กลับมายังโลกปัจจุบัน มาเฟียหนุ่มแทบคลุ้มคลั่งเมื่อเห็นว่าไฟล์ลับที่เขาเก็บไว้ถูกส่งไปยังสำนักงานตำรวจเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มเดินวนไปวนมาอย่างกระวนกระวายใจ พร้อมกับมองร่างไร้วิญญาณที่นอนเกลื่อนกลาดเต็มพื้นห้อง
เขามองที่ร่างของหญิงสาวที่เป็นต้นตอของปัญหาอย่างไม่พอใจ แม้ว่าเขาจะกำจัดเธอได้สำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้นภารกิจที่เธอทำก็สำเร็จเช่นกัน ทำให้ความแค้นในใจของเขาไม่ได้ลดน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว
ชายหนุ่มรู้ว่าในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้ ตำรวจเหล่านั้นจะต้องบุกมาที่นี่อย่างแน่นอน เขาจึงได้เตรียมตัวหนีด้วยการกวาดข้าวของที่สำคัญลงกระเป๋า รวมทั้งทรัพย์สินที่เก็บไว้ในเซฟ
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังร้อนรนอยู่นั้น เขาไม่รู้เลยว่าวิญญาณของหว่านอันถิงกำลังยืนมองอยู่ หญิงสาวก้มมองร่างโปร่งแสงของตัวเองอย่างแทบไม่เชื่อสายตาว่าโลกหลังความตายนั้นมีอยู่จริง
“ตำรวจพวกนั้นทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รีบมาจับกุมล่ะ เดี๋ยวเขาก็หนีไปหรอก”
หญิงสาวรู้สึกร้อนใจกลัวว่ามาเฟียหนุ่มจะหนีไปได้สำเร็จ เธอล่องลอยไปมา ก่อนจะโผล่หน้าออกไปนอกประตู แต่เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนในชุดเครื่องแบบที่คุ้นเคยกำลังมุ่งตรงมาทางนี้เธอก็เบาใจ
หญิงสาวเฝ้ามองการจับกุมอย่างใกล้ชิด แม้ว่าเธอจะต้องเสียสละชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีใจที่สามารถกวาดล้างมาเฟียหนุ่มผู้เป็นต้นตอใหญ่ของปัญหาในสังคมที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ได้
เขาทำธุรกิจผิดกฎหมายหลายอย่าง ทั้งลักลอบนำเข้ายาเสพติด กระจายยาเหล่านั้นไปทั่วทุกตรอกทุกย่าน แม้แต่เด็กก็สามารถเข้าถึงยานรกนั้นได้อย่างง่ายดาย นี่เป็นเหตุผลที่สำนักงานตำรวจหันมาจริงจังเพื่อแก้ไขปัญหานี้มากขึ้น
เพราะเมื่อจำนวนผู้เสพสารเสพติดพุ่งขึ้นสูงมากเท่าไร การก่ออาชญากรรมก็มากขึ้นเท่านั้น ทำให้ตำรวจนั้นต้องรีบกวาดล้างต้นตอของปัญหา นั่นก็คือผู้ค้ายาเสพติดที่เป็นบ่อนทำลายชาติ
แต่นอกเหนือจากยาเสพติดแล้ว เขายังลักลอบค้ามนุษย์อีกด้วย มีหญิงสาวหลายคนที่ตกเป็นเหยื่อจากการถูกหลอกลวง ท้ายที่สุดแล้วก็ถูกส่งไปขายยังต่างประเทศ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ชะตากรรมว่ายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
