หญิงสาวกระโดดสองขาก่อนที่จะโบกมือไปมา เพียงครู่เดียวสองพ่อลูกก็ได้พบหน้ากัน ถังเยี่ยดีใจจนน้ำตาไหล เขารีบตรงเข้าไปกอดลูกสาวไว้ก่อนจะลูบศีรษะอีกฝ่ายเพื่อปลอบโยน
“อาเหมยของพ่อ ทำไมถึงได้เดินเข้ามาในป่าลึกเพียงลำพังแบบนี้” ถังเยี่ยถามลูกสาวอย่างอ่อนโยน
ผู้เป็นพ่อใจหายใจคว่ำเมื่อรู้ว่าลูกสาวหายตัวไป เขารีบออกตามหา โชคดีที่ชาวบ้านนั้นเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาในนี้ เขากับลูกชายจึงได้รีบเร่งเดินทางเข้ามาตามหา
ดีแค่ใดที่ถังลู่เหมยไม่ถูกสัตว์ป่าทำร้าย บริเวณนี้เป็นที่ชุกชุมของหมูป่าและสัตว์ร้ายอื่นๆ น่าแปลกที่พวกมันไม่ออกมาทำร้ายลูกสาวของเขา ทั้งที่ปกติพวกมันหวงอาณาเขตเป็นอย่างมาก
“เจออาเหมยแล้วก็รีบไปกันเถอะพ่อ อยู่ในป่าลึกดึก ๆ แบบนี้อันตราย ไม่รู้จะมีตัวอะไรโผล่มาหรือไม่” ถังอี้คุณบอกกับผู้เป็นพ่ออย่างกังวลใจ
ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ เขารู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก
“ดี ไปกันเถอะ อาเหมยใส่เสื้อไว้นะ” ถังเยี่ยพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะถอดเสื้อคลุมตนเองมาห่มร่างกายของลูกสาวเพื่อคลายความหนาวเย็น
ถังลู่เหมยดีใจที่ได้เจอพ่อกับพี่ชาย เธอเกาะแขนทั้งสองก่อนจะเดินออกจากป่าด้วยท่าทางอารมณ์ดี ผิดกับเมื่อครู่ที่นั่งร้องไห้จนน้ำตาแห้งเหือด
หว่านอันถิงมองภาพตรงหน้าอย่างโล่งใจ ก่อนที่เธอนั้นจะตัดสินใจตามทั้งสามไปด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ถึงจะเป็นเพียงวิญญาณแต่เธอก็รู้สึกกลัวบรรยากาศรอบด้านอยู่เหมือนกัน
“พ่อ หิวแล้วนะ หิวแล้ว”
ถังลู่เหมยเงยหน้าก่อนจะใช้มือลูบท้อง พลางยกยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงซี่สวย เป็นโชคดีของเธอที่พ่อแม่รักและเอาใจใส่ ทำให้เธอนั้นดูสะอาดสะอ้านตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“ทีหลังอย่าไปไหนเพียงลำพังอีก ไม่อย่างนั้นก็จะต้องทนหิวแบบนี้” ถังอี้คุณบอกเชิงตำหนิน้องสาวเล็กน้อย
หญิงสาวพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของพี่ชาย เธอลูบท้องก่อนจะยู่ปากเล็กน้อย หว่านอันถิงที่ติดตามมาด้วยอดสะท้อนใจไม่ได้เมื่อนึกย้อนถึงชีวิตตัวเอง หากเธอมีครอบครัวที่อบอุ่นแบบนี้ เธอคงจะมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว
“รีบเดินเข้าอาเหมย ป่านนี้แม่คงร้อนใจแย่”
เห็นพี่ชายกำลังหยอกล้อน้องขณะที่เดินทางออกจากป่า ผู้เป็นพ่อจึงได้เอ่ยปากตำหนิ เนื่องจากรอบด้านเต็มไปด้วยอันตราย จะมามัวเดินช้า ๆ อย่างประมาทไม่ได้ เพราะเพียงพริบตาเดียวหากมีสัตว์ร้ายพุ่งเข้ามาทำร้ายคงจะตั้งรับไม่ทัน ฉะนั้นจึงต้องคอยระแวดระวังอยู่เสมอ
