“ดีแล้ว ในเมื่อทั้งสองคนมีเอกสารมาด้วย จะได้เปิดบัญชีพร้อมกัน” หมอจางพูดสนับสนุนให้สองพี่น้องเปิดบัญชีของรัฐ แต่เขาไม่มั่นใจว่าหญิงสาวที่สติไม่ดีคนนี้จะสามารถเปิดได้ไหม จึงพูดขึ้นมาอย่างกังวลใจเล็กน้อย
“แต่ฉันไม่มั่นใจนะว่าอาเหมยจะสามารถเปิดบัญชีได้หรือไม่ เนื่องจากเธอเป็นบุคคลที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้” หมอจางพยายามหลีกเลี่ยงคำว่าสติไม่ดีหรือเป็นบ้า เพื่อรักษาจิตใจของสองพี่น้อง จึงพูดเพียงว่าไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
ถังอี้คุนมองหน้าน้องสาวอย่างคล้ายกับจะปรึกษา เพราะเงินพวกนี้เธอเป็นคนหามา จะฝากบัญชีเขาคนเดียวก็คงไม่ได้ และเขาเองก็ไม่คิดจะเอาเงินของน้องด้วย
“พี่ใหญ่เก็บไว้ เก็บเงินไว้เยอะ ๆ เลยนะ เอาไว้ซื้อขนมให้อาเหมย นะนะ ฮ่า ๆ ชอบกินขนม” ถังลู่เหมยพูดขึ้นพร้อมกับปรบมือเหมือนเด็ก ๆ ที่สนใจแต่ขนมเท่านั้น
นี่คือสัญญาณของเธอเพื่อที่จะบอกพี่ชายว่าให้เอาเงินทั้งหมดฝากไว้ที่เขา เพราะอย่างไรเธอก็คือครอบครัวของบ้านรองถังไปแล้ว
เมื่อได้ยินน้องสาวพูดแบบนี้ ชายหนุ่มจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนส่งไปให้เธอ เพราะถึงอย่างไรเขาก็คิดว่าเงินนี่ก็คือของถังลู่เหมยอยู่ดี
“ตกลง พี่จะเก็บไว้ให้ ถ้าอาเหมยอยากเอาไปซื้อขนม บอกพี่ได้เลยนะ” ถังอี้คุนตอบกลับน้องสาวไปด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
“เอาล่ะในเมื่อตกลงกันได้แล้วก็รีบไปธนาคารของรัฐกันดีกว่า เดี๋ยวจะปิดทำการเสียก่อน ว่าแต่ยังมีของล้ำค่าพวกนี้อีกไหม ถ้ามีสามารถเอามาขายได้ตลอดนะ ฉันยินดีรับซื้อ” หมอจางกลัวว่าธนาคารของรัฐจะปิดทำการเสียก่อน แต่ก็ไม่วายที่จะบอกทั้งสองคนว่าหากมีสินค้าแบบนี้ก็นำมาขายให้เขาได้อีก เขารับซื้อไม่อั้น
“ครับเถ้าแก่” ถังอี้คุนตอบไปก่อน ส่วนจะมีหรือไม่มีเอาไว้ค่อยว่ากันวันหลัง
หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดจึงพากันเดินทางมายังที่ธนาคารของรัฐเพื่อฝากเงิน ซึ่งถังอี้คุนเก็บเงินไว้ในบัญชีตัวเองก่อนทั้งหมด ส่วนหลังจากนี้จะทำอย่างไรกับเงินที่มีค่อยปรึกษาน้องสาวอีกที
เมื่อจัดการเรื่องเงินฝากเรียบร้อยแล้ว สองพี่น้องจึงแยกจากหมอจาง เพราะทั้งสองคนต้องรีบกลับบ้าน และทั้งสองเลือกที่จะฝากส่วนใหญ่เงินทั้งหมดไว้ที่ธนาคารของรัฐ โดยนำติดตัวไว้เพียงเท่าที่จำเป็น
และพอทั้งสองคนเดินผ่านร้านขายซาลาเปา ก็ได้มองสบสายตากัน พร้อมกับถังลู่เหมยที่ยิ้มกว้างออกมา
“พี่ใหญ่ ๆ ข้าอยากซื้อซาลาเปา เอา เอาไปฝากกลับไปฝากพ่อกับแม่” ถังลู่เหมยพูดพร้อมกับเขย่าแขนพี่ชายเหมือนเด็กคนหนึ่งที่อยากได้ขนม เธอคิดว่าถ้าอยู่นอกบ้านก็จะต้องเล่นบทคนบ้าให้แนบเนียน ‘ทำเหมือนคนบ้าก็ดีเหมือนกันนะ ถือว่าได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งก็แล้วกัน’ เธอคิดอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาอีก“ได้สิ อย่างนั้นพี่จะซื้อให้อาเหมยหลายๆ ลูกเลย”
