“จื้อเออร์ ตื่นเถิดลูก ลูกนอนนานเกินไปแล้ว แม่จะขาดใจแล้วลูก ฮืออ”
ใคร ใครเป็นแม่ ใครเป็นลูกใคร ลู่จื้องงไปหมด ถ้าหากตอนนี้เธออยู่โรงพยาบาลแล้วแม่มาจากไหน เธอเป็นเด็กกำพร้า แม่บุญธรรมเสียไปตั้งนานแล้ว แล้วนี่แม่ไหน
เธอไม่ได้อยู่ในบ้านเด็กกำพร้า ทั้งยังไม่ใช่บ้านที่อยู่กับพ่อบุญธรรมอีกด้วย ลู่จื้อสับสนจนหัวแทบจะระเบิด ร่างกายก็ปวดร้าวจนอยากจะกรีดร้องออกมา เธออยากตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
“ท่านแม่ ท่านกินข้าวเสียหน่อย หากท่านเป็นอันใดน้องเล็กจะต้องเสียใจเป็นแน่”
เสียงของเด็กหนุ่มที่ พูดขึ้นมา ยิ่งทำให้ลู่จื้อมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก
น้องเล็กใคร ฉันเหรอ ฉันมีพี่ชายด้วยเหรอ นี่มันเรื่องบ้าอะไร ใครแอบอ้างเป็นญาติฉัน แล้วพูดจาแปลกๆ ทำไม หรือมีกองถ่ายที่โรงพยาบาล
ลู่จื้อพยายามลืมตา แต่มันลืมไม่ขึ้น เธออยากจะส่งสัญญาณให้พวกเขารู้ว่าเธอรับรู้แล้วยังไม่ตาย แต่เธอทำอะไรไม่ได้เลย
ระหว่างนั้นความทรงจำของทรงเดิมก็ทะลักเข้ามาในสมองจนเธอแทบจะอยากหมดสติไปอีกรอบ เพราะมันปวดหัวแทบจะระเบิดออกมา เมื่อสงบสติแล้วประมวลผลจึงรู้ว่าทำไมร่างเดิมถึงได้อาการหนักจนวิญญาณหลุดออกไปแล้วเป็นเธอที่เข้ามาแทน
จางลู่จื้อวัยสิบสี่หนาว อยู่ในหมู่บ้านหนานชุน เมืองเฉียงไห่ ห่างจากเมืองหลวงนับพันลี้ (1ลี้=500เมตร) อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้น
ครอบครัวจาง
1. จางเปียว ท่านปู่
2. ถังเซิน ท่านย่า
3. จางเสียน บุตรชายคนโต
4. เกาหง สะใภ้ใหญ่
5. จางหมิน บุตรชายคนรอง
6. จินหรู สะใภ้รอง
7. จางซู บุตรสาวคนเล็ก
8. จางหวง บุตรชายจางเสียน อายุ 17 ปี
9. จางเยว่ บุตรีจางเสียน อายุ 14 ปี
10. จางเจียง บุตรชายจางเสียน อายุ 10 ปี
11. จางลู่เพ่ย บุตรชายจางหมิน อายุ 16 ปี
12. จางลู่จื้อ บุตรีจางหมิน 14 ปี
ครอบครัวของนางนั้นเพิ่งแยกบ้านออกมา เพราะตัวลู่จื้อคนเดิมเจ็บป่วยบ่อย เมื่อก่อนพ่อของนางยังขึ้นเขาล่าสัตว์หาเงินเข้าบ้านใหญ่ได้ทำให้ป้าสะใภ้ใหญ่ยังไม่แสดงอิทธิฤทธิ์มากนัก
แต่ตอนนี้พ่อของนางช่วยเหลือนายพรานที่เข้าไปล่าสัตว์ด้วยกันจนขาเกือบจะพิการทำให้ไม่สามารถขึ้นเขาล่าสัตว์หรือทำนาได้อีก จึงทำให้ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่พอใจที่ต้องเลี้ยงดูทั้งครอบครัว เลยหาเรื่องอยู่ทุกวัน
