ลู่เพ่ยห่มผ้าให้ลู่จื้อเสร็จแล้วจึงออกไปช่วยมารดาทำงานต่อ ผ้าห่มก็เอาเศษผ้ามาเย็บต่อกัน มันหนากว่าเสื้อผ้าที่ใส่อยู่นิดหน่อย นิดหน่อยที่หน่อยจริงๆ
จะด้วยฤทธิ์ยาหรือร่างกายที่อ่อนแอแบบลูกคุณก็ไม่รู้ ทำให้ลู่จื้อหลับไปทันที นางตื่นอีกครั้งก็ยามเว่ย (13.00-14.59น.) แล้ว
ถือว่าเป็นข่าวดีของบ้านรองที่ลู่จื้อฟื้นแล้ว ลู่จื้อที่ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกเรี่ยวแรงกลับมาห้าส่วนจึงลุกขึ้นเดินสำรวจบ้านตนเอง
ถึงบ้านจะโทรมแทบจะพังแต่สะอาด รอบบ้านก็ไม่มีหญ้ารก มีแปลงผัก เรียกว่าผักมั้งเพราะมันแคระแกร็นเกินกว่าจะมองได้ออกว่าผักที่ปลูกไว้เรียกว่าอะไร
ด้านหลังบ้านมีแม่น้ำกว้างสองจั้งได้ (1จั้ง=3.33เมตร) หากเดินเลียบแม่น้ำไปประมาณสองลี้ ก็ถึงภูเขาที่ชาวบ้านหาของป่า ล่าสัตว์กัน
อย่างน้อยก็ได้ใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างที่เคยฝัน แต่ก่อนที่จะมีชีวิตแบบนั้นมันต้องมีเงินค่ะ ไหนจะซื้อที่ สร้างบ้าน ทำไร่ ทำสวน ค่าเมล็ดผัก พันธุ์ต้นไม้ ทุกอย่างมันต้องใช้เงิน
ลู่จื้อถึงกับกุมขมับ จะหาเงินจากไหน ชีวิตก่อนเงินเต็มบัญชี อยากได้สิ่งใดเพียงแค่โทรสั่งพ่อบ้านทุกอย่างก็เรียบร้อย แต่ตอนนี้ทุนไม่มี ร่างกายก็เหมือนจะละสังขารทุกเมื่อ ในเมื่อยังคิดไม่ออกก็เลิกคิด เข้าบ้านดีกว่า ร่างกายอ่อนแอเกินกว่าจะเดินต่อได้
ถึงบ้านนางเดินเข้าครัวเป็นอันดับแรกเพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง แต่ทหารกำลังจะอดตาย ข้าวชั้นต่ำมีไม่ถึงครึ่งถัง แป้ง ธัญพืช มีอย่างละสองชั่งได้
น้ำมัน น้ำตาล เหลือ เหลือติดก้นไห เนื้อสัตว์ไม่มีเลย พระเจ้า นางที่เคยกินข้าวมื้อหนึ่งไม่ต่ำกว่า 1,000 หยวน (1หยวน=5บาท) ตอนนี้แม้แต่น้ำปลาในบ้านนี้ยังไม่มีเลย (ยุคนี้เขาใช้เกลือ)
ลู่จื้อเดินไปดูบิดาที่ห้อง เห็นว่าบิดายังหลับอยู่จึงหยิบตะกร้า และมีดพร้า เดินไปที่ริมแม่น้ำ ในเมื่ออยากมีชีวิตเรียบง่ายในชนบท นี่ไงได้ดั่งใจนึกแล้ว ก็ต้องสู้ (สู้กับอะไรลู่จื้อได้แต่นึกในใจ
ถึงร่างกายจะไม่พร้อม แต่ท้องที่ร้องดังกว่าเสียงนกร้อง นางจำต้องกัดฟันเดินไปหาของที่พอจะกินได้
อย่างน้อยสวรรค์ก็ยังเมตตา นางเจอจอมปลวกใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ริมแม่น้ำ ลู่จื้อจึงใช้มีดขุดออกมา นางจะนำมาเป็นเหยื่อล่อปลา แม้ไม่เคยลงมือทำ แต่ก็เคยดูในโซเซียลมาบ้าง