หว่านอันถิงมองผลงานที่น่าภูมิใจของตนเอง ขณะที่เธอนั้นกำลังยืนหันหลังจากไปก็ได้ยินเสียงสะอื้นของใครบางคนดังขึ้น เมื่อหันกลับไป ก็พบว่าเป็นหัวหน้าของเธอที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่หน้าศพของเธอ โดยมีเพื่อนร่วมงานยืนก้มหน้าไว้อาลัย
หญิงสาวแทบไม่เชื่อสายตา ทุกคนดูเศร้าใจกับการจากไปของเธอ ทั้งก่อนหน้านี้พวกเขาแทบไม่ต้อนรับและมักจะผลักไสไล่ส่งเธอออกจากสำนักงานอยู่เสมอ
“พวกเราจะจดจำหว่านอันถิงในฐานะวีรสตรีผู้เสียสละเพื่อประเทศชาติ ไปกันเถอะ กลับสำนักงานด้วยกัน” หัวหน้าของหญิงสาวเป็นตัวแทนทุกคนพูดกับหว่านอันถิง
ทุกคนลุกขึ้นก่อนโค้งคำนับให้ร่างไร้วิญญาณ ก่อนที่ร่างของหญิงสาวจะถูกยกออกไป หว่านอันถิงรู้สึกซาบซึ้งใจ ที่อย่างน้อยทุกคนก็ยังยกย่องเชิดชูในความดีของเธอ หญิงสาวไม่รู้สึกเสียดายชีวิตเลยแม้แต่น้อย แม้ตอนนี้จะเป็นเพียงวิญญาณที่ล่องลอย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง
หว่านอันถิงติดตามหัวหน้ากลับมาที่สำนักงานตำรวจ ทุกคนเดินทางไปยังพิธีศพของเธอซึ่งจัดขึ้นอย่างใหญ่โตสมเกียรติ
“ขอบคุณทุกคนจริง ๆ ที่ยังคงนึกถึงฉัน ลาก่อน”
หญิงสาวพึมพำก่อนที่เธอนั้นจะหันหลังตั้งใจจะเดินไปตามเส้นทางของตัวเอง หว่านอันถิงไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร จะมีใครมารับเธอเหมือนในละครหรือไม่ แต่หากต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อนเธอก็จะขอใช้ชีวิตในโลกหลังความตายต่อไป
หญิงสาวเดินมาหยุดยืนที่ริมแม่น้ำ ร่างของเธอโปร่งแสงลอยไปลอยมา สายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้ากวาดมองผู้คนที่นั่งอยู่บริเวณนี้
หว่านอันถิงเกิดแล้วเติบโตโดยไร้พ่อแม่ญาติพี่น้องคอยอุ้มชูดูแล เธอรู้สึกโดดเดี่ยวบนโลกที่แสนกว้างใหญ่ ทำให้เธอนั้นมักจะใช้ชีวิตประมาท ชอบนำพาชีวิตตัวเองไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายเสมอ
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเด็กหญิงคนหนึ่งที่เดินผ่านไป ผมยาวสลวยของอีกฝ่ายปลิวไปตามสายลม แต่หว่านอันถิงกลับไม่รู้สึกถึงความเย็นที่พัดผ่านร่างกายเธอไปเลย
ขณะที่กำลังนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จู่ ๆ เธอก็เห็นแสงสว่างบางอย่างกำลังพุ่งตรงมาทางนี้ หญิงสาวลุกขึ้นยืนก่อนจะจดจ้องไปยังสิ่งนั้น เพียงครู่เดียวมันก็พุ่งกระแทกตัวเธอจนกระเด็นลอยไปไกล
หว่านอันถิงตกลงบนพื้น แต่เพราะร่างเธอเป็นเพียงวิญญาณที่โปร่งแสงทำให้ไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด เพียงแต่สติสัมปชัญญะเหมือนถูกเขย่าจนเลอะเลือนไปชั่วขณะหนึ่ง
“อะไรเนี่ย ที่นี่ที่ไหน!”
หญิงสาวมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงง ในนี้เป็นป่าลึก อีกทั้งยังมืดสนิท มีเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่สาดส่องลงมาทำให้พอมองเห็นรางๆ
หว่านอันถิงหรี่ตามองไปยังเบื้องหน้า เห็นว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ไม่ไกลจึงได้เดินเข้าไปใกล้ เธอเอื้อมมือไปตั้งใจจะแตะไหล่อีกฝ่าย แต่กลับกลายเป็นว่าเธอไม่สามารถสัมผัสตัวของหญิงสาวผู้นี้ได้
หว่านอันถิงถอยออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เธอนั้นจะย่อกายนั่งลงข้าง ๆ อีกฝ่ายที่กำลังนั่งตัวสั่นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดกลัว
“เเม่ พ่อ พี่ ฉันกลัว ฉันกลัว”
หญิงสาวพึมพำเบาๆ แต่ครู่หนึ่งก็คล้ายสติแตก เธอลุกขึ้นก่อนจะกระทืบเท้าและแหกปากร้องเสียงดัง จนหว่านอันถิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ
เธอเงยหน้ามองอีกฝ่ายอยากพิจารณา ก่อนสังเกตเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ดูไม่ค่อยปกติเท่าไรนัก สายตาอีกฝ่ายกลอกไปมา ทั้งยังไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุ้มดีคุ้มร้ายจนดูน่าหวาดหวั่น
“ทำไมคนสติไม่ดีถึงได้มาอยู่กลางป่าแบบนี้”
หว่านอันถิงมองก็พอรู้ว่าอีกคนเป็นคนสติไม่ดี เธอคิดไปต่าง ๆ นานา ก่อนจะสรุปว่าอีกฝ่ายน่าจะหลงทาง หรือไม่ก็คงจะพลัดหลงกับพ่อแม่ญาติพี่น้อง เพราะโดยปกติแล้วคงไม่มีใครปล่อยหญิงสติไม่ดีเดินทางไปไหนมาไหนเพียงลำพัง
แต่สิ่งที่ทำให้หว่านอันถิงรู้สึกงุนงงมากกว่านั้น คือทำไมเธอถึงได้โผล่มาที่นี่ และดูจากการแต่งตัวของคนตรงหน้าก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล แม้ในป่าใหญ่แห่งนี้เธอยังรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากยุคสมัยของเธอ
หว่านอันถิงลุกขึ้นก่อนจะเดินไปเดินมา มองคนตรงหน้าที่เริ่มสงบลง ก่อนจะนั่งคุดคู้กอดเข่าอยู่ที่พื้นเช่นเดิม
อากาศเริ่มเย็นลง ทำให้ถังลู่เหมยรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูก เธอนั่งตัวสั่นปากซีด ทำให้หว่านอันถิงรู้สึกเป็นห่วง แม้จะเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน แต่ในฐานะเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก เธอก็ทนเห็นอีกฝ่ายทรมานไม่ได้ หญิงสาวลอยไปลอยมา ตั้งใจว่าจะหาของบางอย่างเพื่อมาบรรเทาความหนาวให้อีกฝ่าย แต่ในป่าลึกแห่งนี้ก็หาสิ่งของเหล่านั้นได้ยากยิ่ง
“ฮือ หนาว”
ถังลู่เหมยพูดออกมาเบา ๆ เธอปากซีดลงเรื่อย ๆ ด้วยความที่เกิดมาไม่ปกติตั้งแต่แรก ทำให้ร่างกายนั้นอ่อนแอกว่าผู้คนทั่วไป หญิงสาวล้มตัวนอนลงบนใบไม้ ก่อนจะขดตัวและกอดขาเอาไว้แน่น
“แม่ หนาว หนาว”
หญิงสาวพึมพำก่อนจะหลับตาลง
หว่านอันถิงที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บใจที่ช่วยเหลืออะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลย เธอลอยไปลอยมาไม่อาจนิ่งเฉย ก่อนที่จะได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากทางด้านหลัง
“อาเหมย!”
