ส่วนทางฝ่ายซูเมิ่งที่พอเดินออกห่างจากศาลากลางน้ำมาไม่ถึงสิบก้าว จากที่เป็นสตรีตัวน้อยผู้น่าสงสารก็ผันเปลี่ยนท่าทาง ปลดมือที่ปิดหน้าลง รอยยิ้มบนใบหน้าเผยออกมาราวกับคนอารมณ์แจ่มใสมากกว่าสตรีที่โดนสามีทิ้ง
จิวซือที่บนหน้าตนเองยังมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่เดินตามจ้องมองเจ้านายตนเองตาปริบๆ จนเดินกันถึงเรือนหลังเล็กที่โดนแม่สามีสั่งให้ย้ายมาอยู่ที่นี่แทนเรือนหลังใหญ่ของลูกชายตนเองตั้งแต่เช้าจิวซือก็ยังตามอารมณ์เจ้านายตนเองไม่ทัน
“อะ เอ่อ ฮูหยินของบ่าวยิ้มได้แล้วหรือเจ้าคะ”
“หืม....คิก จิวซือเจ้าสมองช้ายิ่งนัก ตามข้ามาข้างในห้องก่อนเดี๋ยวข้าแถลงไขให้สมองน้อยๆ ของเจ้าเอง”
“จะ เจ้าค่ะ”
“ปิดประตูลงกลอนด้วย”
“หืม เอ่อ แต่นี่ยังเช้าตรู่อยู่เลยนะเจ้าคะ”
“เถอะน่า”
“เจ้าค่ะ”
จิวซือมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามานางคิดว่าคุณหนูของนางอาจเสียใจจนผีเข้าผีออก สับเปลี่ยนอารมณ์จนนางตามไม่ทันเสียแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรจิวซือก็จะอยู่รับใช้เจ้านายผู้นี้ของนางจนกว่าชีวิตน้อยนี้จะหาไม่แน่นอน
ฝ่ายซูเมิ่งพอบ่าวของตนเองเดินเข้ามานั่งรอรับคำสั่งของตนเองอย่างตั้งใจ หญิงสาวก็รีบชี้แจงตามแผนการที่สมองอันน้อยนิดนี้คิดออกมาได้ในเวลานี้
“เจ้ารักข้าหรือไม่จิวซือ”
“หะ หา ฮูหยินไยท่านถามเช่นนั้น ข้าน้อยรักและบูชาท่านยิ่งกว่าชีวิตของข้าน้อยอยู่แล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยมิคิดลืมบุญคุณที่มารดาของฮูหยินเก็บขอทานอย่างข้าน้อยและแม่มาชุบเลี้ยงเจ้าค่ะ”
ไม่เพียงพรรณนาถึงความภักดียิ่งชีพของตน จิวซือโถมตัวลงไปกอดขาเจ้านายสาวของตนเองอย่างหวั่นวิตกเกรงว่าอีกฝ่ายจะคิดสั้นขึ้นมา
“ใจเย็นก่อนจิวซือ ข้าเพียงต้องการสอบถามความสมัครใจของเจ้าเท่านั้น....เฮ้อ พูดกันตามตรงคือ สิ่งที่ข้าจะทำต่อจากนี้ค่อนข้าง....เข้าใจยาก ถ้ามิอาจบอกเหตุผลให้เจ้าได้ ขอเพียงเจ้าเชื่อใจข้าและทำตามก็เพียงพอ”
“มิว่าเป็นสิ่งใดบ่าวจะทำตามคำสั่งคุณหนูทุกอย่างเจ้าค่ะ”
ซูเมิ่งมองดูสายตามุ่งมั่นของอีกฝ่ายก็ยิ่งสบายใจ
“นับจากนี้ข้าจะเสมือนเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนหลังนี้ หากมิมีเรื่องสำคัญใดจริงๆ เจ้าจงห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาในเรือนของเราได้
ส่วนอาหารสามมื้อเจ้านำสำรับเข้ามาให้ข้าในเรือนอย่าได้ขาด หากใครขานเรียกเจ้าก็แสร้งปลอมน้ำเสียงเป็นข้า
จิวซือ เจ้าทำสิ่งเหล่านี้เพื่อข้าได้หรือไม่”“ดะ ได้เจ้าค่ะ แต่ว่า....ไยฮูหยินจึงเอ่ยราวกับ....ท่านจะมิอยู่ที่เรือนเสียอย่างนั้น”
“ถูกต้อง ที่เจ้าพูดมามิผิด แต่ก็มิถูกเสียทีเดียว”
“คุ คุณนะ....ฮูหยิน มิได้นะเจ้าคะ หะ....”