หว่านอันถิงติดตามทั้งสามออกมาจากป่า ก่อนที่เธอจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อมองไปรอบบริเวณนี้ ที่นี่ดูแปลกตามากจนน่าแปลกใจ แม้กระทั่งการแต่งตัวของผู้คน ก็ยังดูแตกต่างจากยุคสมัยของเธอ บ้านช่องทุกอย่างก็ดูโบราณ ราวกับว่าย้อนกลับมายังยุคสมัยข้าวยากหมากแพง คิดแล้วก็ได้แต่สงสัย ทำไมเทพเจ้าถึงขีดเขียนชะตาให้เธอนั้นได้ย้อนกลับมายังที่แห่งนี้
หญิงสาวยังคงล่องลอยตามสามคนพ่อลูกมาถึงบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งดูจากสภาพบ้านแล้ว ครอบครัวนี้คงไม่ค่อยมีฐานะสักเท่าไร แต่ก็นะ จะว่าไปแล้วยุคนี้ คนที่มีฐานะเศรษฐีคงเข้าไปอยู่ในเมืองแล้วล่ะ จะมาทนทำงานกลางทุ่งแบบนี้ทำไม
เมื่อสามคนพ่อลูกกลับมาถึงบ้าน คนเป็นแม่ก็รีบวิ่งเข้ามากอดลูกสาวด้วยความดีใจที่เด็กสาวคนนี้ปลอดภัยกลับมา
“อาเหมยกลับมาแล้ว ลูกได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” คนเป็นแม่ถามออกไปด้วยความกังวลใจ พร้อมกับก็รีบสำรวจร่างกายของลูกสาวทันที เนื่องจากกลัวว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บกลับมา
“แม่ กลัว กลัว” ถังลู่เหมยได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับร้องบอกออกมาเพียงแค่ว่า เธอนั้นกลัวเหลือเกินกับสิ่งที่พบเจอมา
ซึ่งท่าทางของถังลู่เหมยคล้ายจะคุ้นชินในสาวตาชาวบ้านแล้ว เมื่อเห็นว่าถังลู่เหมยกลับมาโดยปลอดภัย ทุกคนที่ช่วยกันตามหาจึงทยอยกันกลับบ้านของตัวเอง เนื่องจากเวลานี้ก็เริ่มจะมืดค่ำแล้ว
ย่าถังเห็นภาพตรงหน้าก็รู้สึกเสียดายที่หลานสาวสติไม่สมประกอบคนนี้ไม่หลงป่าไปเจอสัตว์ร้ายและไม่ถูกสัตว์ทำร้ายจนตายอย่างที่คิด เพราะในใจนั้นภาวนาให้หลานคนนี้ตาย ๆ ไปซะ
ตั้งแต่ที่ถังลู่เหมยเกิดมาแล้วเริ่มมีอาการไปไม่ปกติ ย่าถังก็ตั้งหน้าเกลียดชังบ้านรอง ในใจนั้นคิดว่าหลานสาวคนนี้คือ ‘ตัวกาลกิณี’
พอเห็นว่าชาวบ้านทยอยกันกลับหมดแล้ว ถ้อยคำที่น่ารังเกียจจึงได้ออกมาจากปากหญิงชราคนนี้ทันที
“ช่างตัวไร้ประโยชน์และเป็นภาระคนอื่นเสียจริง ฉันล่ะนึกว่าหล่อนโดนสัตว์ป่าคาบไปกินแล้ว เกิดมาไม่คิดสร้างประโยชน์ มีแต่จะล้างผลาญและสร้างปัญหาให้ตระกูลอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน” ถ้อยคำที่ไม่น่าฟังยังผุดออกมาจากย่าถัง อย่างที่ไม่คิดว่านี่คือคำด่าหลานสาวตนเอง
