“ที่ดินนั่น..แม้จะใกล้น้ำ แต่น้ำในลำธารก็แห้งไปแล้ว อีกทั้งยังมีหินเต็มไปหมดเพาะปลูกอะไรก็ไม่ได้ผลดี เจ้าไม่เปลี่ยนใจแน่นะ” ผู้เฒ่าเจียงถามย้ำเสียงเข้ม
“จริงอย่างที่ท่านพ่อสามีว่า อาเหิงไม่เคยทำนา หากใช้ที่ดินทำประโยชน์อะไรไม่ได้ก็จะขายที่กินสิไม่ว่า! ใช่ว่าพอหมดตัวแล้วก็จะพากันหอบกลับมาอาศัยที่เรือนใหญ่อีกครั้งเล่า?” นางหลี่ซื่อแย้ง
“หากอาสะใภ้กังวลก็เชิญหูซุนจ่าง (หัวหน้าหมู่บ้านแซ่หู) มาทำบันทึกข้อตกลงเรื่องแยกเรือนเอาไว้ก็ได้นะขอรับ” เจียงเหิงเสนอ
“ดี! เช่นนั้นก็ให้เสี่ยวเหวินไปตามหูซ่างซุนมาเลย ทำเรื่องแยกบ้านเสียให้จบวันนี้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องมาเสียเวลาคิดค่าข้าวค่าน้ำกันอีกให้วุ่นวาย” หลี่ซื่อรีบสนับสนุนเพราะเกรงว่าเจียงเหิงจะเปลี่ยนใจ
ผ่านไปครู่ใหญ่ หูซ่างซุนก็เดินทางมาถึงเรือนสกุลเจียงพร้อมกับเจียงเสี่ยวเหวินบุตรชายวัยสิบสี่ปีของเจียงซืออวี่
หูซ่างซุนเองก็รู้เรื่องที่บัณฑิตเจียงรับเอาหลานสาวบ้านกู้มาไว้ในเรือนแล้วเช่นกัน
“ข้าคิดอยู่ว่าวันนี้สกุลเจียงต้องเกิดปัญหาแน่ พวกเจ้าไตร่ตรองกันดีแล้วหรือ?” หูซ่างซุนหันมองหน้าคนสกุลเจียงทีละคน
“อาเหิงก็โตแล้วแยกเรือนไปก็ดีจะได้รู้จักรับผิดชอบครอบครัว” ย่าเหยาเอ่ยปากยืนยันเป็นคนแรก
“ส่วนข้า..หากข้าได้รับข้าวของที่จำเป็นในการแยกเรือนไปตามสมควร ก็ไม่มีอะไรจะคัดค้านขอรับ” เจียงเหิงค้อมศีรษะด้วยความสุภาพ เขารู้ว่าหูซ่างซุนเป็นคนฉลาดและยุติธรรม ย่อมเข้าใจปัญหาของตนอย่างแน่แท้
หลี่ซื่อแอบหยิกไปที่สีข้างของสามี นางไม่กล้าสอดปากต่อหน้าผู้อาวุโสหู ตนเป็นเพียงสะใภ้อย่างไรก็ต้องให้หน้าพ่อแม่สามีไว้บ้าง
“แยกเรือนกันเองข้ากลัวว่าจะมีปัญหาขอรับ ท่านก็รู้ว่าหลานชายข้าฉลาดแต่สมอง แต่กลับทำงานไม่เป็น ยามนี้ต้องมีภาระเลี้ยงดูสตรีอีกสองคน เกรงว่าภายหน้า..”
“เจ้าคิดแต่ว่าเขาจะไปไม่รอด แล้วหากเจียงซิ่วไฉร่ำรวยได้ดิบได้ดีขึ้นมาภายหลังเล่า? ไม่คิดจะพึ่งพากันในภายหลังเลยหรือไร"
กู้ชิงเหอแอบชำเลืองมองใบหน้าชราของหูซ่างซุน ตัวละครตัวนี้นางมั่นใจว่าเขาไม่ได้ปรากฏตัวในนิยาย และคาดว่าน่าจะมีอีกหลายตัวละครที่ไม่ได้ถูกบรรยายบทบาทให้ละเอียดเช่นนี้อีกหลายคน
หูซ่างซุน อายุราวหกสิบปลาย แม้หลังจะงองุ้มเล็กน้อยตามวัย ผิวกร้านแดดกรำฝน แต่แววตายังคมกริบทว่าทอประกายแห่งความเมตตาและคุณธรรม
จากคำพูดที่ไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดของหูซ่างซุนทำให้กู้ชิงเหอแอบจดบันทึกชื่อนี้ไว้ในใจ เขาคือคนที่น่าคบหาและไว้วางใจได้คนหนึ่งทีเดียว!