ลุงใหญ่ที่เชื่อเมียทุกอย่างจึงคุยกับท่านปู่ท่านย่าให้บ้านรองแยกออกมา ท่านปู่ท่านย่าไม่ยินยอม สะใภ้ใหญ่เลยขู่จะขอแยกบ้านเอง แล้วจะมีบ้านไหนยอมให้ลูกชายคนโตแยกออกมา ท่านปู่ท่านย่าจึงจำใจต้องให้บ้านรองแยกออกมาแทน
เงินนั้นทั้งบ้านหลังจากรักษาขาพ่อของนางแล้วก็เหลือเพียงสามสิบตำลึงเงิน บ้านรองได้รับมาสิบตำลึง ที่นาทำกินมีสิบไร่ แบ่งให้บ้านรอง สี่ไร่ ก็ถือว่ายุติธรรม
ท่านย่ายังให้บ้านเดิมที่เป็นของพ่อแม่ตนกับบ้านรองอีกหลังแต่อยู่ค่อนข้างห่างไกลจากบ้านอื่น (พ่อแม่ของท่านย่ามีท่านย่าเป็นลูกคนเดียว บ้านหลังนั้นคือสินเดิมของท่านย่า)
บ้านมีเนื้อที่ห้าหมู่ ที่ป้าสะใภ้ยอมยกให้เพราะที่มันติดภูเขา เพาะปลูกก็ไม่ได้ นางจึงยอมแบบง่ายๆ
บ้านสามห้องนอน หนึ่งห้องโถง ห้องน้ำอยู่ด้านนอกบ้าน ตัวบ้านทรุดโทรมเป็นอย่างมากหากพายุเข้าคงหอบบ้านไปได้ทั้งหลังแน่ สหายของบิดายังมีน้ำใจช่วยซ่อมรั้วซ่อมหลังคาให้พออยู่ได้ไปก่อน
ตัวลู่จื้อคนก่อนที่ต้องนอนซม เพราะวันนั้นนางไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำ พบเจอกับจางเยว่ลูกของลุงใหญ่ จางเยว่ที่หน้าตาและนิสัยถอดแบบแม่เหมือนถ่ายเอกสารออกมาเลย ก็เข้ามารังแกลู่จื้อ
ลู่จื้อที่อ่อนแอ หวาดกลัวเป็นทุนเดิมก็พยายามหลีกเลี่ยงในขณะที่ลุกหนีนั้น จางเยว่ก็เข้ามาผลักจนนางตกลงไปในแม่น้ำ ลู่เพ่ยพี่ชายลู่จื้อที่มาตามน้องสาว กลับบ้านก็เห็นจึงช่วยไว้ได้ทัน
ถึงจะช่วยขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วแต่ด้วยร่างกายที่อ่อนแอ และอากาศที่หนาวเหน็บ นางจับไข้ถึงสามวัน แม้จะตามหมอมารักษา แต่หมอเท้าเปล่าในหมู่บ้านก็หมดปัญญาจะช่วยเหลือ ได้แค่เพียงให้กินยาต้มลดไข้เท่านั้น
ส่วนจางเยว่ก็หาได้สำนึกไม่ อาจจะหวาดกลัวช่วงแรก บ้านรองที่กำลังยื้อชีวิตลู่จื้อยังไม่มีเวลาไปสอบถาม จางเยว่จึงหมดความระแวง และมีเพียงตัวนาง ลู่เพ่ย ลู่จื้อเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
ลู่จื้อที่มาอยู่ในร่างนี้เมื่อประมวลเรื่องราวจนเข้าใจแล้ว ก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ ส่วนจางเยว่นางจะเอาคืนให้ร่างนี้อย่างสาสมแน่นอน
หลังจากที่ลู่จื้อมาอยู่ที่โลกใหม่ได้สองวัน ร่างกายนางก็ตอบสนองได้แล้ว แต่ยังไม่มีแรงที่จะลุกไปวิ่งทำอะไรเท่านั้น