หว่านอันถิงที่ได้ฟังก็รับไม่ได้กับคำพูดคำจาของหญิงชราคนนี้ ก่อนจะล่องลอยมายืนอยู่ตรงหน้า และพูดต่อว่าย่าถังกลับไปหลายคำ “ยายแก่ นี่หลานนะไม่ใช่คนข้างบ้าน หมามันยังรักลูกของมัน แล้วนี่อะไร กลับสาปแช่งหลานตัวเองอย่างนั้นเหรอ หึ๊ย!! มันน่านัก”
เวลานี้หญิงสาวโมโหมาก แต่ทว่าถ้อยคำที่เธอพูดไปนั้นกลับไม่เข้าหูย่าถังเลยสักนิดเดียว วิญญาณที่โปร่งแสงอย่างเธอจึงได้แต่กระทืบเท้าอย่างขัดใจ
ส่วนบ้านรองได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องตัวเองไป
แต่เพราะความอยากรู้อยากเห็น และสงสารในโชคชะตาของคนกลุ่มนี้ หว่านอันถิงจึงได้ล่องลอยตามไป แต่พอเจอสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ ก็อดที่จะสงสารไม่ได้ เนื่องจากพวกเขาสี่ชีวิตต้องอยู่รวมกันในห้องเดียวที่เล็กเท่ากับรูหนู
“อยู่กันไปได้อย่างไรห้องแค่นี้ อีกทั้งเด็กสาวคนนี้ก็ยังน่าสงสารอีก เกิดมาสติไม่สมประกอบไม่พอ ยังโดนคนที่ได้ชื่อว่าย่าแท้ๆ แสดงท่าทางรังเกียจ แถมจะหลอกไปให้สัตว์ร้ายกัดตายอีกด้วย เฮ้อ...เป็นฉันหน่อยไม่ได้ ฉันกล้าสาบานเลยว่าจะเอาคืนยายแก่คนนี้จนไม่กล้ามายุ่งกับฉันและครอบครัวอีก” หว่านอันถิงบ่นออกมาดังๆ อย่างไม่กลัวว่าใครจะได้ยิน
หว่านอันถิงบ่นเสร็จก็ได้ล่องลอยไปดูรอบ ๆ แม้ใจของเธออยากช่วยครอบครัวนี้มากแค่ไหนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อตอนนี้เธอเป็นเพียงวิญญาณเท่านั้น
“พ่อ การที่น้องเดินเข้าป่าในวันนี้ ผมคิดว่าเพราะย่าเป็นคนสั่งให้น้องทำนะครับ พ่ออย่าลืมว่าย่านั้นไม่ได้อยากให้บ้านของเราเลี้ยงน้องตั้งแต่แรก” ถังอี้คุนเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่พอใจ เพราะคิดว่าเรื่องนี้อย่างไรก็น่าจะเกี่ยวกับผู้เป็นย่าอย่างแน่นอน
“ลูกอย่าได้พูดเสียงดังไป เรื่องนี้เรารู้กันดีว่าเพราะอะไร” ถังเยี่ยเองใช่ว่าจะไม่รู้จักนิสัยแม่ของตน แต่เพราะความว่ากตัญญูมันค้ำคอ เขาจึงต้องยอมกล้ำกลืนฝืนทนตลอดมา
“เมื่อไรเราจะได้แยกบ้านครับพ่อ” ชายหนุ่มรู้ว่าไม่ควรจะเอาคำนี้ออกมา แต่เมื่อปัญหาหลาย ๆ อย่างมันเริ่มรุนแรงขึ้น หากไม่พูดคงอึดอัดใจแน่
“พ่อเข้าใจแกนะอาคุน แต่พ่อเคยพูดเรื่องนี้กับปู่แกไปหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าพูดครั้งไหนพ่อก็ถูกด่ากลับมาทุกครั้ง แกก็รู้ คงต้องรอให้มีแต่คนรุ่นพ่อแล้วละมั้ง จากนั้นถึงจะสามารถแยกบ้านได้” ถังเยี่ยใช่ว่าไม่อยากแยกบ้าน แต่เพราะหลาย ๆ อย่างทำให้ไม่สามารถได้ และที่สำคัญ ความกตัญญูที่ยึดถือกันมาอย่างยาวนาน ทำให้เขาไม่สามารถที่จะขัดคำสั่งพ่อกับแม่ได้เลย
คงมีเพียงบ้านถัง ที่ยังไม่มีลูกคนไหนที่ได้แยกบ้าน!!
