ถังเยี่ยที่ฟังอยู่ตั้งแต่ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเดินออกมาพบหน้าแม่ตนเอง ก่อนจะพูดช่วยภรรยา “แม่ แต่อาเหมยไม่สบายเป็นไข้สูงมาก อาฟางต้องอยู่ดูแลคอยเช็ดตัวให้ตลอดนะ แม่มาก็ดีแล้ว ผมขอเบิกเงินกองกลางเพื่อพาลูกไปหาหมอในเมืองหน่อยนะครับ” ถังเยี่ยพูดกับแม่อย่างใจเย็นและถือโอกาสขอเบิกเงินกองกลางเพื่อจะได้พาลูกสาวไปหาหมอ
“เงินอะไรกัน ฉันไม่มีให้เบิกหรอก รายได้บ้านเรานิดเดียวจะไปพอยาไส้อะไร ลูกแกป่วยก็ไปเก็บสมุนไพรบนเขามาต้มให้กินสิ เงินกองกลางมีไว้ใช้ในเรื่องจำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่เอามาใช้กับเด็กที่สติไม่สมประกอบและไร้ค่าอย่างลูกแก” นางยังคงยืนยันว่าไม่มีเงินให้หรือถึงมีก็ไม่ให้ นั่นก็เพราะว่าในใจอยากให้หลานสาวที่มีสติไม่สมประกอบตายไปเสียเลย เพื่อที่บ้านรองจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับนังเด็กไร้ประโยชน์นี่ แล้วไปทำงานหาเงินเข้ากองกลางเยอะ ๆ
หว่านอันถิงที่มองเหตุการณ์ทุกอย่างแล้วเธออยากจะเข้าไปขยุ้มคอของหญิงชราคนนี้เสียเหลือเกิน เธอมองว่าคนที่ไร้ประโยชน์และน่าจะรีบตายๆ ไปซะคือย่าถังมากกว่าถังลู่เหมย เพราะเหมือนว่าหญิงชราคนนี้จะมีจิตใจที่ไร้ความมนุษย์มากจนเกินไปแล้ว หลานตัวเองแท้ ๆ แต่ไม่คิดจะช่วยเหลืออะไรเลยเหมือนจงใจให้หญิงสาวที่นอนป่วยอยู่ตายไป
หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาให้กับเหตุการณ์ตรงหน้าที่เห็น และยิ่งสงสารคนบ้านรองที่ต้องมาอยู่กับยัยย่ามหาภัยคนนี้!! จึงทำให้เธออยากมีร่างเป็นมนุษย์ แล้วไปจัดการย่าถังคนนี้ซะให้อยู่หมัด
ทั้งสามคนรู้อยู่แล้วว่าต้องได้คำตอบแบบนี้ ถังอี้คุนเองก็หมดใจกับย่าแล้วเหมือนกัน เวลานี้น้องสาวเพียงคนเดียวของเขานอนทุกข์ทรมานเพราะพิษไข้ แต่คนที่ได้ชื่อว่าย่ากลับเมินเฉย แถมยังจะให้แม่เขาไปทำอาหารให้ทุกคนอีก เขาจึงเดินออกไปที่หน้าบ้าน
“แม่กลับเข้าไปดูแลอาเหมยเถอะครับ ป้าสะใภ้ก็ว่างอยู่ เพราะงานในทุ่งก็ไม่ได้ทำ น่าจะทำส่วนนี้ให้ปู่กับย่าและคนบ้านใหญ่ได้”ชายหนุ่มพูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เอ๊ะอาคุน ย่ากำลังพูดอยู่นะ” ย่าถังหันมาโวยใส่หลานชายที่ขัดคำสั่งของตนอย่างไม่พอใจทันที
“ผมรู้ครับ แต่บ้านถังของเราใช่ว่าจะมีแค่แม่ที่ทำอาหารได้ ป้าสะใภ้ใหญ่หรือหลานจากบ้านใหญ่ก็มีแขน มีขา ไม่ได้พิการอะไร ก็น่าทำได้เหมือนกันนี่ครับย่า ทำไมต้องเป็นแค่แม่เท่านั้นด้วยละครับที่ต้องไปทำอาหารและงานบ้านให้กับบ้านใหญ่ แถมต้องไปทำงานในทุ่งนาอีก ก็ให้รู้ไปว่าถ้าแม่ไม่ไปทำอาหารให้ทั้งบ้านใหญ่จะอดตาย อีกอย่างเวลานี้อาเหมยกำลังไม่สบายหนักอย่างที่แม่บอกไป แต่แทนที่ย่าจะห่วงหลาน กลับมาเร่งให้แม่ไปทำกับข้าวให้ทุกคนกินเนี่ยนะ” ถังอี้คุนพูดขึ้นมาอย่างไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น นั่นก็เพราะว่าสายตาเหลือบไปเห็นบ้านใหญ่กำลังแอบมองอยู่
พอได้ยินคนลูกชายคนโตพูดแบบนี้ เหนียงฟางไม่รอช้ารีบเดินเข้าห้องไปทันที เพื่อที่จะไปดูถังลู่เหมยที่กำลังป่วยด้วยความร้อนใจ