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่มารดาและพี่ชายต่างเปลี่ยนกันเข้ามาดูแลนาง ในทุกวันมารดาจะป้อนน้ำแกงให้จึงทำให้ร่างกายนี้ไม่ได้ย่ำแย่นัก ลู่จื้อลืมตาบอกเพดานห้องที่ทั้งดำและเหมือนจะพังลงมา ด้วยความหดหู่
ผนังห้องนอนมีรอยซ่อม เครื่องเรือน อ่อ เรียกเครื่องเรือนได้ไหม เพราะมีเพียงเตียงไม้ไผ่ที่นางนอนอยู่ เก้าอี้ที่เอ่อ... มีสามขา ใช่มันมีสามขา และมีหีบเก่าๆ ถ้าให้นางเดาในนั้นต้องเอาไว้เก็บเสื้อผ้า ไม่น่าจะมีของมีค่าไปมากกว่านี้แล้ว
นางต้องทำให้ตัวเองลุกขึ้นแข็งแรงโดยเร็ว จะอยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว ถ้าวันดีคืนดีนอนอยู่แล้วหลังคาพังลงมา ครั้งนี้ได้ไปนรกสมใจแน่
“น้องเล็ก เจ้าฟื้นแล้ว” พี่ใหญ่ที่เงียบขรึมตามความทรงจำของร่างเดิม ตอนนี้เสียงสั่นน้ำตาคลอมองมาที่น้องสาวที่นอนอย่างเลื่อนลอยบนเตียง
นางเข้าใจได้นะพี่ชายเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง กลับต้องมาแบกรับทุกอย่าง ไหนจะดูแลท่านพ่อ แล้วมาคอยดูว่านางจะฟื้นยัง ต้องหาบน้ำ หาฟืน ขึ้นเขาหาของป่า สมุนไพร ไปขาย
“ทะ ท่านพี่ ขะ ข้า หิวน้ำ” กว่าจะพูดได้ เสียงก็เบาจนแทบจะฟังไม่รู้เรื่อง
ลู่เพ่ยรีบออกไปเอาน้ำมาให้น้องสาว นางชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นแก้วน้ำ (ได้ต้มน้ำไหม แล้วแก้วจะบาดปากหรือเปล่า เอาวะค่อยๆ ปรับไป) นางดื่มน้ำไปถึงสามแก้ว ลู่เพ่ยก็เอาข้าวต้มมาป้อนน้อง ยังดีที่ไม่ใช่น้ำข้าวเพียงอย่างเดียว
“น้องเล็กเจ้ากินยาแล้วนอนพัก เจ้าจะได้หายเร็วๆ” ลู่เพ่ยส่งยาให้ลู่จื้อพร้อมสายตาคาดหวังให้น้องกินลงไปเร็วๆ (ที่เขาว่ายาจีนมันขม มันขม ขมจริงๆ) กว่าจะหมดลู่จื้อแทบกัดลิ้นตาย
ยังดีที่ลู่เพ่ยยื่นน้ำมาป้อนให้นางจึงพอจะลดความขมของยาลงไปได้บ้าง
เมื่อทั้งสองพนันกันว่าหวังเหอรุ่ยจะตามมาหรือไม่ ลู่จื้อนางบอกว่าจะต้องตามมาในวันต่อไปเลย ส่วนโจวหรงเฉิงไม่คิดว่าจะตามมาด้วยคิดว่าคงกลัวคำขู่จองเขาอยู่บ้าง“เหอะ เจ้ามาจ่ายให้ข้าด้วย” โจวหรงเฉิงหันไปถลึงตามองหวังเหอรุ่ยที่รีบตามมาเร็วเกินไปจนเขาต้องเสียเงินให้เมียรักถึงหนึ่งพันตำลึงทอง“ดะ ได้ขอรับ ว่าแต่อาเยว่เล่านางอยู่ที่ใด”“หึ ข้าให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย หากอาเยว่เลิกสนใจในตัวเจ้า