ซูลิ่วหลางมองออกไปด้านนอกด้วยสายตาที่ง่วงนอน“ท่านพี่ คนคนนั้นไปแล้วเหรอ”
“อืม เจ้าก็งีบอีกสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวพี่จะเฝ้ายามเอง”ซูหวั่นให้ซูลิ่วหลางนอนกับซูเหลียนเฉิง ขณะที่นางเฝ้ายามอยู่ด้านนอก
ภายนอกถ้ำมืดมิดและฝนตกกระหน่ำ
เสียงฟ้าร้องครืนๆ ดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด ฟังแล้วน่าหดหู่เป็นอย่างมาก
นางรู้ดีแก่ใจว่า ชายที่มาเมื่อสักครู่นั้นไม่ใช่เป็นคนที่จะรับมือได้ง่ายๆ เขาได้รับบาดเจ็บแต่ก็ยังไม่ให้ลิ่วหลางตะโกนร้องออกมา นั่นก็หมายความได้เพียงอย่างเดียวว่าเขากำลังถูกคนตามล่าอยู่อย่างแน่นอน
และในตอนนี้นางก็ได้แต่หวังว่า หยาดเม็ดฝนด้านนอกจะสามารถชะล้างร่องรอยของชายคนเมื่อสักครู่นี้ออกไปได้ เพื่อให้คนอีกกลุ่มตามมาไม่เจอเขา เพราะนางไม่อยากจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วย
โชคดีที่คืนนั้นไม่มีใครเข้ามาอีกแล้ว
ซูหวั่นนำหยกและเงินอัดใส่ไว้ในพื้นที่จินตนาการ จากนั้นก็เดินทางเข้าเมืองในตอนกลางคืนเพื่อซื้อยารักษาอาการบาดเจ็บที่ขา แล้วก็รีบกลับมาที่ถ้ำ
นางยื่นซาลาเปาเนื้อร้อนๆให้กับซูลิ่วหลาง“รีบกินเถอะ กินเสร็จเราก็จะกลับกันแล้ว”
“ท่านพี่ พี่ก็กินด้วยสิครับ”ซูลิ่วหลางกะพริบตาปริบๆ และแบ่งซาลาเปาให้ซูหวั่นครึ่งหนึ่ง
“ข้ากินมาแล้วล่ะ เจ้ากินเถอะนะ”ซูหวั่นหยุดชะงัก เมื่อเห็นว่าซูลิ่วหลางต้องการที่จะเก็บมันเอาไว้ให้พ่อและแม่ นางจึงรีบห้ามเอาไว้ทันที“พี่ได้เก็บไว้ให้ท่านพ่อและท่านแม่แล้ว อันนี้สำหรับเจ้า ไม่ต้องเก็บเอาไว้หรอกนะ”
ซาลาเปาเนื้อมีขนาดใหญ่เท่ากับกำปั้นของผู้ใหญ่ ซึ่งมันเพียงพอแล้วที่จะทำให้เด็กน้อยดื่มน้ำและอิ่มท้องได้
ถ้าแบ่งให้คนอื่นๆก็คงจะไม่อิ่มอย่างแน่นอน
ซูหวั่นจะไม่ยอมให้น้องชายของตัวเองต้องทนหิวอีกต่อไป นางคิดทบทวนแล้วว่า นางจะต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้ครอบครัวมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
และซูลิ่วหลางก็ไม่สงสัยแต่อย่างใด เขาหยิบซาลาเปาเนื้อและกินเข้าไปอย่างเต็มคำ รสชาติอร่อยมากจนแม้แต่ลิ้นก็ยังแยกไม่ออกแล้ว
ซูเหลียนเฉิงยังไม่ตื่นขึ้นมา ซูหวั่นจึงสัมผัสไปที่หน้าผากของเขา และทุกอย่างก็ดูเป็นปกติดี
อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสจริงๆ และหากไม่มีนางหรือเปลี่ยนเป็นหมอในยุคสมัยนี้นั้น ซูเหลียนเฉิงก็คงจะเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา
“อาหวั่น?”
ซูเหลียนเฉิงค่อยๆลืมตาขึ้นมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดง และมุมปากก็พูดขาวซีดไปหมด“นี่ข้ายังมีชีวิตอยู่งั้นรึ?”
“ท่านพ่อ ท่านพ่อรู้สึกยังไงบ้าง พ่อยังมีความรู้สึกที่ขาอยู่หรือเปล่าคะ?”