“ก็แค่แยกบ้าน เราไม่ได้แยกสกุลเสียหน่อย ทุกอย่างก็เหมือนเดิมนั่นล่ะเหตุใดจึงต้องยุ่งยากกันนักเล่า” ย่าเหยาเอ่ยอย่างรำคาญใจ
หูซ่างซุนส่ายหน้า
“ไม่แยกสกุลนั้นข้ารู้ แต่ปัญหาของพวกเจ้าก็คือเรื่องเงินๆ ทองๆ มิใช่หรือถึงต้องให้เสี่ยวเหวินวิ่งไปเชิญตัวข้ามาทำข้อตกลงกัน” ชายชราหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ
“แยกเรือนกันแล้วข้าวของในเรือนก็ต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน เงินทองก็เช่นกัน ข้าถามหน่อยเถิดหลานชายซืออวี่ หากวันหนึ่งเมื่อฝนฟ้าเป็นใจ เจ้าค้าขายผลผลิตได้ร่ำรวยแล้วคิดจะแบ่งเงินไปให้หลานชายเจ้าใช้บ้างหรือไม่?”
“เรื่องอะไรต้องแบ่งให้เขาเล่า! อาเหิงขอแบ่งที่นาไปตั้งสิบสองหมู่ หากเขาทำกินไม่ได้ก็ไม่ใช่ธุระของข้าเสียหน่อย”
“นั่นสินะ เช่นนั้นหากวันหน้าเจียงเหิงร่ำรวยขึ้นมาบ้างเล่า? เขาก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งเงินมาให้พวกเจ้าใช้เช่นกันใช่หรือไม่?”
หลี่ซื่อเบ้ปาก เจียงเหิงอาศัยเงินของมารดาจึงมีโอกาสได้ร่ำเรียนและบังเอิญสอบเป็นซิ่วไฉได้ก็เท่านั้น!
ถึงนางจะไม่รู้หนังสือแต่ก็รู้ว่าหลานชายอ่านตำราเล่มเดิมๆ ซ้ำอยู่เพียงไม่กี่เล่มแล้วจะก้าวหน้าเกินไปกว่านี้ได้อย่างไรกัน!
หากจะหวังให้เจียงเหิงสอบผ่านระดับจวี่เหรินร่ำรวยเงินทองสร้างฐานะขึ้นมาได้ มิสู้บอกให้นางรอให้หมูออกลูกเป็นวัวยังจะง่ายกว่า!
“ข้าวสารเม็ดเดียวก็ยังต้องใช้เงินซื้อ ฟืนหนึ่งท่อนก็ต้องใช้แรงคนไปตัด แม้จะเป็นคนในสกุลเดียวกันก็สมควรต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน" หลี่ซื่อแสร้งตีหน้าเศร้าหันไปค้อมตัวให้หูซ่างซุน
"ท่านแม่สามีคงยังคิดห่วงหลานชายอยู่น่ะเจ้าคะ ทำให้ซุนจ่างต้องเสียเวลาแล้ว เอาเป็นว่าข้ากับสามีจะยอมให้หลานทั้งสองมาหยิบฉวยข้าวของในเรือนไปใช้กันตามชอบดังเดิมก็แล้วกัน”
“ก็คงต้องตามนั้นล่ะ แต่ก่อนเราก็ได้เงินของพี่สะใภ้ใหญ่มาจุนเจือครอบครัวก็ต้องยอมทำงานชดใช้ อาเหิงอยากทำสิ่งใดก็ตามใจเขาเถิด” เจียงซืออวี่ทำเป็นน้อยอกน้อยใจในโชคชะตา
“ข้า..ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น!” ย่าเหยารีบปฏิเสธ “แยกก็แยก! เงิน เสบียง เครื่องใช้ ที่นา แยกกันให้หมดเลย! จากนี้ต่อไปเราจะใช้เพียงสกุลร่วมกันเท่านั้น ใครอยากได้อะไรเพิ่มเติมก็ซื้อหากันเอาเอง!”
กู้ชิงเหออยากจะหัวเราะให้ฟันหัก หากนางหลี่ซื่อกับย่าเหยารู้ว่าภายหลังเจียงเหิงจะมีทั้งอำนาจและบารมี พวกนางจะเสียใจกับคำพูดของตนเองในวันนี้หรือไม่!
