาติพี่น้องร่วมสายเลือดในจวนก็เข้าไปนั่งเล่นกับน้องชายสุดแสนน่ารักที่มีอายุเพียงสิบเอ็ดหนาวเท่านั้นจวบจนตอนค่ำยามซวี [1] นั่นแหละนางจึงมีโอกาสขอตัวกลับเรือนของตนเองที่ครอบครัวนางเตรียมเอาไว้ให้เรือนหลังนี้ใหญ่ไม่แพ้หลังไหนๆ ในจวน การตกแต่งแม้จะเรียบง่ายแต่ของใช้ทุกชิ้นล้วนเป็นของใหม่ยังมิเคยได้ใช้ เป็นวัสถดุเนื้อดีทั้งนั้นเรือนส่วนตัวสภาพดีขนาดนี้นี่เป็นครั้งแรกของนางเลยกระมังที่ได้รับการดูแลเช่นนี้“ยิ้มขนาดนั้น เจ้าชอบเรือนหลังนี้มากเลยหรือ”เสียงของหยางเหวินบุรุษที่วันนี้หายหน้าหายตาไปจากซูเมิ่งทั้งวัน พร้อมกับอ้อมกอดจากคนตัวโตสวมโอบนางจากข้างหลัง“เจ้าค่ะข้าชอบที่นี่ แต่มิใช่แค่เรือนหลังนี้ แต่เป็นทุกคนที่นี่ด้วย พวกเขาต้อนรับข้าอย่างดียิ่ง”“เช่นนั้นหากเรากลับแคว้นไปข้าให้คนสร้างจวนของพวกเราสองคนแยกออกมาดีหรือไม่ ข้าได้รับพระราชทานที่ดินทำเลดีมิหยอก ข้ายกให้เจ้า จะให้สร้างจวนห
บทที่ยี่สิบภรรยากับครอบครัวที่แท้จริงณ แคว้นหูอี๋ฉีจวนตระกูลโจวจวนหลักตั้งอยู่ที่เมืองหลวง ตระกูลโจวเป็นตระกูลแม่ทัพตั้งแต่รุ่นทวดลงมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน หากเปรียบเทียบกับแคว้นเย่ ตระกูลโจวก็เปรียบได้ดั่งตระกูลหยางดีที่เวลานี้สองแคว้นสงบศึกเปลี่ยนมาสมานฉันท์กันหลายปีแล้ว มิเช่นนั้นสองทายาทตระกูลแม่ทัพคงเคยพบเจอกันบ้างในสงครามระหว่างแคว้นแม้ว่ารุ่นลูกอาจไม่เคยฟาดฟันกันแต่สำหรับรุ่นพ่อนั้นไม่แน่ มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขตระกูลหยางกับประมุขตระกูลโจวแห่งสองแคว้นจะเคยปะทะฟาดฟันวัดฝีมือกันมาก่อนเวลานี้ฝ่ายซูเมิ่งรวมฝ่ายของพี่ชายและคนของสามีนางแยกย้ายจากขบวนสินค้าของตระกูลลู่มาระยะหนึ่งแล้วเป็นเพราะไปคนละทาง ตระกูลลู่ต้องการไปเมืองชายแดนเพื่อส่งสินค้า แต่พวกนางต้องการไปเมืองหลวงดังนั้นเวลานี้ซูเมิ่งจึงกำลังนั่งรถม้าคันของโจวเฉิงเค่ออยู่นั่นเองเห็นพี่ชายบอกว่าอีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามจะถึงจวนของเราพี่ชายใช้คำว่าของเราทำให้ซูเมิ่งรู้สึกซาบซึ้ง....ในที่สุดนางก็กำลังมีบ้านและครอบครัวเป็นของตนเองสักที“ถึงจวนตระกูลโจวแล้วขอรับคุณชาย”เนื่องจากในห้องโดยสารมีคนนั่งอยู่เพียงสองคนคือนางและพี่ชาย
บทที่สิบเก้าภรรยากับคำสารภาพ“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ขบวนของเราโชคดีได้หยุดพักที่สถานที่มิห่างไกลจากน้ำตกมากนัก คุณชายฝากถามว่าคุณหนูอยากชำระร่างกายหรือแช่น้ำหรือไม่เจ้าคะ เวลานี้ไม่มีคนใช้งานและเดี๋ยวให้คนไปกั้นเขตให้คุณหนูเจ้าค่ะ”“น้ำตกหรือ...อืม ก็ดีเหมือนกัน ข้าอยากแช่น้ำเย็นสักหน่อย มิได้อาบน้ำทุกวันดังเช่นปกติ รู้สึกเหนียวตัวยิ่งนัก”“เจ้าค่ะ เช่นนั้นเดี๋ยวบ่าวรีบไปเรียนคุณชายให้จัดกั้นพื้นที่ให้นะเจ้าคะ รอบ่าวสักครู่”“ได้ ขอบใจมากนะ”พอหลิ่นปินไปภายในกระโจมหลังน้อยก็เงียบลงทันตา ซูเมิ่งหันหลังกับไปเตรียมชุดและของใช้อาบน้ำที่จำเป็นด้วยตนเองที่ด้านหลัง เวลาผ่านไปไม่ถึงถ้วยน้ำชานางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในกระโจมนาง“กลับมาเร็วยิ่ง คุณชายว่าอย่างไรบะ บ้าง....อ้าว ท่านพี่! อุ้บ!”คนที่เดินเข้ามากลับไม่ใช่สาวใช้อย่างที่ซูเมิ่งคิด แต่เป็น หยางเหวิน บุรุษร่างสูงใหญ่ที่พอก้าวเท้าเข้ามาในกระโจมก็ดูคับแคบขึ้นมาทันตา ชายหนุ่มคงรู้ว่าซูเมิ่งไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายจึงก้าวเข้ามาประชิดตัวนางและใช้มือหนาปิดปากมิให้ส่งเสียงดังโวยวาย“อื้อ อ่านเอ้าอาไอ้อ่างไอ อ่อยอ้า!”“หากข้าปล่อยแล้วเจ้าจะเร
“นั่นเจ้าใช่หรือไม่ซูเมิ่ง เป็นเจ้า!” เสียงของหยางเหวิน บุรุษที่นางเคยรู้สึกปลอดภัยยามได้ยินเสียง ทว่าบัดนี้มิใช่อีกต่อไปแล้ว....“ข้าเอง พวกท่านกำลังทำสิ่งใด อย่าทำร้ายพวกเขานะ”ซูเมิ่งโดนจับได้นางจึงวิ่งออกไปขวางมิให้คนของหวางเหวินทำร้ายหรือมาต่อสู้กับคนของลู่เจ๋อทีแรกบุรุษทั้งสามเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีที่ตามหามาหลายวันก็พากันดีใจ รอยยิ้มปรากฏบนหน้าไปตามๆ กัน ทว่าพอเห็นนางวิ่งเข้ามาไม่เกรงกลัวอันตรายหรือลูกหลงท่ามกลางการต่อสู้ก็ตกใจ หัวใจหล่นไปที่ตาตุ่มกันหมด“พวกเจ้าหยุดลงมือ!”คนของฝ่ายหยางเหวินหยุดต้อนผู้คุ้มของขบวนสินค้าทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้านาย ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็เพียงได้รับคำสั่งให้ต้อนพวกนี้ให้จนมุมยอมศิโรราบเท่านั้นก็ตามซูเมิ่งบัดนี้ยืนอยู่กลางทางระหว่างขบวนสินค้าตระกูลลู่กับฝ่ายของพี่ชายและสามีนาง“น้องน้อยเจ้าอย่าเพิ่งวิ่งไปทั่วสิ มันอันตราย” เสียงของโจวเฉิงเค่อเต็มไปด้วยความวิตกกังวล นางมองเห็นบนใบหน้าของชายหนุ่มนั้นมีเหงื่อ แววตาดูตื่นตระหนกเกรงว่านางจะได้รับอันตรายจริงอย่างที่พี่ชายเอ่ย“แม่นางซูทางนั้นอันตรายเข้ามาหลบพักในรถม้าก่อนเถิด”ลู่เจ๋อและผู้คุ้มกันของเข
