บทที่หนึ่ง
ภรรยาที่มิมีใครต้อนรับ
การแต่งงานดำเนินเรียบง่ายกว่าที่ซูเมิ่งคิดไว้ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเดี๋ยวเดียวก็ถึงเวลาค่ำคืนในการเข้าหอโดยตามธรรมเนียมของคนยุคโบราณจะมีงานเลี้ยงโดยให้เข้าบ่าวไปร่วมงานรื่นเริง ส่วนฝ่ายเจ้าสาวจะโดนนำตัวมารอที่ห้องหอของพวกเขา
เวลานี้ซูเมิ่งจึงกำลังนั่งรอเจ้าบ่าวของตนเองอยู่บนเตียงที่ปูผ้าปูที่นอนสีแดงเข้ม ม่านมุ้งระโยงรยางค์สีเดียวกันไปทั้งห้อง
สองมือของนางเย็นเยียบเพราะตื่นเต้นกับการเฝ้ารอการมาของเจ้าบ่าวป้ายแดงของตนเอง
ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีพิธีรีตองอันใดพวกนี้เสียอีก
ซูเมิ่งนึกว่าการแต่งงานเป็นเพียงเรื่องบังหน้า ทว่าไยพอนางขึ้นเกี้ยวมายังตระกูลหยาง ตั้งแต่กราบไหว้ฟ้าดิน แขกเหรื่อของฝั่งเจ้าบ่าวก็ดูสมจริงไปหมดเสียทุกอย่างราวกับนางกำลังร่วมงานแต่งงานจริงๆ
แล้วทีนี้จะมิให้ซูเมิ่งเป็นกังวลจนมือเย็นเยียบในเวลานี้ได้อย่างไรเล่า ก็ในเมื่อนางมิได้เตรียมตัวจะมาเป็นเจ้าสาวที่แท้จริงของบุรุษที่ชื่อ หยางเหวินเลยสักนิด
ค่ำคืนนี้นางและเขาผู้มิเคยพูดคุยกันเลยสักครั้ง มิใช่สิยังมิเคยเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนเลยด้วยซ้ำ แล้วอย่างนี้พวกเขาจะมีค่ำคืนเข้าหอร่วมกันได้อย่างไร
ชาติที่แล้วแม้ว่านางมีอายุถึงสามสิบปีบริบูรณ์แล้ว แต่นางก็เป็นสาวโสดสนิทที่วันๆ ทำแต่งาน สร้างธุรกิจด้วยสองมือของตนเอง ไลฟ์ขายของในแอพพริเคชั่นยอดนิยมจนประสบความสำเร็จสามารถปลดหนี้ให้ที่บ้านได้ตั้งแต่อายุยี่สิบเก้า
เรื่องความรักมิต้องพูดถึง ซูเมิ่งไม่เคยสัมผัสมันเลยสักครั้งในชาติที่แล้ว
แล้วเรื่องการมีเพศสัมพันธ์อันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์นางจะไปเคยมีได้อย่างไร
ฮื่อ ซูเมิ่งที่กำลังนั่งครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอดจากค่ำคืนส่งตัวเข้าหอนี้อยู่กัดปากตนเองจนเป็นห้อเลือด
พลั่ก
เสียงเปิดประตูทำให้ร่างบางบนเตียงสะดุ้งโหยง โชคดีที่บนศีรษะนางยังคงมีผ้าคลุมสีแดงปิดบังใบหน้าตื่นตระหนกของซูเมิ่งอยู่
ฟู่ว นางพยายามเรียกสติของตนเองให้กลับเข้าร่าง
นางมิเคยเป็นกังวลร้อนรนเท่าวันนี้มาก่อน มิคิดเลยว่านางในชาติใหม่นี้จะต้องมาแต่งงานมีสามีของจริงตอนอายุเพียงสิบห้าหนาวเท่านั้น
สวรรค์ลงโทษที่นางมิสนใจสืบเผ่าพันธุ์ตนเองในชาติที่แล้วหรืออย่างไร ไยจึงขีดเขียนโชคชะตาให้นางในชาตินี้ให้ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
“เดินดีดีท่านหยางเหวิน ภรรยาของท่านรออยู่”
“เจ้านั่นแหละส่งเสริมให้เขายกจอกสุราดื่มราวกับเป็นจอกบรรจุน้ำชา เจ้าช่างเป็นสหายที่ไร้จิตสำนึก เอาแต่สนุกและความรื่นเริงของตนเองอยู่ได้”
“ข้าเป็นสหายที่หวังดีต่างหาก ชิ เจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ ข้าหาได้บังคับหยางเหวินยกดื่ม”
“เจ้ารู้ดีก็ห้ามสิ ชิ ก็รู้อยู่ว่า อุ้บ....”