ด้วยความที่อยากใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ วันๆ ของลู่จื้อจึงหมดไปกับการดูคอนเทนต์การใช้ชีวิตในชนบท นางก็พอจะจำได้บ้างว่าเขาทำกันเช่นไร
ลู่จื้อเทดินจอมปลวกที่ได้ไว้ริมแม่น้ำ นางนำตะกร้าไปแช่ในน้ำจนมิด ใส่ก้อนหินไว้ด้านล่างกันมันลอยไปกับน้ำแต่ก็กะน้ำหนักไว้แล้วว่าตอนยกขึ้นจะต้องยกไหว จากนั้นนางโยนดินจอมปลวกลงไปบริเวณตะกร้า แล้วก็รอเจ้าปลาน้อยมาตกหลุมพราง ระหว่างรอนั้น
“น้องเล็ก!!! เจ้าทำสิ่งใด ขึ้นมาเดี๋ยวนี้!!!” เสียงตวาดของลู่เพ่ยดังลั่นก่อนจะเห็นตัวเสียอีก
“ท่านพี่ เร็วเข้า มาช่วยข้าเร็ว” ลู่จื้อที่กำลังยกตะกร้าขึ้นเพราะตอนนี้มีปลาเข้ามาในตะกร้าสิบกว่าตัวแล้ว แต่นางยกขึ้นไปด้านบนไม่ไหว ลู่เพ่ยจึงรีบวิ่งเข้ามาช่วยนาง
“ปะ ปลา เจ้าจับได้อย่างไร” ลู่เพ่ยเป็นคนฉลาด เขาสงสัยตัวน้องสาวทันที ในหมู่บ้านแทบไม่มีชาวบ้านออกมาจับปลาเลยเพราะมันว่ายน้ำเร็วมาก แล้วไม่มีใครชอบกินเพราะมันเหม็นคาว
“ช่วยข้ายกขึ้นไปก่อนเร็ว”
ลู่จื้อขึ้นจากน้ำได้ก็นั่งลงกับพื้นหมดสภาพทันที ร่างกายนี้เหนื่อยง่ายเกินไปแล้ว
ลู่เพ่ยเห็นน้องสาวทั้งเปียกทั้งเหนื่อยจึงรีบพากลับบ้านทันที
“เดี๋ยวท่านพี่ ข้าขอเก็บผักริมแม่น้ำสักครู่” นางที่เห็นต้นหอม ตะไคร้ตั้งแต่แรกก็ไม่ลืมที่จะเก็บกลับบ้านเพื่อช่วยลดกลิ่นคาวของปลา
ลู่จื้อถึงบ้านก็รีบเข้าครัวทำอาหาร เพราะนางหิวจนจะเป็นลมอยู่แล้ว ลู่เพ่ยก็เข้ามาช่วยน้องสาวติดไฟย่างปลา ข้าวสารที่เหลือเพียงน้อยนิด นางจึงนำมาทำเป็นข้าวต้มปลา
อาหารมื้อนี้ของบ้านจางนับว่าดีที่สุดตั้งแต่ที่บิดาล้มป่วยลง
"ลู่จื้อ เจ้าจับปลาได้อย่างไร ปลาพวกนี้ว่ายน้ำเร็วยิ่งนัก" จินหรูถามบุตรสาวด้วยความสงสัย
“ท่านแม่ ข้าใช้จอมปลวกล่อมันเข้ามาในตะกร้าเจ้าค่ะ ตอนแรกข้าจะขุดหนอนในดิน (ไส้เดือน) แต่ข้าไม่มีแรงจะขุด" ลู่จื้อบอกวิธีหาปลาเพื่อให้ทุกคนไม่สงสัยมาก เพราะมันเป็นวิธีธรรมดาและไม่ได้มีของวิเศษจะสงสัยสิ่งใดได้
"ท่านพี่ ปลาพวกนี้ขายได้หรือไม่เจ้าคะ" วันนี้จับได้ตั้งหลายตัวหากแบ่งไปขายน่าจะพอซื้อข้าวสารมาติดบ้านได้
"ขายได้ ขายให้เหลาอาหารหม่านอี้ (พอใจ) หากยังไม่ตายได้ราคาดี"