เสียงตะโกนดังขึ้น แต่เพราะเป็นเสียงของผู้ชาย ทำให้หญิงสาวนั้นหันมองอย่างระแวดระวัง ด้วยกลัวว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับหญิงสติไม่ดีผู้นี้
“อาเหมย เธออยู่ไหน”
ถังอี้คุณตะโกนเรียกน้องสาวเสียงดังสนั่นลั่นป่า หวังให้ถังลู่เหมยได้ยินเสียงเขาแล้ววิ่งถลาเข้ามาหา หญิงสาวที่นอนอยู่บนพื้นได้ยินเสียงนั้นก็รีบเด้งตัวลุกขึ้นมา ก่อนที่เธอจะตะโกนเรียกพ่อและพี่ชายเสียงดัง
“พี่ พ่อ ฉะ ฉัน อยู่ตรงนี้นะ อยู่ตรงนี้!”
บทส่งท้าย ครอบครัวที่สมบูรณ์หลังจากวันนั้นนี่ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว เรื่องที่ช่ายจื่อเฉิงจัดการก็เงียบไปเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจบเรื่องนี้ด้วยวิธีใด และไม่มีใครได้พบเห็นสามแม่ลูกนั้นอีกเลย บ้างก็ว่าปี้เจียวหลานหนีตามใครบางคนไปส่วนทั้งสองคนนั้นก็มีข่าวลือว่าไม่ใช่ลูกของนายท่านช่าย ในวงสังคมต่างพูดถึงเรื่องนี้และมีข่าวลือแตกต่างกันไปคนละแบบ ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องเท็จ แต่สิ่งที่จริงนั้นคือทั้งสามคนหายไปจากวงสังคมของปักกิ่ง“ความโหดร้ายของช่ายจื่อเฉิงไม่มีใครเทียบได้หรอก สมัยที่เขายังเป็นหนุ่มก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นฝีมือ กว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นมาได้จนมีทุกอย่างเหมือนทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน” ฉินจิ้งเหยาพูดขึ้นมาท่ามกลางทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง“ช่างมันเถอะค่ะคุณลุง อย่างไรเรื่องราวก็จบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากรับรู้ว่าสามคนแม่ลูกนั่นไปอยู่ที่ไหน ขอแค่ไม่มาวุ่นวายกับพวกเราก็พอแล้วค่ะ”ช่ายเหมยฮวาพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่อยากรับรู้อะไรมากนัก แต่คิดว่าทั้งสามคนคงยังมีชีวิตอยู่ เพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงขอร้องพ่อไปว่าไม่ว่าพ่อจะจัดการสาม
บทที่ 87 ได้เวลาจัดการให้สิ้นซาก“พี่รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ ลางสังหรณ์มันบอกอะไรแปลก ๆ ทำให้พี่ไม่สบายใจ เลยอยากกลับมาเยี่ยมคุณพ่อ” เธอตอบกลับน้องสะใภ้ไปตามตรงเพราะสายตาซ่อนความกังวลไว้ไม่มิด“อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะคะ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เดี๋ยวรอพี่หยางกลับมาก่อนค่อยปรึกษากันอีกทีว่าจะทำอย่างไร” ถังลู่เหมยพูดขึ้นและจับมือพี่สะใภ้ไว้เพื่อปลอบโยน จะว่าไปเรื่องนี้เธอก็ไม่รู้สถานการณ์ในบ้านตระกูลช่ายเลย เพราะไม่เคยสอบถามสามีถึงเรื่องบ้านของพี่สะใภ้ เธอรู้เพียงว่าพี่สะใภ้ใหญ่นั้นไม่ลงรอยกันกับแม่เลี้ยงตนเอง รวมถึงน้องทั้งสองคนที่เกิดจากแม่เลี้ยงด้วย“เรื่องตระกูลช่าย ลุงสืบมาให้เรียบร้อยแล้ว รอหลานมาจัดการด้วยตนเอง แต่ยังไม่มีเวลาที่จะส่งข่าวไป ไม่คิดว่าวันนี้เหมยฮวาจะมาด้วยตนเอง” จังหวะนั้นนายท่านฉินที่เดินลงมาจากชั้นบนก็พูดขึ้น แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่แววตาก็ฉายแววกังวลออกมาเรื่องที่เขาให้คนสืบไว้นั้นจะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้าย แต่ถึงอย่างไรให้หลานสาวตัดสินใจด้วยตนเองดีกว่า อีกอย่างเขากับน้องเขยก็ไม่ได้สนิทติดเชื้อกันมากนัก จะมาให้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องในครอบครัวอีกฝ่ายก็คงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้ง