“เจ้าอย่าได้พูดมาก นู่น เจ้ามิเห็นหรือว่านางอยู่ในห้องนี้”
“เฮ้อ พวกเราพาเขาเดินไปส่งให้ภรรยาจัดการเถิด”
ซูเมิ่งได้ยินและเห็นว่าพวกเขาหยุดสนทนาต่อเพราะมีนางอยู่ เพียงเท่านั้นนางก็สามารถคาดเดาได้ว่าสามีนางผู้นี้เมามายอาจเป็นเพราะมิเต็มใจแต่งงานกับนางนั่นเอง
เฮ้อ ซูเมิงไม่เสียใจเลยสักนิดที่ได้รู้เช่นนั้น กลับกันนางรู้สึกดีใจยิ่งนักที่อย่างน้อยการแต่งงานในครั้งนี้เป็นเพียงการแต่งงานกันในนาม
เรื่องระหว่างชายหญิงที่นางมิรู้ความ เกรงว่าจะทำได้ไม่ดีจึงถูกปลดระวางความกังวลไปได้หลายส่วน
“ให้ข้าช่วยดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ได้สิ”
“ที่เหลือเป็นหน้าที่ของแม่นางซูแล้ว ข้าและหวงลู่ขอตัวก่อน ค่ำคืนนี้เขาเมามายไปเสียหน่อยถือว่าฝากดูแลด้วยนะ”
“เจ้าค่ะ”
พอเจ้าบ่าวผู้เมามายของนางถูกส่งต่อมาที่ร่างเล็กของนาง ซูเมิ่งยืนเซเล็กน้อยเพราะน้ำหนักของคนเมาแทบมากกว่านางเกือบเท่าตัว
หยางเหวินตัวอ่อนเปลี้ยดังนั้นนอกจากใบหน้าที่กำลังจุ่มอยู่ที่ซอกลำคอของซูเมิ่ง ร่างสูงทั้งร่างก็พาดมาบนตัวนางทั้งสิ้น
“หนักยิ่งนัก ท่านหยางเหวิน”
“อื้อ....”
เมาสินะ
ดังนั้นในฐานะภรรยาที่ดีซูเมิ่งจึงรวบแรงกายตนเองทั้งหมดแบก นางขอใช้คำว่าแบกร่างสามีหมาดๆ ผู้นี้ของนางไปนอนพักผ่อนที่เตียงนอนดีดี
“ฟู่ว ตัวหนักเป็นบ้า”
พอนางปลดคนตัวหนักออกจากบ่าตนเองได้จึงถอนหายใจออกมาอย่างแรง
เมื่อครู่ราวกับนางแบกก้อนหินปีนขึ้นเขา
เนื่องจากขนาดตัวนางและเขาแตกต่างกันมากมายเหลือเกิน
ซูเมิ่งยืนมองชายหนุ่มขี้เมาที่พอเจอกันครั้งแรกก็สร้างความประทับใจให้นางจดจำได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่านางประชด
แต่ก็นับเป็นเรื่องดีที่นางและสามีของนางจะมิต้องเผชิญหน้ากันในคืนเข้าหอวันนี้ให้อึดอัดใจ
แต่งงานโดยมิได้รักกัน....
แถมตระกูลเขาและนางยังเป็นศัตรูกัน
แม้ว่าซูเมิ่งจะมิได้มีความคิดดั่งเช่นคนในตระกูลของนางเลยก็ตาม
เนื่องจากนางจับคนเมานอนหงายดังนั้นเวลานี้ซูเมิ่งจึงสามารถทอดสายตาสำรวจใบหน้าของสามีที่เพิ่งเคยเห็นหน้ากันได้ชัดเจน
เขาหล่อมาก หรืออาจจะบอกได้ว่าหน้าตาของบุรุษผู้นี้ราวกับเป็นผลงานชิ้นเอกของสวรรค์
จมูกโด่งเป็นสัน โครงหน้าคมได้รูป ผิวพรรณนวลเนียนไม่แพ้สตรีใดแม้ว่าชายหนุ่มจะเป็นแม่ทัพออกสงครามเป็นประจำก็ตาม
น่าอิจฉายิ่งนัก
ผมสีดำสลวยยาวพาดปัดออกมาด้านหน้า ซูเมิ่งที่กำลังยืนชื่นชมความสวยงามตรงหน้ารู้สึกขัดใจยิ่ง ดังนั้นมือบางจึงเอื้อมออกไปหมายช่วยจัดทัดผมคนเมาให้เรียบร้อยกว่าเดิม
“อ๊ะ”
ทว่าใครจะไปคิดว่าคนเมาที่เปลือกตาปิดสนิทจะประสาทสัมผัสไวยิ่งนัก ดังนั้นข้อมือของซูเมิ่งจึงถูกคว้าหมับก่อนที่จะถึงกลุ่มผมยุ่งเหยิงของเขา
“....”