เจ้าต้องห้ามยุ่งกับนางอีก แล้วถ้าเจ้าทำให้อาเยว่นางเสียใจอีกครั้ง...” โจวหรงเฉิงมิได้บอกว่าจะจัดการหวังเหอรุ่ยเช่นไร แต่เขาปล่อยพลังปราณใส่ตัวของหวังเหอรุ่ยแม้จะอยู่ในขั้นจักรพรรดิ หวังเหอรุ่ยยังเจ็บจนต้องกลืนเลือดที่เกือบจะกระอักออกมาคืนกลับลงไป โจวหรงเฉิงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนตัวของหวังเหอรุ่ยจะเข้าไปอยู่ภายในมิติ“ท่านเก่งมากท่านพี่ คืนนี้ข้าจะมอบรางวัลให้ท่านดีหรือไม่” ลู่จื้อช้อนสายตามองเขาอย่างยั่วยวน“ตอนนี้เลยมิได้รึ” โจวหรงเฉิงอุ้มเมียรักกลับขึ้นห้องพักทันทีโดยไม่สนใจสายตาตกตะลึงของตนในโรงเตี๊ยมที่มองพวกเขาอย่างตกตะลึง ชาวบ้านเพียงแค่ได้ยินเรื่องผู้ฝึกตน แต่ไม่เคยพบเห็นกับตาเช่นนี้“เย่เยว่”
นางอุตส่าห์ได้ปิ่นที่หวังเหอรุ่ยทำขึ้นด้วยตนเองมาจากมารดาที่เอ่ยขอมาตั้งนาน ทั้งยังปักมาเพื่อให้เขาได้เห็น แต่ไม่คิดว่าจะมาเห็นภาพบาดตาเข้า“อาเยว่เจ้าเอาของมาให้ข้ารึ วางไว้เถิด ประเดี๋ยวจะให้บ่าวยกไปเก็บ” เขาไม่ได้มองใบหน้าที่ตกตะลึงของนางเลย“หลานสาวท่านพี่เคยเอ่ยเล่าใช่หรือไม่เจ้าคะ” สตรีใบหน้างามไม่น้อยหันมาส่งยิ้มหวานให้ฟานเยว่“ใช่ อาเยว่ นี่แม่นางฝูหลิน...”“ท่านจะแต่งนางเป็นภรรยาใช่หรือไม่เจ้าคะ” ฟานเยว่เอ่ยถามหวังเหอรุ่ยเสียงแข็ง“...” เขามิได้เอ่ยตอบนาง“ใช่แล้ว ต่อไปเจ้าก็ต้องเรียกข้าว่าท่านป้าสะใภ้” ฝูหลินยังคงยิ้มแย้มอย่างใจดีให้ฟานเยว่“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเวลาสำราญของท่านแล้ว ท่านลุง” ฟานเยว่ยิ้มอย่างเจ็บปวดให้เขา ก่อนจะหันหลังกลับออกจากจวนตระกูลหวังไป โดยไม่หันมามองหวังเหอรุ่ยอีกเลย“ท่านต้องทำเช่นนี้ด้วยรึใต้เท้าหวัง บุรุษทั่วเมืองหลวงล้วนแต่อยากจะพิชิตนางให้ได้ มีเพียงท่านที่นางปักใจ แต่กลับใจร้ายกับนางเช่นนี้” ฝูหลินเอ่ยตำหนิเขาออกมานางเป็นหญิงขับร้องในหอนางโลม มิใช่หญิงคณิกา รู้จักกับหวังเหอรุ่ยมาหลายปีแล้ว ที่นางไม่ยอมขายคืนแรกให้ผู้ใดก็รอเพียงแค่เขาเท่าน