นี้ยามซื่อ (09.00-10.59น.) ถ้าเดินเท้าไปขายในเมือง สิบลี้ ใช้เวลาครึ่งชั่วยาม (1ชั่วยาม=2ชั่วโมง) สภาพร่างกายก็ เห้อออ แต่ถ้าไม่ไปเย็นนี้ก็ไม่มีข้าวสารเหลือแล้ว
“พี่ใหญ่ ไปขายปลากันเถิดเจ้าค่ะ หากเรารีบเข้าเมืองไปขายก็จะกลับถึงบ้านก่อนตะวันตกดิน จะได้ซื้อข้าว แป้งสาลีเจ้าค่ะ” สองพี่น้องรีบกินข้าวแล้วรีบออกเดินทางเข้าเมือง
กว่าลู่จื้อจะลากสังขารถึงประตูเมืองก็แวะพักไปถึงห้าครั้ง จากที่เดินครึ่งชั่วยามก็กลายเป็นเกือบชั่วยามกว่าจะถึง ยังดีที่เจ้าเมืองคนใหม่งดเก็บค่าเข้าเมืองหนึ่งปี เพราะทั้งคู่ไม่มีเงินมากันเลยสักแดงเดียว
ค่าเงิน
1 อิแปะ, เหวิน = 1 เหรียญทองแดง
1 ก้วน = 1,000 อิแปะ /เหวิน/เหรียญทองแดง
1 ตำลึงเงิน = 1ก้วน (พวง)
1 ตำลึงทอง = 10 ตำลึงเงิน
เสี่ยวเอ้อหน้าเหลาอาหารหม่านอี้ เห็นสองพี่น้องใส่เสื้อผ้าปะชุนทั้งตัวก็ไม่ได้ไล่หรือแสดงสีหน้ารังเกียจ
“พี่ชาย ไม่ทราบว่าที่นี่รับซื้อปลาหรือไม่ ปลาของข้ายังไม่ตายนะเจ้าคะ” ลู่จื้อเสนอขายสินค้า
“รับ รับ พวกเจ้ารอประเดี๋ยว ข้ารู้เพียงราคาปลาที่ตายแล้ว หากปลาที่ยังไม่ตายต้องให้หลงจู๊ตีราคาให้”
เสี่ยวเอ้อหน้าร้านหายไปหนึ่งเค่อ (15นาที) ก็พาชายร่างท้วมดูรู้เลยว่ากินดีอยู่ดีมาด้วย
“ไหนปลาเจ้าที่ยังไม่ตาย ข้าขอดูหน่อย เอ่อ ข้าหลงจู๊หาน”
“คารวะหลงจู๊หานขอรับ/เจ้าค่ะ “
"ดี ดี ดี ปลาพวกเจ้าสมบูรณ์มาก ตัวใหญ่อีกด้วย ข้ารับซื้อชั่งละยี่สิบอิแปะ พวกเจ้าพอใจหรือไม่"
ชั่งละ 20 อีแปะ ปลา1ตัวหนักเกือบ 2 ชั่ง (1ชั่ง=1.2กิโลกรัม)
“พวกข้าพอใจเจ้าค่ะ” สองพี่น้องสบตากันไม่นึกว่าปลาเป็นจะขายได้ราคาดีเพียงนี้ แล้วทั้งคู่นำปลามาเกือบสิบตัว ไม่เสียแรงที่แบกมาขาย (พี่ชายเป็นคนแบกมา)
เมื่อทั้งสองพนันกันว่าหวังเหอรุ่ยจะตามมาหรือไม่ ลู่จื้อนางบอกว่าจะต้องตามมาในวันต่อไปเลย ส่วนโจวหรงเฉิงไม่คิดว่าจะตามมาด้วยคิดว่าคงกลัวคำขู่จองเขาอยู่บ้าง“เหอะ เจ้ามาจ่ายให้ข้าด้วย” โจวหรงเฉิงหันไปถลึงตามองหวังเหอรุ่ยที่รีบตามมาเร็วเกินไปจนเขาต้องเสียเงินให้เมียรักถึงหนึ่งพันตำลึงทอง“ดะ ได้ขอรับ ว่าแต่อาเยว่เล่านางอยู่ที่ใด”“หึ ข้าให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย หากอาเยว่เลิกสนใจในตัวเจ้า เจ้าต้องห้ามยุ่งกับนางอีก แล้วถ้าเจ้าทำให้อาเยว่นางเสียใจอีกครั้ง...” โจวหรงเฉิงมิได้บอกว่าจะจัดการหวังเหอรุ่ยเช่นไร