ถังเยี่ยเองก็ไม่คาดหวังกับผู้เป็นแม่ ต่อให้เขาจะคุกเข่าขอร้องให้ตาย แม่ก็คงไม่ให้เงินกับเขาเพื่อพาลูกสาวไปหาหมอ จึงตัดสินใจเดินกลับเข้าห้องอีกคน เพราะหากอยู่ตรงนี้เขาอาจจะพูดจาตอบโต้แม่ออกไปจนเรื่องบานปลายได้
“นี่ จะไปไหนกัน ไปทำอาหารให้ฉันกินเดี๋ยวนี้”
พอเห็นว่าลูกชายและลูกสะใภ้เดินเข้าห้องไปแล้ว หญิงชราจึงได้แต่ตะโกนออกมาและกระทืบเท้าด้วยความขัดใจ แล้วหันมามองหน้าหลานชายด้วยความโมโห แต่ถังอี้คุณไม่สนใจเขายังยืนจ้องมองกลับไปอย่างไม่ยินยอมเหมือนกัน
“แก ไอ้พวกคนอกตัญญู” ย่าถังชี้หน้าด่าหลานชายและเมื่อทำอะไรไม่ได้ นางจึงเดินกลับไปยังบ้านใหญ่ของตนเอง
เมื่อย่าถังกลับไปแล้วถังเยี่ยก็ออกไปทำงานที่คอมมูน ส่วนถังอี้คุณนั้นเขาเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปทำงานในตลาดมืดอย่างที่ตั้งใจ
วันเวลาผ่านไปค่อนวัน อาการของถังลู่เหมยไม่ดีขึ้นเลย แถมยังหนักลงเรื่อย ๆ จนเหนียงฟางใจไม่ดี
“อาเหมยลุกมากินข้าวสักหน่อยเถอะลูก อาการจะได้ดีขึ้น” เหนียงฟางพูดขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า ตอนนี้เธอเป็นห่วงลูกสาวจากใจเพราะอาการของถังลู่เหมยนั้นไม่ดีขึ้นเลย
เมื่อไม่มีท่าทีตอบสนองกลับมา เธอจึงพยายามพยุงร่างของลูกสาวเพื่อที่จะป้อนอาหารให้เธอกินสักหน่อย เผื่อว่าอาการจะดีขึ้น แต่ไม่ว่าทำอย่างไรลูกสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอนั้นก็ไม่มีการตอบสนองใด ๆ กลับมา เอาแต่นอนหายใจแผ่วเบาออกมา
“อาเหมย ทำเป็นแบบนี้ล่ะลูก อย่างนั้นรอแม่สักครู่นะ แม่จะไปตามพ่อมาเพื่อพาลูกไปหาหมอ”
เหนียงฟางเห็นอย่างนั้นจึงได้ตัดใจยอมปล่อยลูกสาวไว้ในห้องเพียงลำพัง แล้ววิ่งไปตามสามีที่คอมมูน ส่วนลูกชายเธอรู้ดีว่าเขาน่าจะอยู่ที่ตลาดมืดแล้ว เพราะก่อนจะแยกจากกัน ถังอี้คุณได้บอกผู้เป็นแม่ว่าจะไปหาเงินที่นั่น เพื่อจะได้พาน้องสาวเพียงคนเดียวไปหาหมอ
เหนียงฟางรีบออกไปจากบ้าน โดยที่ไม่รู้เลยว่าพอคล้อยหลังไม่นาน ถังลู่เหมยบุตรสาวเพียงคนเดียว ได้จากเธอและครอบครัวไปแล้วตลอดกาล
หว่านอันถิงมองดูวิญญาณของหญิงสาวออกจากร่างด้วยความตกใจ อีกทั้งร่างของถังลู่เหมยเองก็ยังส่งยิ้มให้เธอโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็ร่างโปร่งแสงคล้ายจะล่องลอยไปที่ไหนสักแห่ง เธอจึงเรียกไว้ด้วยความตกใจ
“เดี๋ยวก่อนสิ เธอกำลังจะไปไหน เธอจะตายแบบนี้ไม่ได้นะรู้ไหมว่าทุกคนในครอบครัวรักเธอมากแค่ไหน เธอจะทิ้งพวกเขาไว้กับความเสียใจได้เหรอ” ไม่พูดเพียงอย่างเดียว แต่สองมือของหว่านอันถิงพยายามคว้าร่างของอีกฝ่ายไว้อย่างสุดกำลัง
ถังลู่เหมยยอมหยุดและหันมายิ้มอ่อนหวานให้กับร่างโปรงแสงที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยน
“หมดเวลาของฉันในโลกใบนี้แล้วค่ะพี่สาว อย่างไรฉันขอฝากครอบครัวไว้ในมือพี่สาวด้วยนะคะ ลาก่อนค่ะ”
เวลานี้ถังลู่เหมยไม่มีแววตาและท่าทางเหมือนคนไร้สติปัญญาหรือมีสติไม่สมประกอบอีกแล้ว เมื่อพูดบอกลาและฝากฝังครอบครัวไว้เรียบร้อยแล้ว ร่างโปร่งแสงของเธอก็ล่องลอยออกจากห้องและหายไปทันที
“อย่าเพิ่งไปสิ กลับมาก่อน” หว่านอันถิงตะโกนตามไปอย่างร้อนรน