ภาพการพูดคุยของสองพ่อลูกจากบ้านรองถังอยู่ในสายตาของหว่านอันถิง หญิงสาวรู้สึกถึงสงสารในชะตากรรมของครอบครัวนี้ และรู้สึกหงุดหงิดที่ผู้เป็นพ่อของบ้านนี้ดูจะอ่อนแอไปหน่อย หากกล้าแข็งข้อ ไม่แน่ว่าการแยกบ้านอาจจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
“เฮ้อ...ถ้าเป็นครอบครัวฉันหน่อยไม่ได้ จะหาเรื่องจนทำให้ต้องแยกบ้านเลยล่ะ” หว่านอันถิงแต่ก็ได้แค่บ่นออกมาเท่านั้น เพราะเวลานี้เธอเป็นเพียงวิญญาณเท่านั้น
หว่านอันถิงยังคงล่องลอยดูครอบครัวนี้ ซึ่งเธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องมาเป็นวิญญาณเร่ร่อนมาสอดส่องเรื่องครอบครัวของคนอื่น แถมยังคนละยุคที่เธออยู่อีกต่างหาก
สองพ่อลูกต่างไม่มีใครพูดอะไรต่อ ได้แต่ก้มหน้าทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเช่นทุกวัน
บทส่งท้าย ครอบครัวที่สมบูรณ์หลังจากวันนั้นนี่ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว เรื่องที่ช่ายจื่อเฉิงจัดการก็เงียบไปเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจบเรื่องนี้ด้วยวิธีใด และไม่มีใครได้พบเห็นสามแม่ลูกนั้นอีกเลย บ้างก็ว่าปี้เจียวหลานหนีตามใครบางคนไปส่วนทั้งสองคนนั้นก็มีข่าวลือว่าไม่ใช่ลูกของนายท่านช่าย ในวงสังคมต่างพูดถึงเรื่องนี้และมีข่าวลือแตกต่างกันไปคนละแบบ ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องเท็จ แต่สิ่งที่จริงนั้นคือทั้งสามคนหายไปจากวงสังคมของปักกิ่ง“ความโหดร้ายของช่ายจื่อเฉิงไม่มีใครเทียบได้หรอก สมัยที่เขายังเป็นหนุ่มก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นฝีมือ กว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นมาได้จนมีทุกอย่างเหมือนทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน” ฉินจิ้งเหยาพูดขึ้นมาท่ามกลางทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง“ช่างมันเถอะค่ะคุณลุง อย่างไรเรื่องราวก็จบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากรับรู้ว่าสามคนแม่ลูกนั่นไปอยู่ที่ไหน ขอแค่ไม่มาวุ่นวายกับพวกเราก็พอแล้วค่ะ”ช่ายเหมยฮวาพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่อยากรับรู้อะไรมากนัก แต่คิดว่าทั้งสามคนคงยังมีชีวิตอยู่ เพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงขอร้องพ่อไปว่าไม่ว่าพ่อจะจัดการสาม
บทที่ 87 ได้เวลาจัดการให้สิ้นซาก“พี่รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ ลางสังหรณ์มันบอกอะไรแปลก ๆ ทำให้พี่ไม่สบายใจ เลยอยากกลับมาเยี่ยมคุณพ่อ” เธอตอบกลับน้องสะใภ้ไปตามตรงเพราะสายตาซ่อนความกังวลไว้ไม่มิด“อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะคะ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เดี๋ยวรอพี่หยางกลับมาก่อนค่อยปรึกษากันอีกทีว่าจะทำอย่างไร” ถังลู่เหมยพูดขึ้นและจับมือพี่สะใภ้ไว้เพื่อปลอบโยน จะว่าไปเรื่องนี้เธอก็ไม่รู้สถานการณ์ในบ้านตระกูลช่ายเลย เพราะไม่เคยสอบถามสามีถึงเรื่องบ้านของพี่สะใภ้ เธอรู้เพียงว่าพี่สะใภ้ใหญ่นั้นไม่ลงรอยกันกับแม่เลี้ยงตนเอง รวมถึงน้องทั้งสองคนที่เกิดจากแม่เลี้ยงด้วย“เรื่องตระกูลช่าย ลุงสืบมาให้เรียบร้อยแล้ว