แต่เขาปล่อยพลังปราณใส่ตัวของหวังเหอรุ่ยแม้จะอยู่ในขั้นจักรพรรดิ หวังเหอรุ่ยยังเจ็บจนต้องกลืนเลือดที่เกือบจะกระอักออกมาคืนกลับลงไป โจวหรงเฉิงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนตัวของหวังเหอรุ่ยจะเข้าไปอยู่ภายในมิติ“ท่านเก่งมากท่านพี่ คืนนี้ข้าจะมอบรางวัลให้ท่านดีหรือไม่” ลู่จื้อช้อนสายตามองเขาอย่างยั่วยวน“ตอนนี้เลยมิได้รึ” โจวหรงเฉิงอุ้มเมียรักกลับขึ้นห้องพักทันทีโดยไม่สนใจสายตาตกตะลึงของตนในโรงเตี๊ยมที่มองพวกเขาอย่างตกตะลึง ชาวบ้านเพียงแค่ได้ยินเรื่องผู้ฝึกตน แต่ไม่เคยพบเห็นกับตาเช่นนี้“เย่เยว่”
นางอุตส่าห์ได้ปิ่นที่หวังเหอรุ่ยทำขึ้นด้วยตนเองมาจากมารดาที่เอ่ยขอมาตั้งนาน ทั้งยังปักมาเพื่อให้เขาได้เห็น แต่ไม่คิดว่าจะมาเห็นภาพบาดตาเข้า“อาเยว่เจ้าเอาของมาให้ข้ารึ วางไว้เถิด ประเดี๋ยวจะให้บ่าวยกไปเก็บ” เขาไม่ได้มองใบหน้าที่ตกตะลึงของนางเลย“หลานสาวท่านพี่เคยเอ่ยเล่าใช่หรือไม่เจ้าคะ” สตรีใบหน้างามไม่น้อยหันมาส่งยิ้มหวานให้ฟานเยว่“ใช่ อาเยว่ นี่แม่นางฝูหลิน...”“ท่านจะแต่งนางเป็นภรรยาใช่หรือไม่เจ้าคะ” ฟานเยว่เอ่ยถามหวังเหอรุ่ยเสียงแข็ง“...” เขามิได้เอ่ยตอบนาง“ใช่แล้ว ต่อไปเจ้าก็ต้องเรียกข้าว่าท่านป้าสะใภ้” ฝูหลินยังคงยิ้มแย้มอย่างใจดีให้ฟานเยว่“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเวลาสำราญของท่านแล้ว ท่านลุง” ฟานเยว่ยิ้มอย่างเจ็บปวดให้เขา ก่อนจะหันหลังกลับออกจากจวนตระกูลหวังไป โดยไม่หันมามองหวังเหอรุ่ยอีกเลย“ท่านต้องทำเช่นนี้ด้วยรึใต้เท้าหวัง บุรุษทั่วเมืองหลวงล้วนแต่อยากจะพิชิตนางให้ได้ มีเพียงท่านที่นางปักใจ แต่กลับใจร้ายกับนางเช่นนี้” ฝูหลินเอ่ยตำหนิเขาออกมานางเป็นหญิงขับร้องในหอนางโลม มิใช่หญิงคณิกา รู้จักกับหวังเหอรุ่ยมาหลายปีแล้ว ที่นางไม่ยอมขายคืนแรกให้ผู้ใดก็รอเพียงแค่เขาเท่าน
ลู่จื้อเดินทางมาถึงเมืองหลวง ครอบครัวของนางที่เขียนจดหมายส่งข่าวให้รู้ก่อนหน้า ก็พากันออกมารอต้อนรับอย่างคับคั่ง“นั่น หลานสาวข้าใช่หรือไม่” จินหรูชี้นิ้วที่สั่นเทาไปทางฟานเยว่ที่โบกมืออยู่บนหลังม้าตัวเดียวกับผู้เป็นบิดา"ท่านยาย ท่านตา ฟานเยว่เจ้าค่ะ” นางลงจากหลังม้าได้ก็วิ่งเข้าไปหาจางหมินและจินหรู“รู้จักตากับยายด้วยรึ” จางหมินมองหลานสาวอย่างเอ็นดู“เจ้าค่ะ ท่านแม่เล่าเรื่องท่านตาท่านยายให้ข้าฟังทุกวันเลย โอ๊ะ...