ถังอี้คุนก็ยิ้มกลับไปให้น้องสาว พร้อมกับลูบหัวเธออย่างเอ็นดู
“ป้าครับ เอาซาลาเปาสิบลูกครับ แยกเป็นถุงหนึ่งสองลูก อีกหนึ่งถุงใส่แปดลูกนะครับ” ถังอี้คุนหันไปสั่งแม่ค้าที่ยืนมองอยู่
“ได้ ๆ เดี๋ยวป้าแยกถุงให้นะ พ่อหนุ่มนี่ดีนะดูท่าทางจะรักน้องสาวมากแม้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ” แม่ค้าพูดออกมาด้วยท่าทางเอ็นดูหญิงสาว ก่อนจะส่งถุงซาลาเปากลับมาให้ พร้อมกับบอกว่า
“ส่วนนี่ ป้าแถมให้แม่หนูนี่หนึ่งลูกนะ” ป้ายื่นถุงใส่ซาลาเปาให้หญิงสาวเพราะความเอ็นดู
“แถมๆ ป้าคนสวยใจดีแถมด้วย ขอบคุณค่า” ถังลู่เหมยปรบมืออย่างดีใจ พร้อมกับรับมาด้วยรอยยิ้ม
“น่าเอ็นดูจริงๆ ปากหวานเสียด้วย ฮ่าๆ” ป้าแม่ค้าพูดขึ้นมา
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกมาเพื่อกลับบ้านพร้อมซาลาเปาสองถุง
“พี่ใหญ่ เราเอาซาลาเปาพวกนี้กลับบ้าน ถ้าพวกบ้านใหญ่เห็นจะไม่ถูกแย่งชิงไปเหรอ” ถังลู่เหมยถามขึ้นมาเบาๆ ขณะที่กำลังกัดกินก้อนซาลาเปาขาวอวบไส้เนื้อด้วยความเอร็ดอร่อย ท่าทางการกินของเธอก็ยังเหมือนคนบ้าอยู่ดี
“พี่จะเอาแอบไว้ในเสื้อ เพราะพวกเราเดินกว่าจะถึงบ้าน พ่อกับแม่น่าจะเลิกงานแล้ว ย่ากับบ้านใหญ่ไม่ค่อยสนใจพี่สักเท่าไรหรอก อาเหมยไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่น้องจะเอาเงินพวกนั้นไปทำอะไรเหรอ”
ถังอี้คุนมองว่าบ้านใหญ่และย่าถังไม่สนใจเขาเท่าไรนัก การที่เขาจะเอาซาลาเปาแอบไว้กับตน คงไม่มีใครมาตรวจค้นแน่ ส่วนเรื่องเงินก็ไม่ต้องห่วงเช่นกัน เพราะเงินพวกนั้นอยู่ในที่ปลอดภัย แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงความต้องการของน้องสาว
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ส่วนเรื่องเงินฉันยังไม่คิดจะนำไปใช้ทำอะไร แต่อยากให้บ้านเราแยกบ้านออกมาก่อน ว่าแต่ถ้าจะทำการค้า เราต้องขออนุญาตก่อนใช่ไหมพี่ใหญ่ พี่ล่ะอยากแต่งงานไหม ฉันจะนำเงินพวกนี้ไปขอผู้หญิงให้” หญิงสาวตอบกลับมาอย่างที่คิดไว้ เธออยากทำการค้าเพื่อหาเงินเข้าบ้านรอง แต่ติดที่บ้านใหญ่กับบ้านรองยังไม่แยกบ้าน ก่อนจะเอ่ยหยอกล้อพี่ชายเรื่องว่าที่พี่สะใภ้ตนเอง
โป๊ก! เสียงเคาะหน้าผากดังขึ้น
“อุ้ย..เจ็บนะพี่ใหญ่” ถังลู่เหมยหดตัวร้องออกมาเบาๆ พร้อมกับลูบหัวตัวเองปอย ๆ เธอถลึงตาใส่พี่ชายเล็กน้อย
“ก็ตีให้เจ็บน่ะสิ คิดอะไรแก่แดดใหญ่แล้วเรา พี่ยังไม่พร้อมที่จะมีครอบครัวหรอกนะ อีกอย่างบ้านเรายากจนขนาดนี้ จะมีพ่อแม่ผู้หญิงที่ไหนจะยอมให้ลูกสาวแต่งเข้ามาล่ะ อีกอย่างทุกคนก็รู้ว่าน้องเป็นอย่างไร ถ้าเกิดแต่งเข้ามาแล้วต่อหน้าแกล้งดีด้วย แต่ลับหลังกลับทำร้ายน้องสาวพี่ พี่ไม่เอาหรอกนะ พี่จะอยู่กับพ่อแม่และอาเหมยแบบนี้ไปเรื่อย ๆ”