ซึ่งแม้ว่าหว่านอันถิงพยายามคว้าร่างของถังลู่เหมยไว้ สองขาพยายามก้าวตามไป แต่ทว่าเหมือนมีอะไรมาดึงดูดเธอไว้ จู่ ๆ ภาพในหัวของเธอก็กลายเป็นมืดสนิท พร้อมกับสติที่ดับวูบไป
และ จู่ ๆ ร่างที่นอนไร้สติก็ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงง
“โอ๊ย ทำไมปวดหัวอย่างนี้ล่ะ” ตามด้วยเสียงที่พูดขึ้นมา
หว่านอันถิงพยายามกุมขมับเพื่อลดอาการปวดหัวที่ประดังเข้ามา ก่อนจะหันไปมองสิ่งรอบกายด้วยความมึนงง แต่พอเริ่มคุ้นชินกับภาพตรงหน้า จึงรู้ได้ทันทีว่านี่คือห้องของบ้านรองถัง “อย่าบอกนะว่า...”
ทันทีที่คิดได้เธอก็แทบสิ้นสติ และเริ่มสำรวจร่างกายตนเองแต่ก็ต้องเบิกตากว้างกว่าเดิม เมื่อเห็นว่าตอนนี้เธออยู่ในร่างของถังลู่เหมย หญิงสาวผู้สติไม่สมประกอบหรือเรียกง่าย ๆ ว่าหญิงบ้าคนนั้นจริง ๆ
บทส่งท้าย ครอบครัวที่สมบูรณ์หลังจากวันนั้นนี่ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว เรื่องที่ช่ายจื่อเฉิงจัดการก็เงียบไปเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจบเรื่องนี้ด้วยวิธีใด และไม่มีใครได้พบเห็นสามแม่ลูกนั้นอีกเลย บ้างก็ว่าปี้เจียวหลานหนีตามใครบางคนไปส่วนทั้งสองคนนั้นก็มีข่าวลือว่าไม่ใช่ลูกของนายท่านช่าย ในวงสังคมต่างพูดถึงเรื่องนี้และมีข่าวลือแตกต่างกันไปคนละแบบ ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องเท็จ แต่สิ่งที่จริงนั้นคือทั้งสามคนหายไปจากวงสังคมของปักกิ่ง“ความโหดร้ายของช่ายจื่อเฉิงไม่มีใครเทียบได้หรอก สมัยที่เขายังเป็นหนุ่มก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นฝีมือ กว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นมาได้จนมีทุกอย่างเหมือนทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน” ฉินจิ้งเหยาพูดขึ้นมาท่ามกลางทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง“ช่างมันเถอะค่ะคุณลุง อย่างไรเรื่องราวก็จบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากรับรู้ว่าสามคนแม่ลูกนั่นไปอยู่ที่ไหน ขอแค่ไม่มาวุ่นวายกับพวกเราก็พอแล้วค่ะ”ช่ายเหมยฮวาพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่อยากรับรู้อะไรมากนัก แต่คิดว่าทั้งสามคนคงยังมีชีวิตอยู่ เพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงขอร้องพ่อไปว่าไม่ว่าพ่อจะจัดการสาม
บทที่ 87 ได้เวลาจัดการให้สิ้นซาก“พี่รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ ลางสังหรณ์มันบอกอะไรแปลก ๆ ทำให้พี่ไม่สบายใจ เลยอยากกลับมาเยี่ยมคุณพ่อ” เธอตอบกลับน้องสะใภ้ไปตามตรงเพราะสายตาซ่อนความกังวลไว้ไม่มิด“อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะคะ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เดี๋ยวรอพี่หยางกลับมาก่อนค่อยปรึกษากันอีกทีว่าจะทำอย่างไร” ถังลู่เหมยพูดขึ้นและจับมือพี่สะใภ้ไว้เพื่อปลอบโยน จะว่าไปเรื่องนี้เธอก็ไม่รู้สถานการณ์ในบ้านตระกูลช่ายเลย เพราะไม่เคยสอบถามสามีถึงเรื่องบ้านของพี่สะใภ้ เธอรู้เพียงว่าพี่สะใภ้ใหญ่นั้นไม่ลงรอยกันกับแม่เลี้ยงตนเอง รวมถึงน้องทั้งสองคนที่เกิดจากแม่เลี้ยงด้วย“เรื่องตระกูลช่าย ลุงสืบมาให้เรียบร้อยแล้ว รอหลานมาจัดการด้วยตนเอง แต่ยังไม่มีเวลาที่จะส่งข่าวไป