ท่านพ่อก็เล่าเรื่องท่านปู่กับท่านย่าด้วยเจ้าค่ะ” ฟานเยว่กลัวเสนาบดีโจวและฮูหยินโจวจะเสียใจจึงได้เอ่ยขึ้นมา“ฉลาดนักหลานสาวข้า” เสนาบดีโจวหัวเราะอย่างชอบใจ“ท่านลุงเพ่ย ท่านลุงหยาง พวกท่านมีน้องให้ข้ารึยัง” ใบหน้าของทุกคนแข็งค้างไป เมื่อฟานเยว่หันไปเอ่ยถามลู่เพ่ยและหลินตงหยางที่ออกมารอรับอยู่ด้วย“ฮ่า ฮ่า อาเยว่ เจ้าช่างปากร้ายเหมือนบิดาไม่มีผิด” เซียวซีซวนที่อุ้มบุตรสาวตัวน้อยของเขามาด้วยก็หัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ“กลับจวนกันก่อนเถิดขอรับ” โจวหรงเฉิงอุ้มฟานเยว่กลับมา เขาปิดปากน้อยๆ ของบุตรสาวไว้ไม่ได้ส่วนลู่จื้อเส้นเลือดที่ข้างขมับของนางเต้นไม่หยุด เจ้าบุตรสาวตัวแสบไม่รู้
โจวหรงเฉิงที่เห็นเช่นนั้นจึงได้ช้อนตัวนางลงมาอยู่ในสระน้ำ ความเจ็บเมื่อครู่ค่อยๆ จางหายไป เขาจึงกดลำทวนเข้าไปจนสุดลำ“ดีแล้วหรือยัง”“อืม...”“ให้ข้าขยับเลยหรือไม่” เขากระซิบถามที่ข้างหู“หากไม่ขยับก็เอาออกไปซะ” ลู่จื้อกัดฟันแน่น นางเริ่มจะหงุดหงิดบุรุษหน้าหนาเสียแล้ว“หึหึ” โจวหรงเฉิงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ ก่อนจะเริ่มขยับเอวเข้าออกอย่างช้าๆ แล้วเร็วขึ้นจนน้ำในสระกระเพื่อมออกไปนอกสระ“อ๊ะ...อ๊า” ลู่จื้อกัดปากแน่น เมื่อเขาเริ่มขยับเอวหนาเข้าออกอย่างไม่คิดจะผ่อนเลย“จื้อเออร์ ข้ามีความสุขยิ่งนัก” โจวหรงเฉิงเชิดหน้าขึ้นอย่างเสียวซ่าน ก่อนที่น้ำรักจะพุ่งเข้าสู่ช่องทางรักของลู่จื้ออย่างเต็มเปี่ยมแสงหลากหลายสีภายในสระบัวพุ่งวนอยู่รอบตัวของทั้งคู่ยามที่ทั้งคู่เสร็จสมจากการร่วมรักลู่จื้อและโจวหรงเฉิงมองไปรอบๆ อย่างไม่เข้าใจ เพียงครู่เดียวร่างกายของทั้งสองก็ราวกับจะปริแตก เมื่อพลังปราณในร่างกายต่างวิ่งวนอย่างสับสน“อื้อ...” ลู่จื้อร้องออกมาเสียงเบา โจวหรงเฉิงเม้มปากแน่น กอดลู่จื้อที่ร่างยังผสานกันอยู่แน่นขึ้นความเจ็บปวดเกิดไม่นาน สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือดวงตาของทั้งสองเปล่งประกายไปด้วยสีทองอร