“ไหนเจ้าบอกว่าจะทำตามที่ข้าสั่งอย่างไรเล่าจิวซือ”
“ตะ แต่....”
“ไม่มีแต่ จากนี้ไปข้าจะแอบออกไปข้างนอกบ่อยหน่อย แต่เรื่องที่ข้าออกไปข้างนอกจะต้องเป็นความลับมิสามารถให้ผู้ใดจับได้เด็ดขาด!”
หลายวันถัดมา
ณ เรือนน้ำชาในหอขายอาหารจวี๋ฮวาที่ซูเมิ่งในอาภรณ์แปลกตา บนใบหน้ากว่าครึ่งถูกปกปิดด้วยผ้าโปร่งแสง
ที่เอ่ยว่าอาภรณ์แปลกตาคือปกติแล้วซูเมิ่งมักสวมใส่ชุดที่ตัดด้วยผ้าสีกลีบดอกบัว ปักทอด้วยลายดอกไม้ดูเรียบร้อยอ่อนหวานดั่งที่สาวใช้ของนางได้รับชุดมาจากเรือนใหญ่
ทว่าหลายวันมานี้ตั้งแต่ซูเมิ่งสามารถหาหนทางออกจากจวนตระกูลหยางโดยที่มิทำให้ผู้ใดรู้ได้แล้วนางผลัดเปลี่ยนเป็นชุดสีเข้มดูโตเป็นผู้ใหญ่เกินวัยที่แท้จริงของนาง
นัยน์ตาสีเข้มวาววับยามนั่งฟังบทสนทนาของผู้คนที่แวะเวียนกันมาดื่มกินน้ำชาในร้านแห่งนี้ไม่ขาดสาย
เรือนน้ำชาในหอขายอาหารจวี๋ฮวาแม้ว่ามิใช่โรงน้ำชาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงทว่านับเป็นแหล่งข่าวชั้นดีหมุนเวียนสดใหม่ทุกวัน เพราะที่แห่งนี้นับเป็นสถานที่รวมตัวของนักเดินทางจากทั่วทุกดินแดนที่เดินทางผ่านเข้ามาในเมืองหลวง
ดังนั้นซูเมิ่งจึงมีสิ่งที่ต้องทำเป็นกิจวัตรประจำวันของนางซึ่งก็คือการเอาตัวเองมานั่งจุ่มอยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าบางวันจรดเย็นเพื่อฟังข่าวความเป็นไปของคนที่นี่และคนนอกเมืองหลวง
หากให้เปรียบเทียบกับมิติเก่าของนาง การที่นางเอาเวลาตนเองมาทิ้งไว้ที่นี่ก็เหมือนการเปิดอินเทอร์เน็ตหรือเปิดโทรทัศน์ดูข่าว อัพเดทเทรนด์ของโลกนั่นเอง
สามวันแล้วที่นางทำเช่นนี้
ชั้นล่างของเรือนน้ำชาแห่งนี้เปิดให้ลูกค้าเข้ามาดื่มน้ำชาและพูดคุยกัน เรียกได้ว่าไม่ว่าใครมาจากไหน รู้จักหรือไม่รู้จักกันก็สามารถนั่งร่วมโต๊ะกันได้
“พี่ชายผู้มาใหม่ท่านนี้เป็นใครมาจากไหนหรือ พอบอกนามได้หรือไม่ พอดีว่าข้ามาดื่มชาที่นี่ประจำแต่มิเคยเห็นหน้าท่านมาก่อนเลยสักครั้ง”
คนมาใหม่โดนทักทายอย่างเป็นมิตรตั้งแต่ก้นเพิ่งนั่งลงบนเก้าอี้
“ข้านามว่าซิ่นเฉิง เป็นคนของตระกูลลู่”
“ตระกูลลู่หรือ ตระกูลลู่ที่เมืองหลวงมีหลายตระกูลยิ่งนักมิทราบว่าตระกูลเจ้านายของท่านเป็นลู่ใดหรือ”