ไม่คิดว่าวันนี้เหมยฮวาจะมาด้วยตนเอง” จังหวะนั้นนายท่านฉินที่เดินลงมาจากชั้นบนก็พูดขึ้น แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าแต่แววตาก็ฉายแววกังวลออกมาเรื่องที่เขาให้คนสืบไว้นั้นจะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้าย แต่ถึงอย่างไรให้หลานสาวตัดสินใจด้วยตนเองดีกว่า อีกอย่างเขากับน้องเขยก็ไม่ได้สนิทติดเชื้อกันมากนัก จะมาให้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องในครอบครัวอีกฝ่ายก็คงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้ง
บทที่ 86 ครอบครัวพร้อมหน้าหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรียบนิ่ง แต่ดวงตานั้นกลับแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ พูดจบถังลู่เหมยก็ลุกขึ้น พร้อมกับเชือกที่มัดแขนอยู่ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเดินมายืนประจันหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “แบบนี้ฉันคงปล่อยให้เธอใช้ชีวิตตามใจชอบอีกไม่ได้แล้วนะ หลี่ซิงหง”“ทะ ทำไมแกไม่ได้ถูกมัดไว้เหรอ” หลี่ซินหงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจสุดขีด เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือก ก่อนจะมองรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่คิดว่าเป็นคนของตนเองไปยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอติดกับดักแล้ว ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เคียดแค้น“แกก็ไม่ใช่คนที่นี่สินะ แกมัน...”คราวนี้ถังลู่เหมยไม่ตอบคำถามนี้ และไม่รออีกฝ่ายพูดจนจบประโยค เธอเลือกที่จะเดินไปใกล้กว่าเดิม ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมว่า “หุบปากของหล่อนให้สนิท ถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาแม้แต่คำเดียว วันนั้นจะเป็นวันที่เธอพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต เพราะฉันจะตัดลิ้นของเธอออกมาย่างให้หมากิน จำไว้”พูดจบเธอเดินไปหาสามีที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะมีเ
บทที่ 85 จัดการขั้นเด็ดขาดถังลู่เหมยและป๋ายหลานกลับบ้านด้วยรถยนต์ของตระกูลฉินเหมือนเดิม แต่ในขณะที่กำลังนั่งรถอยู่นั้น ก็มีรถยนต์ขับตามมาหนึ่งคัน ก่อนที่รถคันนั้นจะขับแซงขึ้นมาและปาดหน้าให้รถที่ถังลู่เหมยนั่งอยู่จอดลงอย่างกะทันหัน“เกิดอะไรขึ้น” ป๋ายหลานถามขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับกุมมือลูกสะใภ้ไว้แน่น“มีรถมาจอดปาดหน้ารถของเราครับคุณนาย น่าจะเป็นโจรมาปล้น” คนขับรถวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย“ตายแล้ว แล้วเราจะทำยังไงดีละเนี่ย” ป๋ายหลานพูดขึ้นมาอย่างตกใจมากกว่าเดิม แม้ว่าเรื่องนี้ลูกชายกับสะใภ้บอกว่ามันอาจจะเกิดขึ้นและทั้งสองหาทางแก้ไขไว้แล้วก็ตาม“ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณแม่อยู่ในรถก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง” ถังลู่เหมยบีบมือของแม่สามีเบาๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีปกติ โดยไม่มีอาการหวาดกลัวใด ๆ เลย“ระวังตัวด้วยนะอาเหมย” ป๋ายหลานบอกกับลูกสะใภ้อย่างเป็นห่วง“ค่ะคุณแม่” หญิงสาวรับปากแม่สามี จากนั้นก็พูดกับคนขับรถว่า“ลุงไม่ต้องลงไปหรอกค่ะ ดูแล้วพวกมันมาไม่กี่คนเอง เดี๋ยวฉันจัดการได้ อีกอย่างมีคนของพี่หยางตงแอบติดตามมาด้วย แต่หากเกิดอะไรขึ้นก็รีบพาคุณแม่ไปยังที่ปลอดภัยห