บทที่ 86 ครอบครัวพร้อมหน้าหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรียบนิ่ง แต่ดวงตานั้นกลับแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ พูดจบถังลู่เหมยก็ลุกขึ้น พร้อมกับเชือกที่มัดแขนอยู่ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเดินมายืนประจันหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “แบบนี้ฉันคงปล่อยให้เธอใช้ชีวิตตามใจชอบอีกไม่ได้แล้วนะ หลี่ซิงหง”“ทะ ทำไมแกไม่ได้ถูกมัดไว้เหรอ” หลี่ซินหงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจสุดขีด เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือก ก่อนจะมองรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่คิดว่าเป็นคนของตนเองไปยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอติดกับดักแล้ว ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เคียดแค้น“แกก็ไม่ใช่คนที่นี่สินะ แกมัน...”คราวนี้ถังลู่เหมยไม่ตอบคำถามนี้ และไม่รออีกฝ่ายพูดจนจบประโยค เธอเลือกที่จะเดินไปใกล้กว่าเดิม ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมว่า “หุบปากของหล่อนให้สนิท ถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาแม้แต่คำเดียว วันนั้นจะเป็นวันที่เธอพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต เพราะฉันจะตัดลิ้นของเธอออกมาย่างให้หมากิน จำไว้”พูดจบเธอเดินไปหาสามีที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะมีเ
บทที่ 85 จัดการขั้นเด็ดขาดถังลู่เหมยและป๋ายหลานกลับบ้านด้วยรถยนต์ของตระกูลฉินเหมือนเดิม แต่ในขณะที่กำลังนั่งรถอยู่นั้น ก็มีรถยนต์ขับตามมาหนึ่งคัน ก่อนที่รถคันนั้นจะขับแซงขึ้นมาและปาดหน้าให้รถที่ถังลู่เหมยนั่งอยู่จอดลงอย่างกะทันหัน“เกิดอะไรขึ้น” ป๋ายหลานถามขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับกุมมือลูกสะใภ้ไว้แน่น“มีรถมาจอดปาดหน้ารถของเราครับคุณนาย น่าจะเป็นโจรมาปล้น” คนขับรถวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย“ตายแล้ว แล้วเราจะทำยังไงดีละเนี่ย” ป๋ายหลานพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกว่าเดิม แม้ว่าเรื่องนี้ลูกชายกับสะใภ้บอกว่ามันอาจจะเกิดขึ้นและทั้งสองหาทางแก้ไขไว้แล้วก็ตาม“ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณแม่อยู่ในรถก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง” ถังลู่เหมยบีบมือของแม่สามีเบาๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีปกติ โดยไม่มีอาการหวาดกลัวใด ๆ เลย“ระวังตัวด้วยนะอาเหมย” ป๋ายหลานบอกกับลูกสะใภ้อย่างเป็นห่วง“ค่ะคุณแม่” หญิงสาวรับปากแม่สามี จากนั้นก็พูดกับคนขับรถว่า“ลุงไม่ต้องลงไปหรอกค่ะ ดูแล้วพวกมันมาไม่กี่คนเอง เดี๋ยวฉันจัดการได้ อีกอย่างมีคนของพี่หยางตงแอบติดตามมาด้วย แต่หากเกิดอะไรขึ้นก็รีบพาคุณแม่ไปยังที่ปลอดภัยห