“ตระกูลลู่เจ้าของโรงรับจำนำที่มีสาขามากที่สุดในแคว้นเย่ ที่เมืองหลวงแห่งนี้ผู้คนจะรู้จักพวกเรากันในนามของโรงรับจำนำลู่เหลียน”
“อ้อ ข้านี่ตาต่ำจริง พี่ชายแม้เป็นลูกน้องยังแต่งตัวดีขนาดนี้ข้านี่คิดถึงตระกูลลู่อื่นได้เยี่ยงไร” ท่าทีคนพูดเปลี่ยนทันทีที่รู้ว่าตนเองกำลังคุยกับผู้ใด
โรงรับจำนำลู่เหลียนในเมืองหลวงแห่งนี้มีใครบ้างไม่รู้จัก มิใช่สิเอ่ยได้เลยว่ายังมีใครยังมิเคยไปใช้บริการอีกหรือ
นอกจากความหรูหราและความกว้างขว้างของโรงรับจำนำแห่งนี้แล้ว สถานที่แห่งนี้นับเป็นโรงรับจำนำที่เลื่องชื่อด้านความน่าเชื่อถือยิ่งนัก
แถมภายในมีรวงร้านในการปกครองอยู่หลายประเภท
เรียกได้ว่าหากเข้าไปในโรงรับจำนำลู่เหลียนแล้วกระหายน้ำก็สามารถแวะดื่มได้ที่โรงน้ำชาชั้นล่างสุด หากหิวข้าว เดินไปอีกนิดก็มีภัตตาคารร้านอาหารเปิดให้บริการอยู่
นับวันโรงรับจำนำแห่งนี้ยิ่งขยับขยายธุรกิจในเครือของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ
ลูกค้าจึงมีตั้งแต่ชาวบ้านทั่วไปยันคนมีฐานะร่ำรวยมาใช้บริการกันไม่ขาดสาย
“มิแปลกหรอกน้องชาย ข้ามิถือ”
“ว่าแต่พี่ซิ่นเฉิงไยข้ามิเคยเห็นหน้าค่าตาท่านมาก่อนเลยสักครั้ง หากพูดไปก็อาจหาว่าข้าขี้โม้ คนยิ่งใหญ่อย่างพวกท่านข้ามิมีทางพลาดโอกาสพบเห็นได้ แถมข้ายังรู้ว่าอีกว่าคนของตระกูลลู่นั้นเจอตัวได้ยากยิ่ง นอกจากหลงจู๊ของโรงรับจำนำลู่เหลียนแล้วก็หาโอกาสพบหน้าได้ยากเย็นนัก”
“นี่ก็มิใช่เรื่องแปลกเพราะตระกูลลู่นับเป็นตระกูลพ่อค้าที่ยิ่งใหญ่มิแพ้ผู้ใดในแคว้นเย่ แต่เจ้านายของข้ามิได้มีรกรากตั้งถิ่นฐานที่เมืองหลวง ที่นี่ก็เป็นเพียงหนึ่งในกิจการของตระกูลเจ้านายข้าที่นานๆ ทีจะเดินทางเข้ามาดูเท่านั้น”
“หืม ขอบคุณพี่ซิ่นเฉิงที่ให้ความกระจ่างแก่ข้าน้อย เช่นนั้นการที่ข้าพบท่านในวันนี้แสดงว่าเจ้านายของท่านเดินทางมาที่เมืองหลวงอย่างนั้นใช่หรือไม่ขอรับ”
“ถูกต้อง เจ้าฉลาดมิน้อย”
ในขณะที่สองบุรุษกำลังสนทนากันอย่างออกรสออกชาติโดยที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขาคุยกันทั้งหมดนั้นได้ไหลเข้าหูสตรีผู้หนึ่ง