บทที่ 84 ซ้อนแผน“ได้สิ พี่เคยบอกแล้วว่าหากเหมยฮวาอยากไปเมื่อไร พี่ก็พร้อมจะพาไปเสมอ ถ้าอย่างนั้นเราไปปักกิ่งกันเถอะ พี่เองก็ไม่เคยได้พบพ่อตามาก่อน อย่างน้อยก็ได้ไปยกน้ำชาสักครั้งก็ยังดี” ถังอี้คุนพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนแม้ว่าเขากับภรรยาจะจดทะเบียนและแต่งงานกันอย่างถูกต้องแล้ว แต่เรื่องที่พบหน้ากับพ่อตานั้น เขายังไม่เคยเจอและไม่เคยยกน้ำชามาก่อน ซึ่งมันก็คงไม่ดีแน่หากใครได้รับรู้เรื่องนี้ ดังนั้นการที่ภรรยาคิดจะเดินทางไปปักกิ่งในครั้งนี้ เขาจึงเห็นว่าสมควรแล้ว“ถ้าลูกทั้งสองคนตั้งใจจะไปปักกิ่ง พ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะไปกับลูกด้วย การเอาลูกสาวของเขามาโดยไม่มีการพูดจาสู่ขอกับพ่อของเหมยฮวา พ่อก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ไปครั้งนี้จะได้สู่และให้ทั้งสองคนยกน้ำชาให้ถูกต้อง” ถังเยี่ยพูดขึ้นมาหลังจากได้ยินความตั้งใจของลูกชายและสะใภ้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ติดอยู่ในใจของเขาและภรรยามาตลอด เขามีลูกสาวก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี“อย่างนั้นพวกลูกหลานไปกันเถอะนะ เดี๋ยวแม่กับตาเฒ่าจะเฝ้าบ้านให้เอง” ย่าถังพูดสนับสนุนขึ้นมา เมื่อได้ยินลูกและหลานพูดถึงเรื่องที่จะไปปักกิ่งเพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้อง“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันทั้งหมด
บทที่ 83 ข่าวสำคัญหลังจากวันนั้น นี่ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วที่หลี่ซินหงไม่สามารถดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ได้ นั่นก็เพราะว่าถังลู่เหมยนั้นไม่ได้ออกจากบ้านตระกูลฉินอีกเลย เพราะผู้เป็นแม่สามีได้ซื้อของมากมายมาให้เธอจนแทบจะใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ซึ่งแม้จะอยากออกไปหาลู่ทางเพื่อทำการค้าของตนเอง แต่เธอก็ไม่ขัดขืนเพราะไม่อยากทำให้ทุกคนลำบากใจ โดยเฉพาะสามีของเธอทุกวันถังลู่เหมยจะทำอาหารให้ทุกคนในบ้านกิน และนั่งฟังแม่สามีเล่าเรื่องต่างๆ ในปักกิ่งให้ฟัง ป่ายหลานสอนมารยาทการเข้าสังคมให้เธออย่างใส่ใจ ซึ่งถังลู่เหมยก็ไม่ขัดอะไรเพราะเห็นสีหน้าของแม่สามีดูมีความสุขที่ได้สอนและจับเธอแต่งตัว“อาเหมยอีกสามวันจะมีงานสังคม โดยตระกูลฉินเป็นประธาน เธอเตรียมตัวด้วยนะ แม่จะพาอาเหมยออกงานอย่างเป็นทางการ” ป๋ายหลานเดินมาบอกลูกสะใภ้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องโถง ถึงเรื่องที่ตระกูลฉินจะเป็นประธานในงานเลี้ยงสมาคมการค้าในครั้งนี้ และเธอตั้งใจให้สะใภ้ได้ไปร่วมงานด้วย หลายวันมานี้เธอยอมรับสะใภ้คนนี้ได้อย่างเต็มหัวใจแล้ว ถังลู่เหมยได้ยินอย่างนั้นก็อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจเพราะนี่คือการยอมรั