บทที่ 84 ซ้อนแผน“ได้สิ พี่เคยบอกแล้วว่าหากเหมยฮวาอยากไปเมื่อไร พี่ก็พร้อมจะพาไปเสมอ ถ้าอย่างนั้นเราไปปักกิ่งกันเถอะ พี่เองก็ไม่เคยได้พบพ่อตามาก่อน อย่างน้อยก็ได้ไปยกน้ำชาสักครั้งก็ยังดี” ถังอี้คุนพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนแม้ว่าเขากับภรรยาจะจดทะเบียนและแต่งงานกันอย่างถูกต้องแล้ว แต่เรื่องที่พบหน้ากับพ่อตานั้น เขายังไม่เคยเจอและไม่เคยยกน้ำชามาก่อน ซึ่งมันก็คงไม่ดีแน่หากใครได้รับรู้เรื่องนี้ ดังนั้นการที่ภรรยาคิดจะเดินทางไปปักกิ่งในครั้งนี้ เขาจึงเห็นว่าสมควรแล้ว“ถ้าลูกทั้งสองคนตั้งใจจะไปปักกิ่ง พ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะไปกับลูกด้วย การเอาลูกสาวของเขามาโดยไม่มีการพูดจาสู่ขอกับพ่อของเหมยฮวา พ่อก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ไปครั้งนี้จะได้สู่และให้ทั้งสองคนยกน้ำชาให้ถูกต้อง” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของลูกชายและสะใภ้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ติดอยู่ในใจของเขาและภรรยามาตลอด เขามีลูกสาวก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี“อย่างนั้นพวกลูกหลานไปกันเถอะนะ เดี๋ยวแม่กับตาเฒ่าจะเฝ้าบ้านให้เอง” ย่าถังพูดสนับสนุนขึ้นมา เมื่อได้ยินลูกและหลานพูดถึงเรื่องที่จะไปปักกิ่งเพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้อง“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันทั้งหมด
บทที่ 83 ข่าวสำคัญหลังจากวันนั้น นี่ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วที่หลี่ซินหงไม่สามารถดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ได้ นั่นก็เพราะว่าถังลู่เหมยนั้นไม่ได้ออกจากบ้านตระกูลฉินอีกเลย เพราะผู้เป็นแม่สามีได้ซื้อของมากมายมาให้เธอจนแทบจะใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ซึ่งแม้จะอยากออกไปหาลู่ทางเพื่อทำการค้าของตนเอง แต่เธอก็ไม่ขัดขืนเพราะไม่อยากทำให้ทุกคนลำบากใจ โดยเฉพาะสามีของเธอทุกวันถังลู่เหมยจะทำอาหารให้ทุกคนในบ้านกิน และนั่งฟังแม่สามีเล่าเรื่องต่างๆ ในปักกิ่งให้ฟัง ป่ายหลานสอนมารยาทการเข้าสังคมให้เธออย่างใส่ใจ ซึ่งถังลู่เหมยก็ไม่ขัดอะไรเพราะเห็นสีหน้าของแม่สามีดูมีความสุขที่ได้สอนและจับเธอแต่งตัว“อาเหมยอีกสามวันจะมีงานสังคม โดยตระกูลฉินเป็นประธาน เธอเตรียมตัวด้วยนะ แม่จะพาอาเหมยออกงานอย่างเป็นทางการ” ป๋ายหลานเดินมาบอกลูกสะใภ้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องโถง ถึงเรื่องที่ตระกูลฉินจะเป็นประธานในงานเลี้ยงสมาคมการค้าในครั้งนี้ และเธอตั้งใจให้สะใภ้ได้ไปร่วมงานด้วย หลายวันมานี้เธอยอมรับสะใภ้คนนี้ได้อย่างเต็มหัวใจแล้ว ถังลู่เหมยได้ยินอย่างนั้นก็อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจเพราะนี่คือการยอมรั