“....”
______________________________________________________________________________
เอาแล้ว จะป็นอย่างไรหนอเจอกันครั้งแรก
ตอนหน้าลุย ๆ
บทส่งท้ายและวันนั้นทั้งวันหยางเหวินโดนพ่อตาของตนเองลากไปไหนมาไหนด้วย เรียกได้ว่าตัวติดกันจนซูเมิ่งนึกสงสัยว่าหรือสามีของนางจะเป็นลูกชายที่หายสาบสูญไปอีกคนหนึ่งของบิดาตนเองซูเมิ่งทั้งวันไม่ไปนั่งพูดคุยกับญาติพี่น้องร่วมสายเลือดในจวนก็เข้าไปนั่งเล่นกับน้องชายสุดแสนน่ารักที่มีอายุเพียงสิบเอ็ดหนาวเท่านั้นจวบจนตอนค่ำยามซวี [1] นั่นแหละนางจึงมีโอกาสขอตัวกลับเรือนของตนเองที่ครอบครัวนางเตรียมเอาไว้ให้เรือนหลังนี้ใหญ่ไม่แพ้หลังไหนๆ ในจวน การตกแต่งแม้จะเรียบง่ายแต่ของใช้ทุกชิ้นล้วนเป็นของใหม่ยังมิเคยได้ใช้ เป็นวัสถดุเนื้อดีทั้งนั้นเรือนส่วนตัวสภาพดีขนาดนี้นี่เป็นครั้งแรกของนางเลยกระมังที่ได้รับการดูแลเช่นนี้“ยิ้มขนาดนั้น เจ้าชอบเรือนหลังนี้มากเลยหรือ”เสียงของหยางเหวินบุรุษที่วันนี้หายหน้าหายตาไปจากซูเมิ่งทั้งวัน พร้อมกับอ้อมกอดจากคนตัวโตสวมโอบนางจากข้างหลัง“เจ้าค่ะข้าชอบที่นี่ แต่มิใช่แค่เรือนหลังนี้ แต่เป็นทุกคนที่นี่ด้วย พวกเขาต้อนรับข้าอย่างดียิ่ง”“เช่นนั้นหากเรากลับแคว้นไปข้าให้คนสร้างจวนของพวกเราสองคนแยกออกมาดีหรือไม่ ข้าได้รับพระราชทานที่ดินทำเลดีมิหยอก ข้ายกให้เจ้า จะให้สร้างจวนห
บทที่ยี่สิบภรรยากับครอบครัวที่แท้จริงณ แคว้นหูอี๋ฉีจวนตระกูลโจวจวนหลักตั้งอยู่ที่เมืองหลวง ตระกูลโจวเป็นตระกูลแม่ทัพตั้งแต่รุ่นทวดลงมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน หากเปรียบเทียบกับแคว้นเย่ ตระกูลโจวก็เปรียบได้ดั่งตระกูลหยางดีที่เวลานี้สองแคว้นสงบศึกเปลี่ยนมาสมานฉันท์กันหลายปีแล้ว มิเช่นนั้นสองทายาทตระกูลแม่ทัพคงเคยพบเจอกันบ้างในสงครามระหว่างแคว้นแม้ว่ารุ่นลูกอาจไม่เคยฟาดฟันกันแต่สำหรับรุ่นพ่อนั้นไม่แน่ มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขตระกูลหยางกับประมุขตระกูลโจวแห่งสองแคว้นจะเคยปะทะฟาดฟันวัดฝีมือกันมาก่อนเวลานี้ฝ่ายซูเมิ่งรวมฝ่ายของพี่ชายและคนของสามีนางแยกย้ายจากขบวนสินค้าของตระกูลลู่มาระยะหนึ่งแล้วเป็นเพราะไปคนละทาง ตระกูลลู่ต้องการไปเมืองชายแดนเพื่อส่งสินค้า แต่พวกนางต้องการไปเมืองหลวงดังนั้นเวลานี้ซูเมิ่งจึงกำลังนั่งรถม้าคันของโจวเฉิงเค่ออยู่นั่นเองเห็นพี่ชายบอกว่าอีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามจะถึงจวนของเราพี่ชายใช้คำว่าของเราทำให้ซูเมิ่งรู้สึกซาบซึ้ง....ในที่สุดนางก็กำลังมีบ้านและครอบครัวเป็นของตนเองสักที“ถึงจวนตระกูลโจวแล้วขอรับคุณชาย”เนื่องจากในห้องโดยสารมีคนนั่งอยู่เพียงสองคนคือนางและพี่ชาย