ถังอี้คุนตอบน้องสาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เรื่องแต่งงานเขายังไม่คิดอะไร ด้วยเหตุผลหลายประการ แต่ที่สำคัญที่สุดคือการอาการของน้องสาวก่อนหน้านี้ เขารู้ว่ามันยากที่จะมีผู้หญิงคนไหนมายอมรับอาการของน้องสาวเขาได้ และหากจะต้องเลือก เขาขอเลือกที่จะอยู่ปกป้องน้องสาวดีกว่า
ถังลู่เหมยได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้ายังเข้าใจและซาบซึ้งใจในความรักของพี่ชายที่มีต่อน้องสาว ใจหนึ่งก็สงสารที่พี่ชายยังไม่แต่งงานเสียที อีกใจหนึ่งก็รู้สึกภูมิใจแทนเจ้าของร่างเดิมที่มีแต่คนรักเธอ ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นคนสติไม่ดี
“พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วงนะนะ หลังจากนี้ต่อไป ฉันสัญญาเลยว่าฉันจะทำให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น และผู้หญิงที่จะมาเป็นภรรยาของพี่ใหญ่ในอนาคต จะต้องเป็นผู้หญิงที่ดีด้วยเหมือนกัน” ถังลู่เหมยพูดขึ้นมาด้วยท่าทางจริงจัง
“หึ ขี้โม้ใหญ่แล้วนะเราน่ะ” ชายหนุ่มจับศีรษะน้องสาวโยกไปมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะพูดขึ้นอีกด้วยท่าทางอ่อนโยน “อย่างนั้นเรามาทำชีวิตให้ดีขึ้นด้วยกันนะ ขอแค่อาเหมยกับพ่อแม่อยู่ดีมีความสุข พี่ก็ดีใจแล้ว”
“ค่ะ” ถังลู่เหมยตอบรับพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะรีบยัดซาลาเปาเข้าปาก ด้วยท่าทางของหญิงบ้า เพราะอีกไม่นานก็จะถึงหมู่บ้านแล้ว
สองพี่น้องเดินพูดคุยหยอกล้อกันจวบจนมาถึงหมู่บ้าน
พอกลับมาถึงบ้านแทนที่จะมีความสุขด้วยการแบ่งปันซาลาเปาให้พ่อแม่ได้กินด้วยกัน กลับเจอผู้เป็นย่านั่งอยู่กับป้าสะใภ้นั่งดักอยู่ที่หน้าบ้าน หญิงสาวจึงต้องกลับมาเป็นคนสติไม่ดีอีกครั้งเพื่อตบตาทุกคน
‘ปกติอยู่ข้างนอกเธอแค่แกล้งบ้านิดหน่อย แต่กับย่าถังคนนี้คงจะต้องจัดชุดใหญ่ให้ซะแล้ว’ หญิงสาวคิดในใจพร้อมกับเปิดยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับมองโน้นนี่นั่นไปเรื่อย
บทส่งท้าย ครอบครัวที่สมบูรณ์หลังจากวันนั้นนี่ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว เรื่องที่ช่ายจื่อเฉิงจัดการก็เงียบไปเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจบเรื่องนี้ด้วยวิธีใด และไม่มีใครได้พบเห็นสามแม่ลูกนั้นอีกเลย บ้างก็ว่าปี้เจียวหลานหนีตามใครบางคนไปส่วนทั้งสองคนนั้นก็มีข่าวลือว่าไม่ใช่ลูกของนายท่านช่าย ในวงสังคมต่างพูดถึงเรื่องนี้และมีข่าวลือแตกต่างกันไปคนละแบบ ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องเท็จ แต่สิ่งที่จริงนั้นคือทั้งสามคนหายไปจากวงสังคมของปักกิ่ง“ความโหดร้ายของช่ายจื่อเฉิงไม่มีใครเทียบได้หรอก สมัยที่เขายังเป็นหนุ่มก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นฝีมือ กว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นมาได้จนมีทุกอย่างเหมือนทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน” ฉินจิ้งเหยาพูดขึ้นมาท่ามกลางทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง“ช่างมันเถอะค่ะคุณลุง อย่างไรเรื่องราวก็จบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากรับรู้ว่าสามคนแม่ลูกนั่นไปอยู่ที่ไหน ขอแค่ไม่มาวุ่นวายกับพวกเราก็พอแล้วค่ะ”ช่ายเหมยฮวาพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่อยากรับรู้อะไรมากนัก แต่คิดว่าทั้งสามคนคงยังมีชีวิตอยู่ เพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงขอร้องพ่อไปว่าไม่ว่าพ่อจะจัดการสาม
บทที่ 87 ได้เวลาจัดการให้สิ้นซาก“พี่รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ ลางสังหรณ์มันบอกอะไรแปลก ๆ ทำให้พี่ไม่สบายใจ เลยอยากกลับมาเยี่ยมคุณพ่อ” เธอตอบกลับน้องสะใภ้ไปตามตรงเพราะสายตาซ่อนความกังวลไว้ไม่มิด“อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะคะ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เดี๋ยวรอพี่หยางกลับมาก่อนค่อยปรึกษากันอีกทีว่าจะทำอย่างไร” ถังลู่เหมยพูดขึ้นและจับมือพี่สะใภ้ไว้เพื่อปลอบโยน จะว่าไปเรื่องนี้เธอก็ไม่รู้สถานการณ์ในบ้านตระกูลช่ายเลย เพราะไม่เคยสอบถามสามีถึงเรื่องบ้านของพี่สะใภ้ เธอรู้เพียงว่าพี่สะใภ้ใหญ่นั้นไม่ลงรอยกันกับแม่เลี้ยงตนเอง รวมถึงน้องทั้งสองคนที่เกิดจากแม่เลี้ยงด้วย“เรื่องตระกูลช่าย ลุงสืบมาให้เรียบร้อยแล้ว รอหลานมาจัดการด้วยตนเอง แต่ยังไม่มีเวลาที่จะส่งข่าวไป ไม่คิดว่าวันนี้เหมยฮวาจะมาด้วยตนเอง” จังหวะนั้นนายท่านฉินที่เดินลงมาจากชั้นบนก็พูดขึ้น แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่แววตาก็ฉายแววกังวลออกมาเรื่องที่เขาให้คนสืบไว้นั้นจะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้าย แต่ถึงอย่างไรให้หลานสาวตัดสินใจด้วยตนเองดีกว่า อีกอย่างเขากับน้องเขยก็ไม่ได้สนิทติดเชื้อกันมากนัก จะมาให้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องในครอบครัวอีกฝ่ายก็คงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้ง