“เจ็บ”ซูเหลียนเฉิงอยากจะลุกขึ้นยืน แต่เขาไม่สามารถพยุงตัวได้เลย โดยทำได้เพียงนอนตะแคงแล้วมองดูสองพี่น้อง“ข้าใกล้จะตายแล้วใช่ไหม”
ซูหวั่นหยิบซาลาเปาและยื่นให้กับเขา“มีข้าอยู่ทั้งคน ท่านพ่อจะไม่เป็นอะไรหรอกนะ เมื่อวานมีท่านปู่ท่านหนึ่งได้เข้ามาในความฝันและสอนวิชาทางการแพทย์ให้กับข้า พร้อมกับบอกว่าหากรักษาดีๆขาของท่านพ่อก็จะกลับมายืนได้อีกครั้งนะคะ”
“ท่านปู่?เทพเจ้าน่ะเหรอ?”ซูเหลียนเฉิงยังคงรู้สึกสงสัยอยู่
ยุคสมัยนี้คืออาณาจักรเป่ยจิ้งที่ไม่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ แต่ศาสนาพุทธที่รุ่งเรืองมาก
และมันก็เป็นเรื่องง่ายที่ผู้คนจะเชื่อว่ามีเทพเจ้ามาเข้าฝันแบบนี้
ใบหน้าเล็กๆของซูหวั่นตึงเครียด“น่าจะนะ ท่านพ่อ ข้าอยากจะให้ท่านพ่อสัญญากับข้าสักหนึ่งเรื่องจะได้ไหม”
“เรื่องอะไร?”
ซูเหลียนเฉิงหยุดกินซาลาเปา และคิดที่จะเก็บไว้ให้นางหลี่ เมื่อเห็นว่าลูกสาวของตัวเองมีสีหน้าที่ตึงเครียด เขาก็รู้สึกมีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีขึ้นมา
“เดี๋ยวกลับไปท่านพ่อต้องเสนอให้มีการแยกครอบครัวออกมานะคะ!”เมื่อเห็นว่าซูเหลียนเฉิงมีสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ซูหวั่นจึงรีบพูดเสริมขึ้นมาอีกว่า“ท่านแม่ตั้งท้องแล้ว ขาของท่านพ่อก็เป็นแบบนี้อีก ท่านย่าคงไม่อยากจะเลี้ยงดูพวกเราหรอกนะ”
“ถึงตอนนั้นท่านแม่จะต้องทำงานหนักขึ้นอีกมาก ท่านพ่อ หากเป็นแบบนี้ต่อไปน้องสาวหรือน้องชายที่อยู่ในท้องของท่านแม่ยังจะอยู่รอดหรือเปล่า?”
“ต่อให้เจ้าจะไม่พูด ท่านย่าก็คงต้องพูดถึงการแยกครอบครัวแน่นอน ถึงเวลานั้นเจ้าก็แค่ตอบรับ และนำส่วนที่ควรจะเป็นของเรามาก็พอ”
ซูเหลียนเฉิงทั้งตกใจทั้งยินดี และก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาด้วย
เขารู้ว่าซูหวั่นในพูดความจริง แต่เขาก็รู้สึกปวดใจอยู่ดี เพราะซูหวั่นแค่อายุเท่าไหร่เอง มีเรื่องให้นางคิดมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ
เมื่อก่อนลูกสาวคนนี้ว่านอนสอนง่ายและไม่ชอบพูดสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เกรงว่าคงจะถูกแม่ของเขารังแกมาไม่น้อย และบีบให้นางไม่มีทางเลือกแบบนี้ได้
“แม่ของเจ้าตั้งท้องงั้นรึ?”
ซูหวั่นพยักหน้า และตั้งใจพูดเรื่องนี้ให้ดูจริงจัง นางต้องการอาศัยโอกาสนี้ในการบีบให้ซูเหลียนเฉิงได้ตัดสินใจ“ท่านพ่อ ต่อให้ท่านพ่อจะไม่คิดถึงตัวเอง ก็ต้องคิดถึงท่านแม่และน้องสาวน้องชายที่ยังไม่ลืมตาดูโลกนะคะ!”
ซูเหลียนเฉิงบีบกระดาษรองซาลาเปาเอาไว้แน่น“อาหวั่น หากจะทำเพื่อแม่ของเจ้าจริงๆ เราก็คงจะแยกครอบครัวออกมาไม่ได้หรอกนะ!”