บทที่สิบเก้าภรรยากับคำสารภาพ“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ขบวนของเราโชคดีได้หยุดพักที่สถานที่มิห่างไกลจากน้ำตกมากนัก คุณชายฝากถามว่าคุณหนูอยากชำระร่างกายหรือแช่น้ำหรือไม่เจ้าคะ เวลานี้ไม่มีคนใช้งานและเดี๋ยวให้คนไปกั้นเขตให้คุณหนูเจ้าค่ะ”“น้ำตกหรือ...อืม ก็ดีเหมือนกัน ข้าอยากแช่น้ำเย็นสักหน่อย มิได้อาบน้ำทุกวันดังเช่นปกติ รู้สึกเหนียวตัวยิ่งนัก”“เจ้าค่ะ เช่นนั้นเดี๋ยวบ่าวรีบไปเรียนคุณชายให้จัดกั้นพื้นที่ให้นะเจ้าคะ รอบ่าวสักครู่”“ได้ ขอบใจมากนะ”พอหลิ่นปินไปภายในกระโจมหลังน้อยก็เงียบลงทันตา ซูเมิ่งหันหลังกับไปเตรียมชุดและของใช้อาบน้ำที่จำเป็นด้วยตนเองที่ด้านหลัง เวลาผ่านไปไม่ถึงถ้วยน้ำชานางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในกระโจมนาง“กลับมาเร็วยิ่ง คุณชายว่าอย่างไรบะ บ้าง....อ้าว ท่านพี่! อุ้บ!”คนที่เดินเข้ามากลับไม่ใช่สาวใช้อย่างที่ซูเมิ่งคิด แต่เป็น หยางเหวิน บุรุษร่างสูงใหญ่ที่พอก้าวเท้าเข้ามาในกระโจมก็ดูคับแคบขึ้นมาทันตา ชายหนุ่มคงรู้ว่าซูเมิ่งไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายจึงก้าวเข้ามาประชิดตัวนางและใช้มือหนาปิดปากมิให้ส่งเสียงดังโวยวาย“อื้อ อ่านเอ้าอาไอ้อ่างไอ อ่อยอ้า!”“หากข้าปล่อยแล้วเจ้าจะเร
“นั่นเจ้าใช่หรือไม่ซูเมิ่ง เป็นเจ้า!” เสียงของหยางเหวิน บุรุษที่นางเคยรู้สึกปลอดภัยยามได้ยินเสียง ทว่าบัดนี้มิใช่อีกต่อไปแล้ว....“ข้าเอง พวกท่านกำลังทำสิ่งใด อย่าทำร้ายพวกเขานะ”ซูเมิ่งโดนจับได้นางจึงวิ่งออกไปขวางมิให้คนของหวางเหวินทำร้ายหรือมาต่อสู้กับคนของลู่เจ๋อทีแรกบุรุษทั้งสามเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีที่ตามหามาหลายวันก็พากันดีใจ รอยยิ้มปรากฏบนหน้าไปตามๆ กัน ทว่าพอเห็นนางวิ่งเข้ามาไม่เกรงกลัวอันตรายหรือลูกหลงท่ามกลางการต่อสู้ก็ตกใจ หัวใจหล่นไปที่ตาตุ่มกันหมด“พวกเจ้าหยุดลงมือ!”คนของฝ่ายหยางเหวินหยุดต้อนผู้คุ้มของขบวนสินค้าทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้านาย ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็เพียงได้รับคำสั่งให้ต้อนพวกนี้ให้จนมุมยอมศิโรราบเท่านั้นก็ตามซูเมิ่งบัดนี้ยืนอยู่กลางทางระหว่างขบวนสินค้าตระกูลลู่กับฝ่ายของพี่ชายและสามีนาง“น้องน้อยเจ้าอย่าเพิ่งวิ่งไปทั่วสิ มันอันตราย” เสียงของโจวเฉิงเค่อเต็มไปด้วยความวิตกกังวล นางมองเห็นบนใบหน้าของชายหนุ่มนั้นมีเหงื่อ แววตาดูตื่นตระหนกเกรงว่านางจะได้รับอันตรายจริงอย่างที่พี่ชายเอ่ย“แม่นางซูทางนั้นอันตรายเข้ามาหลบพักในรถม้าก่อนเถิด”ลู่เจ๋อและผู้คุ้มกันของเข