รอหลานมาจัดการด้วยตนเอง แต่ยังไม่มีเวลาที่จะส่งข่าวไป ไม่คิดว่าวันนี้เหมยฮวาจะมาด้วยตนเอง” จังหวะนั้นนายท่านฉินที่เดินลงมาจากชั้นบนก็พูดขึ้น แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่แววตาก็ฉายแววกังวลออกมาเรื่องที่เขาให้คนสืบไว้นั้นจะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้าย แต่ถึงอย่างไรให้หลานสาวตัดสินใจด้วยตนเองดีกว่า อีกอย่างเขากับน้องเขยก็ไม่ได้สนิทติดเชื้อกันมากนัก จะมาให้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องในครอบครัวอีกฝ่ายก็คงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้ง
บทที่ 86 ครอบครัวพร้อมหน้าหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรียบนิ่ง แต่ดวงตานั้นกลับแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ พูดจบถังลู่เหมยก็ลุกขึ้น พร้อมกับเชือกที่มัดแขนอยู่ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเดินมายืนประจันหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “แบบนี้ฉันคงปล่อยให้เธอใช้ชีวิตตามใจชอบอีกไม่ได้แล้วนะ หลี่ซิงหง”“ทะ ทำไมแกไม่ได้ถูกมัดไว้เหรอ” หลี่ซินหงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจสุดขีด เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือก ก่อนจะมองรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่คิดว่าเป็นคนของตนเองไปยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอติดกับดักแล้ว ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เคียดแค้น“แกก็ไม่ใช่คนที่นี่สินะ แกมัน...”คราวนี้ถังลู่เหมยไม่ตอบคำถามนี้ และไม่รออีกฝ่ายพูดจนจบประโยค เธอเลือกที่จะเดินไปใกล้กว่าเดิม ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมว่า “หุบปากของหล่อนให้สนิท ถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาแม้แต่คำเดียว วันนั้นจะเป็นวันที่เธอพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต เพราะฉันจะตัดลิ้นของเธอออกมาย่างให้หมากิน จำไว้”พูดจบเธอเดินไปหาสามีที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะมีเ
บทที่ 85 จัดการขั้นเด็ดขาดถังลู่เหมยและป๋ายหลานกลับบ้านด้วยรถยนต์ของตระกูลฉินเหมือนเดิม แต่ในขณะที่กำลังนั่งรถอยู่นั้น ก็มีรถยนต์ขับตามมาหนึ่งคัน ก่อนที่รถคันนั้นจะขับแซงขึ้นมาและปาดหน้าให้รถที่ถังลู่เหมยนั่งอยู่จอดลงอย่างกะทันหัน“เกิดอะไรขึ้น” ป๋ายหลานถามขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับกุมมือลูกสะใภ้ไว้แน่น“มีรถมาจอดปาดหน้ารถของเราครับคุณนาย น่าจะเป็นโจรมาปล้น” คนขับรถวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย“ตายแล้ว แล้วเราจะทำยังไงดีละเนี่ย” ป๋ายหลานพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกว่าเดิม แม้ว่าเรื่องนี้ลูกชายกับสะใภ้บอกว่ามันอาจจะเกิดขึ้นและทั้งสองหาทางแก้ไขไว้แล้วก็ตาม“ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณแม่อยู่ในรถก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง” ถังลู่เหมยบีบมือของแม่สามีเบาๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีปกติ โดยไม่มีอาการหวาดกลัวใด ๆ เลย“ระวังตัวด้วยนะอาเหมย” ป๋ายหลานบอกกับลูกสะใภ้อย่างเป็นห่วง“ค่ะคุณแม่” หญิงสาวรับปากแม่สามี จากนั้นก็พูดกับคนขับรถว่า“ลุงไม่ต้องลงไปหรอกค่ะ ดูแล้วพวกมันมาไม่กี่คนเอง เดี๋ยวฉันจัดการได้ อีกอย่างมีคนของพี่หยางตงแอบติดตามมาด้วย แต่หากเกิดอะไรขึ้นก็รีบพาคุณแม่ไปยังที่ปลอดภัยห