หากจะถามว่าเรื่องของลู่เพ่ยและหลินตงหยางเกิดขึ้นเมื่อใด ก็คงตั้งแต่ที่เขาเดินทางมาที่เมืองหลวง ตอนที่หลินตงหยางมักจะเข้ามาอยู่ในมิติเพื่อเดินลมปราณ ลู่เพ่ยที่ได้เข้าไปช่วยดูแล ทำให้ทั้งสองรู้ใจตนเอง หลังจากนั้นก็ลอบนัดพบกันโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้เห็นแม้แต่ลอบเข้ามาในจวนยามค่ำคืนหลินตงหยางก็ทำมาแล้ว และดูเหมือนว่าจะบ่อยครั้งกว่าที่โจวหรงเฉิงได้พบลู่จื้อในมิติเสียอีก“เชื่อข้าพี่เพ่ย ท่านต้องรักตนเอง อย่าสนใจสายตาของผู้ใด หากท่านเลือกแล้วว่าเป็นแม่ทัพหลิน ท่านเป็นถึงผู้ฝึกตนจะมีใครกล้าว่าท่านใด”“อืม...เข้าใจแล้ว” เขายิ้มกว้างออกมา เหมือนว่าเรื่องหนักอกได้ถูกยกออกไปแล้วหลินตงหยางเป็นคนที่ไม่สนสายตาของผู้ใดอยู่แล้ว เขาต้องการจะบอกเรื่องนี้กับสหายหลายครั้ง แต่ก็ถูกลู่เพ่ยขอร้องเอาไว้ตลอดเกี้ยวแปดคนหามเคลื่อนตัวไปที่จวนตระกูลโจวหลังใหม่ ด้านหน้าเกี้ยวมีเสี่ยวเฮยที่คืนร่างเดิม เดินนำหน้าอยู่อย่างน่าเกรงขามเมื่อเกี้ยวหยุดลง โจวหรงเฉิงก็เดินเข้ามาอุ้มตัวเจ้าสาวลงไม่ยอมให้นางได้เดิน ชาวเมืองได้แต่ชะเง้อคอมองด้วยอยากรู้ว่าสตรีที่อยู่ในอ้อมแขนของโจวหรงเฉิงงามมากเพียงใด เขาถึงไม่กล้าให้เท้าของนาง
เสนาบดีโจวตัวเขามีสามภรรยา สี่อนุ เช่นบุรุษส่วนมากในเมืองหลวง ที่โจวหรงเฉิงเอ่ยถามก็เพียงสงสัยว่าเขาสามารถตัดใจจากเมียรักทั้งหมดได้รึ“เหอะ ข้าไม่เป็นแล้วก็ได้” เขาแค่นเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ภรรยาทุกคนของเขาล้วนแต่มีบุตร หากให้ทิ้งขว้างพวกนางก็ดูจะไร้คุณธรรมเกินไป“ท่านไม่ต้องห่วงว่าจะมีเมียเพิ่มไม่ได้นะเจ้าคะ ข้าจะมอบน้ำพุจิตวิญญาณไว้ให้ท่านสักสองโอ่ง” ลู่จื้อชูนิ้วขึ้นมาด้วยสองพ่อลูกหันมาถลึงตามองลู่จื้อกันใหญ่ พร้อมทั้งเสียงหัวเราะของฮูหยินโจวที่ลู่จื้อพูดได้ถูกใจนางเสียจริงทั้งหมดแยกย้ายกลับไปที่จวนเพื่อจัดการเก็บข้าวของที่นำมาด้วยไม่น้อยเลย ลู่จื้อบอกกล่าวบิดาเรื่องที่นางจะเดินทางเที่ยวไปทั่วแคว้นจางหมินจึงต้องหาซื้อที่ดินในเมืองหลวงเพื่อปลูกผัก โดยมีเซียวซีซวนให้การช่วยเหลือ มันคือผลประโยชน์ของเขาทั้งสิ้นลู่จื้อบอกเรื่องจะทิ้งน้ำพุจิตวิญญาณไว้ที่จวนให้มากเสียหน่อย เพื่อให้เขาผสมน้ำใช้รดผักที่ปลูก ส่วนผลไม้ ก็จะมีวางขายเพียงแค่ไม่กี่อย่างแทนแต่สิ่งที่ลู่จื้อนึกไม่ถึงคือ เสนาบดีโจวหลังจากที่กลับไปวันนั้น เขาก็เรียกภรรยาและบุตรทั้งหมดมาพบ ก่อนจะจัดการแบ่งทรัพย์สินที่มีให้ท