บทที่สิบแปดภรรยามิยอมอีกต่อไปแล้ว“ทำไมเจ้ามิตามนางไปด้วย ปล่อยให้นางซึ่งเป็นสตรีปีนขึ้นรถม้าขบวนพวกพ่อค้าจิตใจเจ้าเล่ห์แสนกลไปได้เยี่ยงไร”“ขะ ข้าน้อยคิดไม่ทัน คุณหนูบอกมิให้ข้าตามไป บอกให้ข้ามาส่งข่าวท่านว่าให้ตามนางได้ที่ขบวนสินค้าตระกูลลู่ขอรับ”“เจ้าเป็นคนที่แคว้นนี้มิใช่รึ รู้จักหรือไม่ตระกูลพ่อค้าลู่”“รู้แล้วอย่างไร ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยรึ”“เหอะ”“เหอะ”โจวเฉิงเค่อและหยางเหวินทะเลาะกันอีกหนหากมีช่องว่างโอกาสให้แขวะใส่กันเวลานี้ขบวนรถม้าของทั้งโจวเฉิงเค่อและขบวนม้าของหยางเหวินเดินทางออกจากเมืองหลวงมาได้หลายชั่วยามแล้ว เดินทางติดต่อกันยาวนานระยะหนึ่งจนต้องหยุดพักให้ม้าพักกินอาหารกินน้ำก่อนส่วนคนที่เหลือก็มาดูแผนที่วางแผนหาทางตามหาขบวนขนสินค้าตระกูลลู่ตามเบาะแสที่ซูเมิ่งทิ้งไว้ให้“คนม้าของเรายังสืบมิได้ความอีกรึ ป่านนี้ยังมิมีใครมาถึงอีก” หยางเหวินเดินออกมาจากกระโจมอีกฝ่ายหลังจากรำคาญทั้งหน้าและน้ำเสียงจนทนไม่ไหวตัดสินใจเดินกับมาหาเบาะแสจากคนของตนดีกว่าพอยิ่งได้รู้ว่าซูเมิ่งไปกับตระกูลลู่ตระกูลที่เขาเคยให้คนไปสืบประวัติมาเพราะเขาเคยเห็นอีกฝ่ายทักทายเอ่ยสนทนาอย่างสนิทสนสน
“คุณหนูเจ้าคะ มิทราบว่าคุณหนูคิดถึงสิ่งใดอยู่ มีเรื่องใดเป็นกังวลหรือไม่ ระ....หรือบ่าวรับใช้ไม่ดีพอเจ้าคะ”“หะ หา เรียกข้าหรือ”“บ่าวดูแลไม่ดีตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ บอกให้บ่าวปรับปรุงแก้ไขได้หมดนะ ตะ แต่อย่าไล่บ่าวออกเลย”“ข้าจะไปไล่เจ้าได้ย่างไร ลุกขึ้นก่อน”ซูเมิ่งตื่นจากภวังค์ของตนเองมาก็เพราะตกใจที่อยู่ดีดีสาวใช้ที่ลู่เจ๋อส่งมาคอยช่วยอำนวยความสะดวกนางลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น บนดวงตากลมโตของนางมีน้ำตาเอ่อคลอราวกับกลัวว่าซูเมิ่งจะลงโทษเสียอย่างนั้น“ข้ามิได้ไม่พอใจเรื่องใด เพียงคิดถึงเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น”“คิดถึงครอบครัวที่เมืองหลวงหรือเจ้าคะ”“อืม....” ซูเมิ่งหยุดคิดจากคำเรียกของอีกฝ่าย “มิรู้ว่าข้าสามารถเรียกพวกเขาว่าครอบครัวได้หรือไม่”เพราะคนที่เมื่อสักครู่ซูเมิ่งเผลอคิดถึงคือหยางเหวินน่ะสิ...มิใช่พี่ชายสายเลือดเดียวกันอย่างโจวเฉิงเค่อซูเมิ่งรู้สึกเหมือนนางทิ้งสิ่งสำคัญบางอย่างไป มันทำให้ในหัวใจนางรู้สึกเหมือนโดนคนขโมยเฉือนเนื้อบางส่วนทิ้งไประยะเวลาผ่านมาไม่กี่เดือนกับการอยู่ร่วมกันกับหยางเหวินในฐานะสามีภรรยามันช่างดูยาวนาน มีหลายครั้งที่นางเผลอผูกพันกับชายหนุ่ม