บทที่ 86 ครอบครัวพร้อมหน้าหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรียบนิ่ง แต่ดวงตานั้นกลับแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ พูดจบถังลู่เหมยก็ลุกขึ้น พร้อมกับเชือกที่มัดแขนอยู่ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเดินมายืนประจันหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “แบบนี้ฉันคงปล่อยให้เธอใช้ชีวิตตามใจชอบอีกไม่ได้แล้วนะ หลี่ซิงหง”“ทะ ทำไมแกไม่ได้ถูกมัดไว้เหรอ” หลี่ซินหงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจสุดขีด เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือก ก่อนจะมองรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่คิดว่าเป็นคนของตนเองไปยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอติดกับดักแล้ว ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เคียดแค้น“แกก็ไม่ใช่คนที่นี่สินะ แกมัน...”คราวนี้ถังลู่เหมยไม่ตอบคำถามนี้ และไม่รออีกฝ่ายพูดจนจบประโยค เธอเลือกที่จะเดินไปใกล้กว่าเดิม ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมว่า “หุบปากของหล่อนให้สนิท ถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาแม้แต่คำเดียว วันนั้นจะเป็นวันที่เธอพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต เพราะฉันจะตัดลิ้นของเธอออกมาย่างให้หมากิน จำไว้”พูดจบเธอเดินไปหาสามีที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะมีเ
บทที่ 85 จัดการขั้นเด็ดขาดถังลู่เหมยและป๋ายหลานกลับบ้านด้วยรถยนต์ของตระกูลฉินเหมือนเดิม แต่ในขณะที่กำลังนั่งรถอยู่นั้น ก็มีรถยนต์ขับตามมาหนึ่งคัน ก่อนที่รถคันนั้นจะขับแซงขึ้นมาและปาดหน้าให้รถที่ถังลู่เหมยนั่งอยู่จอดลงอย่างกะทันหัน“เกิดอะไรขึ้น” ป๋ายหลานถามขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับกุมมือลูกสะใภ้ไว้แน่น“มีรถมาจอดปาดหน้ารถของเราครับคุณนาย น่าจะเป็นโจรมาปล้น” คนขับรถวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย“ตายแล้ว แล้วเราจะทำยังไงดีละเนี่ย” ป๋ายหลานพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกว่าเดิม แม้ว่าเรื่องนี้ลูกชายกับสะใภ้บอกว่ามันอาจจะเกิดขึ้นและทั้งสองหาทางแก้ไขไว้แล้วก็ตาม“ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณแม่อยู่ในรถก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง” ถังลู่เหมยบีบมือของแม่สามีเบาๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีปกติ โดยไม่มีอาการหวาดกลัวใด ๆ เลย“ระวังตัวด้วยนะอาเหมย” ป๋ายหลานบอกกับลูกสะใภ้อย่างเป็นห่วง“ค่ะคุณแม่” หญิงสาวรับปากแม่สามี จากนั้นก็พูดกับคนขับรถว่า“ลุงไม่ต้องลงไปหรอกค่ะ ดูแล้วพวกมันมาไม่กี่คนเอง เดี๋ยวฉันจัดการได้ อีกอย่างมีคนของพี่หยางตงแอบติดตามมาด้วย แต่หากเกิดอะไรขึ้นก็รีบพาคุณแม่ไปยังที่ปลอดภัยห