บทที่สิบแปดภรรยามิยอมอีกต่อไปแล้ว“ทำไมเจ้ามิตามนางไปด้วย ปล่อยให้นางซึ่งเป็นสตรีปีนขึ้นรถม้าขบวนพวกพ่อค้าจิตใจเจ้าเล่ห์แสนกลไปได้เยี่ยงไร”“ขะ ข้าน้อยคิดไม่ทัน คุณหนูบอกมิให้ข้าตามไป บอกให้ข้ามาส่งข่าวท่านว่าให้ตามนางได้ที่ขบวนสินค้าตระกูลลู่ขอรับ”“เจ้าเป็นคนที่แคว้นนี้มิใช่รึ รู้จักหรือไม่ตระกูลพ่อค้าลู่”“รู้แล้วอย่างไร ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยรึ”“เหอะ”“เหอะ”โจวเฉิงเค่อและหยางเหวินทะเลาะกันอีกหนหากมีช่องว่างโอกาสให้แขวะใส่กันเวลานี้ขบวนรถม้าของทั้งโจวเฉิงเค่อและขบวนม้าของหยางเหวินเดินทางออกจากเมืองหลวงมาได้หลายชั่วยามแล้ว เดินทางติดต่อกันยาวนานระยะหนึ่งจนต้องหยุดพักให้ม้าพักกินอาหารกินน้ำก่อนส่วนคนที่เหลือก็มาดูแผนที่วางแผนหาทางตามหาขบวนขนสินค้าตระกูลลู่ตามเบาะแสที่ซูเมิ่งทิ้งไว้ให้“คนม้าของเรายังสืบมิได้ความอีกรึ ป่านนี้ยังมิมีใครมาถึงอีก” หยางเหวินเดินออกมาจากกระโจมอีกฝ่ายหลังจากรำคาญทั้งหน้าและน้ำเสียงจนทนไม่ไหวตัดสินใจเดินกับมาหาเบาะแสจากคนของตนดีกว่าพอยิ่งได้รู้ว่าซูเมิ่งไปกับตระกูลลู่ตระกูลที่เขาเคยให้คนไปสืบประวัติมาเพราะเขาเคยเห็นอีกฝ่ายทักทายเอ่ยสนทนาอย่างสนิทสนสน
“คุณหนูเจ้าคะ มิทราบว่าคุณหนูคิดถึงสิ่งใดอยู่ มีเรื่องใดเป็นกังวลหรือไม่ ระ....หรือบ่าวรับใช้ไม่ดีพอเจ้าคะ”“หะ หา เรียกข้าหรือ”“บ่าวดูแลไม่ดีตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ บอกให้บ่าวปรับปรุงแก้ไขได้หมดนะ ตะ แต่อย่าไล่บ่าวออกเลย”“ข้าจะไปไล่เจ้าได้ย่างไร ลุกขึ้นก่อน”ซูเมิ่งตื่นจากภวังค์ของตนเองมาก็เพราะตกใจที่อยู่ดีดีสาวใช้ที่ลู่เจ๋อส่งมาคอยช่วยอำนวยความสะดวกนางลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น บนดวงตากลมโตของนางมีน้ำตาเอ่อคลอราวกับกลัวว่าซูเมิ่งจะลงโทษเสียอย่างนั้น“ข้ามิได้ไม่พอใจเรื่องใด เพียงคิดถึงเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น”“คิดถึงครอบครัวที่เมืองหลวงหรือเจ้าคะ”“อืม....” ซูเมิ่งหยุดคิดจากคำเรียกของอีกฝ่าย “มิรู้ว่าข้าสามารถเรียกพวกเขาว่าครอบครัวได้หรือไม่”เพราะคนที่เมื่อสักครู่ซูเมิ่งเผลอคิดถึงคือหยางเหวินน่ะสิ...มิใช่พี่ชายสายเลือดเดียวกันอย่างโจวเฉิงเค่อซูเมิ่งรู้สึกเหมือนนางทิ้งสิ่งสำคัญบางอย่างไป มันทำให้ในหัวใจนางรู้สึกเหมือนโดนคนขโมยเฉือนเนื้อบางส่วนทิ้งไประยะเวลาผ่านมาไม่กี่เดือนกับการอยู่ร่วมกันกับหยางเหวินในฐานะสามีภรรยามันช่างดูยาวนาน มีหลายครั้งที่นางเผลอผูกพันกับชายหนุ่ม