ซูเมิ่งนั่งฟังเงียบเชียบอย่างเพลิดเพลินเช่นทุกที ทว่าหนนี้ในใจนางได้ยินกิตติมศักดิ์ของตระกูลการค้าผู้ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลลู่ก็อดไม่ได้ที่จะมีความคิดอยากทำการค้าด้วย
ทว่านั่นเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้วๆ ในเวลานี้
เพราะสิ่งที่นางมีอยู่ในมือตอนนี้ยังเล็กน้อยเกินไปหากเทียบกับพวกเขาที่ย่อมมีคู่ค้าจำนวนมากต้องการยื่นข้อเสนอร่วมทำการค้าด้วย
เฮ้อ
ซูเมิ่งมองไปบนท้องฟ้าเห็นดวงอาทิตย์เคลื่อนกลางศีรษะผู้คน อันแสดงได้ว่ายามนี้น่าจะถึงยามอู่ [1] อีกหน่อยที่เรือนน้ำชาแห่งนี้คงเต็มไปด้วยลูกค้ามากินอาหารมื้อกลางวันซึ่งมันจะเยอะมาก เสียงสนทนาจะตีกัน นางฟังไม่รู้เรื่องแน่นอนดังนั้นซูเมิ่งจึงตัดสินใจลุกออกจากที่นั่งตนเองและเดินออกจากร้านไป
[1] ยามอู่ คือ 11.00 - 12.59 น.
____________________________________________________________
ช่วงนี้เรื่องจะดำเนินไปช้านิดนึงเพื่อป๔สู่ความยิ่งใหญ่ของน้อง
แต่ไรท์รับรองไม่เกินสองบทค่ะ น้องจะร่ำรวยไม่ต้องง้อใครเยยยยยยยย
บทส่งท้ายและวันนั้นทั้งวันหยางเหวินโดนพ่อตาของตนเองลากไปไหนมาไหนด้วย เรียกได้ว่าตัวติดกันจนซูเมิ่งนึกสงสัยว่าหรือสามีของนางจะเป็นลูกชายที่หายสาบสูญไปอีกคนหนึ่งของบิดาตนเองซูเมิ่งทั้งวันไม่ไปนั่งพูดคุยกับญาติพี่น้องร่วมสายเลือดในจวนก็เข้าไปนั่งเล่นกับน้องชายสุดแสนน่ารักที่มีอายุเพียงสิบเอ็ดหนาวเท่านั้นจวบจนตอนค่ำยามซวี [1] นั่นแหละนางจึงมีโอกาสขอตัวกลับเรือนของตนเองที่ครอบครัวนางเตรียมเอาไว้ให้เรือนหลังนี้ใหญ่ไม่แพ้หลังไหนๆ ในจวน การตกแต่งแม้จะเรียบง่ายแต่ของใช้ทุกชิ้นล้วนเป็นของใหม่ยังมิเคยได้ใช้ เป็นวัสถดุเนื้อดีทั้งนั้นเรือนส่วนตัวสภาพดีขนาดนี้นี่เป็นครั้งแรกของนางเลยกระมังที่ได้รับการดูแลเช่นนี้“ยิ้มขนาดนั้น เจ้าชอบเรือนหลังนี้มากเลยหรือ”เสียงของหยางเหวินบุรุษที่วันนี้หายหน้าหายตาไปจากซูเมิ่งทั้งวัน พร้อมกับอ้อมกอดจากคนตัวโตสวมโอบนางจากข้างหลัง“เจ้าค่ะข้าชอบที่นี่ แต่มิใช่แค่เรือนหลังนี้ แต่เป็นทุกคนที่นี่ด้วย พวกเขาต้อนรับข้าอย่างดียิ่ง”“เช่นนั้นหากเรากลับแคว้นไปข้าให้คนสร้างจวนของพวกเราสองคนแยกออกมาดีหรือไม่ ข้าได้รับพระราชทานที่ดินทำเลดีมิหยอก ข้ายกให้เจ้า จะให้สร้างจวนห