บทที่ 84 ซ้อนแผน“ได้สิ พี่เคยบอกแล้วว่าหากเหมยฮวาอยากไปเมื่อไร พี่ก็พร้อมจะพาไปเสมอ ถ้าอย่างนั้นเราไปปักกิ่งกันเถอะ พี่เองก็ไม่เคยได้พบพ่อตามาก่อน อย่างน้อยก็ได้ไปยกน้ำชาสักครั้งก็ยังดี” ถังอี้คุนพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนแม้ว่าเขากับภรรยาจะจดทะเบียนและแต่งงานกันอย่างถูกต้องแล้ว แต่เรื่องที่พบหน้ากับพ่อตานั้น เขายังไม่เคยเจอและไม่เคยยกน้ำชามาก่อน ซึ่งมันก็คงไม่ดีแน่หากใครได้รับรู้เรื่องนี้ ดังนั้นการที่ภรรยาคิดจะเดินทางไปปักกิ่งในครั้งนี้ เขาจึงเห็นว่าสมควรแล้ว“ถ้าลูกทั้งสองคนตั้งใจจะไปปักกิ่ง พ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะไปกับลูกด้วย การเอาลูกสาวของเขามาโดยไม่มีการพูดจาสู่ขอกับพ่อของเหมยฮวา พ่อก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ไปครั้งนี้จะได้สู่และให้ทั้งสองคนยกน้ำชาให้ถูกต้อง” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของลูกชายและสะใภ้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ติดอยู่ในใจของเขาและภรรยามาตลอด เขามีลูกสาวก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี“อย่างนั้นพวกลูกหลานไปกันเถอะนะ เดี๋ยวแม่กับตาเฒ่าจะเฝ้าบ้านให้เอง” ย่าถังพูดสนับสนุนขึ้นมา เมื่อได้ยินลูกและหลานพูดถึงเรื่องที่จะไปปักกิ่งเพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้อง“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันทั้งหมด
บทที่ 83 ข่าวสำคัญหลังจากวันนั้น นี่ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วที่หลี่ซินหงไม่สามารถดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ได้ นั่นก็เพราะว่าถังลู่เหมยนั้นไม่ได้ออกจากบ้านตระกูลฉินอีกเลย เพราะผู้เป็นแม่สามีได้ซื้อของมากมายมาให้เธอจนแทบจะใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ซึ่งแม้จะอยากออกไปหาลู่ทางเพื่อทำการค้าของตนเอง แต่เธอก็ไม่ขัดขืนเพราะไม่อยากทำให้ทุกคนลำบากใจ โดยเฉพาะสามีของเธอทุกวันถังลู่เหมยจะทำอาหารให้ทุกคนในบ้านกิน และนั่งฟังแม่สามีเล่าเรื่องต่างๆ ในปักกิ่งให้ฟัง ป่ายหลานสอนมารยาทการเข้าสังคมให้เธออย่างใส่ใจ ซึ่งถังลู่เหมยก็ไม่ขัดอะไรเพราะเห็นสีหน้าของแม่สามีดูมีความสุขที่ได้สอนและจับเธอแต่งตัว“อาเหมยอีกสามวันจะมีงานสังคม โดยตระกูลฉินเป็นประธาน เธอเตรียมตัวด้วยนะ แม่จะพาอาเหมยออกงานอย่างเป็นทางการ” ป๋ายหลานเดินมาบอกลูกสะใภ้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องโถง ถึงเรื่องที่ตระกูลฉินจะเป็นประธานในงานเลี้ยงสมาคมการค้าในครั้งนี้ และเธอตั้งใจให้สะใภ้ได้ไปร่วมงานด้วย หลายวันมานี้เธอยอมรับสะใภ้คนนี้ได้อย่างเต็มหัวใจแล้ว ถังลู่เหมยได้ยินอย่างนั้นก็อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจเพราะนี่คือการยอมรั