ลู่จื้อเดินทางมาถึงเมืองหลวง ครอบครัวของนางที่เขียนจดหมายส่งข่าวให้รู้ก่อนหน้า ก็พากันออกมารอต้อนรับอย่างคับคั่ง“นั่น หลานสาวข้าใช่หรือไม่” จินหรูชี้นิ้วที่สั่นเทาไปทางฟานเยว่ที่โบกมืออยู่บนหลังม้าตัวเดียวกับผู้เป็นบิดา"ท่านยาย ท่านตา ฟานเยว่เจ้าค่ะ” นางลงจากหลังม้าได้ก็วิ่งเข้าไปหาจางหมินและจินหรู“รู้จักตากับยายด้วยรึ” จางหมินมองหลานสาวอย่างเอ็นดู“เจ้าค่ะ ท่านแม่เล่าเรื่องท่านตาท่านยายให้ข้าฟังทุกวันเลย โอ๊ะ...ท่านพ่อก็เล่าเรื่องท่านปู่กับท่านย่าด้วยเจ้าค่ะ” ฟานเยว่กลัวเสนาบดีโจวและฮูหยินโจวจะเสียใจจึงได้เอ่ยขึ้นมา“ฉลาดนักหลานสาวข้า” เสนาบดีโจวหัวเราะอย่างชอบใจ“ท่านลุงเพ่ย ท่านลุงหยาง พวกท่านมีน้องให้ข้ารึยัง” ใบหน้าของทุกคนแข็งค้างไป เมื่อฟานเยว่หันไปเอ่ยถามลู่เพ่ยและหลินตงหยางที่ออกมารอรับอยู่ด้วย“ฮ่า ฮ่า อาเยว่ เจ้าช่างปากร้ายเหมือนบิดาไม่มีผิด” เซียวซีซวนที่อุ้มบุตรสาวตัวน้อยของเขามาด้วยก็หัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ“กลับจวนกันก่อนเถิดขอรับ” โจวหรงเฉิงอุ้มฟานเยว่กลับมา เขาปิดปากน้อยๆ ของบุตรสาวไว้ไม่ได้ส่วนลู่จื้อเส้นเลือดที่ข้างขมับของนางเต้นไม่หยุด เจ้าบุตรสาวตัวแสบไม่รู้
โจวหรงเฉิงที่เห็นเช่นนั้นจึงได้ช้อนตัวนางลงมาอยู่ในสระน้ำ ความเจ็บเมื่อครู่ค่อยๆ จางหายไป เขาจึงกดลำทวนเข้าไปจนสุดลำ“ดีแล้วหรือยัง”“อืม...”“ให้ข้าขยับเลยหรือไม่” เขากระซิบถามที่ข้างหู“หากไม่ขยับก็เอาออกไปซะ” ลู่จื้อกัดฟันแน่น นางเริ่มจะหงุดหงิดบุรุษหน้าหนาเสียแล้ว“หึหึ” โจวหรงเฉิงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ ก่อนจะเริ่มขยับเอวเข้าออกอย่างช้าๆ แล้วเร็วขึ้นจนน้ำในสระกระเพื่อมออกไปนอกสระ“อ๊ะ...อ๊า” ลู่จื้อกัดปากแน่น เมื่อเขาเริ่มขยับเอวหนาเข้าออกอย่างไม่คิดจะผ่อนเลย“จื้อเออร์ ข้ามีความสุขยิ่งนัก” โจวหรงเฉิงเชิดหน้าขึ้นอย่างเสียวซ่าน ก่อนที่น้ำรักจะพุ่งเข้าสู่ช่องทางรักของลู่จื้ออย่างเต็มเปี่ยมแสงหลากหลายสีภายในสระบัวพุ่งวนอยู่รอบตัวของทั้งคู่ยามที่ทั้งคู่เสร็จสมจากการร่วมรักลู่จื้อและโจวหรงเฉิงมองไปรอบๆ อย่างไม่เข้าใจ เพียงครู่เดียวร่างกายของทั้งสองก็ราวกับจะปริแตก เมื่อพลังปราณในร่างกายต่างวิ่งวนอย่างสับสน“อื้อ...” ลู่จื้อร้องออกมาเสียงเบา โจวหรงเฉิงเม้มปากแน่น กอดลู่จื้อที่ร่างยังผสานกันอยู่แน่นขึ้นความเจ็บปวดเกิดไม่นาน สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือดวงตาของทั้งสองเปล่งประกายไปด้วยสีทองอร
หากจะถามว่าเรื่องของลู่เพ่ยและหลินตงหยางเกิดขึ้นเมื่อใด ก็คงตั้งแต่ที่เขาเดินทางมาที่เมืองหลวง ตอนที่หลินตงหยางมักจะเข้ามาอยู่ในมิติเพื่อเดินลมปราณ ลู่เพ่ยที่ได้เข้าไปช่วยดูแล ทำให้ทั้งสองรู้ใจตนเอง หลังจากนั้นก็ลอบนัดพบกันโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้เห็นแม้แต่ลอบเข้ามาในจวนยามค่ำคืนหลินตงหยางก็ทำมาแล้ว และดูเหมือนว่าจะบ่อยครั้งกว่าที่โจวหรงเฉิงได้พบลู่จื้อในมิติเสียอีก“เชื่อข้าพี่เพ่ย ท่านต้องรักตนเอง อย่าสนใจสายตาของผู้ใด หากท่านเลือกแล้วว่าเป็นแม่ทัพหลิน ท่านเป็นถึงผู้ฝึกตนจะมีใครกล้าว่าท่านใด”“อืม...เข้าใจแล้ว” เขายิ้มกว้างออกมา เหมือนว่าเรื่องหนักอกได้ถูกยกออกไปแล้วหลินตงหยางเป็นคนที่ไม่สนสายตาของผู้ใดอยู่แล้ว เขาต้องการจะบอกเรื่องนี้กับสหายหลายครั้ง แต่ก็ถูกลู่เพ่ยขอร้องเอาไว้ตลอดเกี้ยวแปดคนหามเคลื่อนตัวไปที่จวนตระกูลโจวหลังใหม่ ด้านหน้าเกี้ยวมีเสี่ยวเฮยที่คืนร่างเดิม เดินนำหน้าอยู่อย่างน่าเกรงขามเมื่อเกี้ยวหยุดลง โจวหรงเฉิงก็เดินเข้ามาอุ้มตัวเจ้าสาวลงไม่ยอมให้นางได้เดิน ชาวเมืองได้แต่ชะเง้อคอมองด้วยอยากรู้ว่าสตรีที่อยู่ในอ้อมแขนของโจวหรงเฉิงงามมากเพียงใด เขาถึงไม่กล้าให้เท้าของนาง
เสนาบดีโจวตัวเขามีสามภรรยา สี่อนุ เช่นบุรุษส่วนมากในเมืองหลวง ที่โจวหรงเฉิงเอ่ยถามก็เพียงสงสัยว่าเขาสามารถตัดใจจากเมียรักทั้งหมดได้รึ“เหอะ ข้าไม่เป็นแล้วก็ได้” เขาแค่นเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ภรรยาทุกคนของเขาล้วนแต่มีบุตร หากให้ทิ้งขว้างพวกนางก็ดูจะไร้คุณธรรมเกินไป“ท่านไม่ต้องห่วงว่าจะมีเมียเพิ่มไม่ได้นะเจ้าคะ ข้าจะมอบน้ำพุจิตวิญญาณไว้ให้ท่านสักสองโอ่ง” ลู่จื้อชูนิ้วขึ้นมาด้วยสองพ่อลูกหันมาถลึงตามองลู่จื้อกันใหญ่ พร้อมทั้งเสียงหัวเราะของฮูหยินโจวที่ลู่จื้อพูดได้ถูกใจนางเสียจริงทั้งหมดแยกย้ายกลับไปที่จวนเพื่อจัดการเก็บข้าวของที่นำมาด้วยไม่น้อยเลย ลู่จื้อบอกกล่าวบิดาเรื่องที่นางจะเดินทางเที่ยวไปทั่วแคว้นจางหมินจึงต้องหาซื้อที่ดินในเมืองหลวงเพื่อปลูกผัก โดยมีเซียวซีซวนให้การช่วยเหลือ มันคือผลประโยชน์ของเขาทั้งสิ้นลู่จื้อบอกเรื่องจะทิ้งน้ำพุจิตวิญญาณไว้ที่จวนให้มากเสียหน่อย เพื่อให้เขาผสมน้ำใช้รดผักที่ปลูก ส่วนผลไม้ ก็จะมีวางขายเพียงแค่ไม่กี่อย่างแทนแต่สิ่งที่ลู่จื้อนึกไม่ถึงคือ เสนาบดีโจวหลังจากที่กลับไปวันนั้น เขาก็เรียกภรรยาและบุตรทั้งหมดมาพบ ก่อนจะจัดการแบ่งทรัพย์สินที่มีให้ท