บทที่ยี่สิบภรรยากับครอบครัวที่แท้จริงณ แคว้นหูอี๋ฉีจวนตระกูลโจวจวนหลักตั้งอยู่ที่เมืองหลวง ตระกูลโจวเป็นตระกูลแม่ทัพตั้งแต่รุ่นทวดลงมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน หากเปรียบเทียบกับแคว้นเย่ ตระกูลโจวก็เปรียบได้ดั่งตระกูลหยางดีที่เวลานี้สองแคว้นสงบศึกเปลี่ยนมาสมานฉันท์กันหลายปีแล้ว มิเช่นนั้นสองทายาทตระกูลแม่ทัพคงเคยพบเจอกันบ้างในสงครามระหว่างแคว้นแม้ว่ารุ่นลูกอาจไม่เคยฟาดฟันกันแต่สำหรับรุ่นพ่อนั้นไม่แน่ มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขตระกูลหยางกับประมุขตระกูลโจวแห่งสองแคว้นจะเคยปะทะฟาดฟันวัดฝีมือกันมาก่อนเวลานี้ฝ่ายซูเมิ่งรวมฝ่ายของพี่ชายและคนของสามีนางแยกย้ายจากขบวนสินค้าของตระกูลลู่มาระยะหนึ่งแล้วเป็นเพราะไปคนละทาง ตระกูลลู่ต้องการไปเมืองชายแดนเพื่อส่งสินค้า แต่พวกนางต้องการไปเมืองหลวงดังนั้นเวลานี้ซูเมิ่งจึงกำลังนั่งรถม้าคันของโจวเฉิงเค่ออยู่นั่นเองเห็นพี่ชายบอกว่าอีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามจะถึงจวนของเราพี่ชายใช้คำว่าของเราทำให้ซูเมิ่งรู้สึกซาบซึ้ง....ในที่สุดนางก็กำลังมีบ้านและครอบครัวเป็นของตนเองสักที“ถึงจวนตระกูลโจวแล้วขอรับคุณชาย”เนื่องจากในห้องโดยสารมีคนนั่งอยู่เพียงสองคนคือนางและพี่ชาย
บทที่สิบเก้าภรรยากับคำสารภาพ“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ขบวนของเราโชคดีได้หยุดพักที่สถานที่มิห่างไกลจากน้ำตกมากนัก คุณชายฝากถามว่าคุณหนูอยากชำระร่างกายหรือแช่น้ำหรือไม่เจ้าคะ เวลานี้ไม่มีคนใช้งานและเดี๋ยวให้คนไปกั้นเขตให้คุณหนูเจ้าค่ะ”“น้ำตกหรือ...อืม ก็ดีเหมือนกัน ข้าอยากแช่น้ำเย็นสักหน่อย มิได้อาบน้ำทุกวันดังเช่นปกติ รู้สึกเหนียวตัวยิ่งนัก”“เจ้าค่ะ เช่นนั้นเดี๋ยวบ่าวรีบไปเรียนคุณชายให้จัดกั้นพื้นที่ให้นะเจ้าคะ รอบ่าวสักครู่”“ได้ ขอบใจมากนะ”พอหลิ่นปินไปภายในกระโจมหลังน้อยก็เงียบลงทันตา ซูเมิ่งหันหลังกับไปเตรียมชุดและของใช้อาบน้ำที่จำเป็นด้วยตนเองที่ด้านหลัง เวลาผ่านไปไม่ถึงถ้วยน้ำชานางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในกระโจมนาง“กลับมาเร็วยิ่ง คุณชายว่าอย่างไรบะ บ้าง....