บทที่ 84 ซ้อนแผน“ได้สิ พี่เคยบอกแล้วว่าหากเหมยฮวาอยากไปเมื่อไร พี่ก็พร้อมจะพาไปเสมอ ถ้าอย่างนั้นเราไปปักกิ่งกันเถอะ พี่เองก็ไม่เคยได้พบพ่อตามาก่อน อย่างน้อยก็ได้ไปยกน้ำชาสักครั้งก็ยังดี” ถังอี้คุนพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนแม้ว่าเขากับภรรยาจะจดทะเบียนและแต่งงานกันอย่างถูกต้องแล้ว แต่เรื่องที่พบหน้ากับพ่อตานั้น เขายังไม่เคยเจอและไม่เคยยกน้ำชามาก่อน ซึ่งมันก็คงไม่ดีแน่หากใครได้รับรู้เรื่องนี้ ดังนั้นการที่ภรรยาคิดจะเดินทางไปปักกิ่งในครั้งนี้ เขาจึงเห็นว่าสมควรแล้ว“ถ้าลูกทั้งสองคนตั้งใจจะไปปักกิ่ง พ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะไปกับลูกด้วย การเอาลูกสาวของเขามาโดยไม่มีการพูดจาสู่ขอกับพ่อของเหมยฮวา พ่อก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ไปครั้งนี้จะได้สู่และให้ทั้งสองคนยกน้ำชาให้ถูกต้อง” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของลูกชายและสะใภ้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ติดอยู่ในใจของเขาและภรรยามาตลอด เขามีลูกสาวก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี“อย่างนั้นพวกลูกหลานไปกันเถอะนะ เดี๋ยวแม่กับตาเฒ่าจะเฝ้าบ้านให้เอง” ย่าถังพูดสนับสนุนขึ้นมา เมื่อได้ยินลูกและหลานพูดถึงเรื่องที่จะไปปักกิ่งเพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้อง“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันทั้งหมด
บทที่ 83 ข่าวสำคัญหลังจากวันนั้น นี่ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วที่หลี่ซินหงไม่สามารถดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ได้ นั่นก็เพราะว่าถังลู่เหมยนั้นไม่ได้ออกจากบ้านตระกูลฉินอีกเลย เพราะผู้เป็นแม่สามีได้ซื้อของมากมายมาให้เธอจนแทบจะใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ซึ่งแม้จะอยากออกไปหาลู่ทางเพื่อทำการค้าของตนเอง แต่เธอก็ไม่ขัดขืนเพราะไม่อยากทำให้ทุกคนลำบากใจ โดยเฉพาะสามีของเธอทุกวันถังลู่เหมยจะทำอาหารให้ทุกคนในบ้านกิน และนั่งฟังแม่สามีเล่าเรื่องต่างๆ ในปักกิ่งให้ฟัง ป่ายหลานสอนมารยาทการเข้าสังคมให้เธออย่างใส่ใจ ซึ่งถังลู่เหมยก็ไม่ขัดอะไรเพราะเห็นสีหน้าของแม่สามีดูมีความสุขที่ได้สอนและจับเธอแต่งตัว“อาเหมยอีกสามวันจะมีงานสังคม โดยตระกูลฉินเป็นประธาน เธอเตรียมตัวด้วยนะ แม่จะพาอาเหมยออกงานอย่างเป็นทางการ” ป๋ายหลานเดินมาบอกลูกสะใภ้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องโถง ถึงเรื่องที่ตระกูลฉินจะเป็นประธานในงานเลี้ยงสมาคมการค้าในครั้งนี้ และเธอตั้งใจให้สะใภ้ได้ไปร่วมงานด้วย หลายวันมานี้เธอยอมรับสะใภ้คนนี้ได้อย่างเต็มหัวใจแล้ว ถังลู่เหมยได้ยินอย่างนั้นก็อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจเพราะนี่คือการยอมรั