อ้าว ท่านพี่! อุ้บ!”คนที่เดินเข้ามากลับไม่ใช่สาวใช้อย่างที่ซูเมิ่งคิด แต่เป็น หยางเหวิน บุรุษร่างสูงใหญ่ที่พอก้าวเท้าเข้ามาในกระโจมก็ดูคับแคบขึ้นมาทันตา ชายหนุ่มคงรู้ว่าซูเมิ่งไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายจึงก้าวเข้ามาประชิดตัวนางและใช้มือหนาปิดปากมิให้ส่งเสียงดังโวยวาย“อื้อ อ่านเอ้าอาไอ้อ่างไอ อ่อยอ้า!”“หากข้าปล่อยแล้วเจ้าจะเร
“นั่นเจ้าใช่หรือไม่ซูเมิ่ง เป็นเจ้า!” เสียงของหยางเหวิน บุรุษที่นางเคยรู้สึกปลอดภัยยามได้ยินเสียง ทว่าบัดนี้มิใช่อีกต่อไปแล้ว....“ข้าเอง พวกท่านกำลังทำสิ่งใด อย่าทำร้ายพวกเขานะ”ซูเมิ่งโดนจับได้นางจึงวิ่งออกไปขวางมิให้คนของหวางเหวินทำร้ายหรือมาต่อสู้กับคนของลู่เจ๋อทีแรกบุรุษทั้งสามเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีที่ตามหามาหลายวันก็พากันดีใจ รอยยิ้มปรากฏบนหน้าไปตามๆ กัน ทว่าพอเห็นนางวิ่งเข้ามาไม่เกรงกลัวอันตรายหรือลูกหลงท่ามกลางการต่อสู้ก็ตกใจ หัวใจหล่นไปที่ตาตุ่มกันหมด“พวกเจ้าหยุดลงมือ!”คนของฝ่ายหยางเหวินหยุดต้อนผู้คุ้มของขบวนสินค้าทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้านาย ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็เพียงได้รับคำสั่งให้ต้อนพวกนี้ให้จนมุมยอมศิโรราบเท่านั้นก็ตามซูเมิ่งบัดนี้ยืนอยู่กลางทางระหว่างขบวนสินค้าตระกูลลู่กับฝ่ายของพี่ชายและสามีนาง“น้องน้อยเจ้าอย่าเพิ่งวิ่งไปทั่วสิ มันอันตราย” เสียงของโจวเฉิงเค่อเต็มไปด้วยความวิตกกังวล นางมองเห็นบนใบหน้าของชายหนุ่มนั้นมีเหงื่อ แววตาดูตื่นตระหนกเกรงว่านางจะได้รับอันตรายจริงอย่างที่พี่ชายเอ่ย“แม่นางซูทางนั้นอันตรายเข้ามาหลบพักในรถม้าก่อนเถิด”ลู่เจ๋อและผู้คุ้มกันของเข
บทที่สิบแปดภรรยามิยอมอีกต่อไปแล้ว“ทำไมเจ้ามิตามนางไปด้วย ปล่อยให้นางซึ่งเป็นสตรีปีนขึ้นรถม้าขบวนพวกพ่อค้าจิตใจเจ้าเล่ห์แสนกลไปได้เยี่ยงไร”“ขะ ข้าน้อยคิดไม่ทัน คุณหนูบอกมิให้ข้าตามไป บอกให้ข้ามาส่งข่าวท่านว่าให้ตามนางได้ที่ขบวนสินค้าตระกูลลู่ขอรับ”“เจ้าเป็นคนที่แคว้นนี้มิใช่รึ รู้จักหรือไม่ตระกูลพ่อค้าลู่”“รู้แล้วอย่างไร ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยรึ”“เหอะ”“เหอะ”โจวเฉิงเค่อและหยางเหวินทะเลาะกันอีกหนหากมีช่องว่างโอกาสให้แขวะใส่กันเวลานี้ขบวนรถม้าของทั้งโจวเฉิงเค่อและขบวนม้าของหยางเหวินเดินทางออกจากเมืองหลวงมาได้หลายชั่วยามแล้ว เดินทางติดต่อกันยาวนานระยะหนึ่งจนต้องหยุดพักให้ม้าพักกินอาหารกินน้ำก่อนส่วนคนที่เหลือก็มาดูแผนที่วางแผนหาทางตามหาขบวนขนสินค้าตระกูลลู่ตามเบาะแสที่ซูเมิ่งทิ้งไว้ให้“คนม้าของเรายังสืบมิได้ความอีกรึ ป่านนี้ยังมิมีใครมาถึงอีก” หยางเหวินเดินออกมาจากกระโจมอีกฝ่ายหลังจากรำคาญทั้งหน้าและน้ำเสียงจนทนไม่ไหวตัดสินใจเดินกับมาหาเบาะแสจากคนของตนดีกว่าพอยิ่งได้รู้ว่าซูเมิ่งไปกับตระกูลลู่ตระกูลที่เขาเคยให้คนไปสืบประวัติมาเพราะเขาเคยเห็นอีกฝ่ายทักทายเอ่ยสนทนาอย่างสนิทสนสน
“คุณหนูเจ้าคะ มิทราบว่าคุณหนูคิดถึงสิ่งใดอยู่ มีเรื่องใดเป็นกังวลหรือไม่ ระ....หรือบ่าวรับใช้ไม่ดีพอเจ้าคะ”“หะ หา เรียกข้าหรือ”“บ่าวดูแลไม่ดีตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ บอกให้บ่าวปรับปรุงแก้ไขได้หมดนะ ตะ แต่อย่าไล่บ่าวออกเลย”“ข้าจะไปไล่เจ้าได้ย่างไร ลุกขึ้นก่อน”ซูเมิ่งตื่นจากภวังค์ของตนเองมาก็เพราะตกใจที่อยู่ดีดีสาวใช้ที่ลู่เจ๋อส่งมาคอยช่วยอำนวยความสะดวกนางลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น บนดวงตากลมโตของนางมีน้ำตาเอ่อคลอราวกับกลัวว่าซูเมิ่งจะลงโทษเสียอย่างนั้น“ข้ามิได้ไม่พอใจเรื่องใด เพียงคิดถึงเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น”“คิดถึงครอบครัวที่เมืองหลวงหรือเจ้าคะ”“อืม....” ซูเมิ่งหยุดคิดจากคำเรียกของอีกฝ่าย “มิรู้ว่าข้าสามารถเรียกพวกเขาว่าครอบครัวได้หรือไม่”เพราะคนที่เมื่อสักครู่ซูเมิ่งเผลอคิดถึงคือหยางเหวินน่ะสิ...มิใช่พี่ชายสายเลือดเดียวกันอย่างโจวเฉิงเค่อซูเมิ่งรู้สึกเหมือนนางทิ้งสิ่งสำคัญบางอย่างไป มันทำให้ในหัวใจนางรู้สึกเหมือนโดนคนขโมยเฉือนเนื้อบางส่วนทิ้งไประยะเวลาผ่านมาไม่กี่เดือนกับการอยู่ร่วมกันกับหยางเหวินในฐานะสามีภรรยามันช่างดูยาวนาน มีหลายครั้งที่นางเผลอผูกพันกับชายหนุ่ม