และนางก็ชักจะสงสัยแล้วสิว่า หลี่ซื่ออาสะใภ้สกุลเจียงกับหวางซื่อป้าสะใภ้สกุลกู้ของนางเป็นญาติพี่น้องที่พลัดพรากจากกันมาหรือไม่ เหตุใดพวกนางจึงได้มีนิสัยเสีย เห็นแก่ตัว เล่นละครเก่งเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน!!
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายตกลงยินยอมกันเป็นมั่นเหมาะแล้ว หูซ่างซุนก็เริ่มทำบันทึกแบ่งแยกทรัพย์สินในเรือนให้เจียงเหิงกับเจียงซืออวี่คนละครึ่ง
พวกธัญพืชบางอย่างเขาก็จัดการแบ่งให้ตามสัดส่วนจำนวนคน แต่ของใช้จำเป็นอย่างพวกหม้อไหหรือเครื่องมือการเกษตรล้วนถูกแบ่งให้อย่างยุติธรรม
“ตอนนี้ในเรือนมีเงินทั้งหมดเท่าใดเล่านางเหยา เอาออกมาแบ่งกันเสียจะได้หมดเรื่องเสียที” หูซ่างซุนวางพู่กันพลางเงยหน้ามองย่าเหยา
ย่าเหยาอิดออดอยู่อีกนานสองนาน ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องพักแล้วกลับมาพร้อมกับหีบไม้ใบเล็ก
หูซ่างซุนถามย้ำ “เอาออกมาทั้งหมดแล้วแน่นะ?"
“หมดแล้ว!! เหลืออยู่ไม่กี่มากน้อยเท่านี้ ข้าจะเอาที่ไหนไปซุกซ่อนไว้ได้อีกเล่า!”
หูซ่างซุนเปิดหีบออกมานับ “สามตำลึงกับหกร้อยสิบสามอีแปะ”
หลี่ซื่อถึงกับกัดฟันกรอด วันก่อนเสี่ยวเหวินร้องขอกินไข่เพียงครึ่งฟอง แม่สามีกลับก่นด่าเสียมากมายว่าในเรือนไม่เหลือเงินพอซื้อไข่ แต่นางกลับมีเงินเก็บซ่อนอยู่มากกว่าสามตำลึง!!
"ซุนจ่าง" (村长) หมายถึง "หัวหน้าหมู่บ้าน" ในนิยาย หูซ่างซุนเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน บางครั้งจึงถูกเรียกว่าหูซุนจ่าง (หัวหน้าหมู่บ้านแซ่หู)
เจียงเหิงกัดฟันแน่น เจียงไห่สามีของแม่นมหายตัวไปจริง แต่คนที่แม่นมลั่วคิดจะออกไปตามหาในเวลานั้นไม่ใช่เขาในปีนั้น กวานจิ้งหยวน บิดาที่แท้จริงของเขาถูกผู้มีอำนาจใส่ความว่ากบฏ จึงรีบส่งคนมาบอกให้มารดาของเขารีบหนีออกจากจวนโดยด่วนระหว่างทาง รถม้าที่พวกเขาโดยสารถูกคนร้ายติดตามไม่ลดละ ทหารที่คุ้มกันจำต้องลวงศัตรูให้แยกไปอีกทางปล่อยให้สามแม่ลูกหลบหนีมาพร้อมกับลั่วหลินและบุตรสาวของนางแต่ก่อนจะถึงหมู่บ้านเกาซาน รถม้ากลับลื่นตกเหว แม่นมลั่วคว้าตัวเจียงเหยียนไว้ได้ทัน ส่วนเขาก็กระเด็นออกมาอยู่บนพื้นดิน… ทว่าเบื้องล่างเหวนั้นกลับกลืนร่างของ จางเหยามารดาของตนและบุตรสาวของแม่นมไปพร้อมกันลั่วหลินในเวลานั้นมิใช่ไม่อยากเสี่ยงชีวิตลงไป แต่เหวลึกชันนัก ต่อให้เดินอ้อมภูเขาหลายลูกเพื่อหาทางลงไปถึงก้นเหวก็ไม่รู้ว่ากว่าจะไปถึงจะยังเหลือสิ่งใดให้ค้นหา พวกเขาสามคนนั่งร่ำไห้อยู่บนปากเหวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร แม่นมลั่วสูญเสียบุตรสาว ตัวเขาเองก็เสียใจที่เห็นมารดาตกเหวลึกไปต่อหน้า แต่เจียงเหยียนนั้นอาการหนักที่สุด นางตกใจอย่างรุนแรงตาค้างจนหมดสติ สุดท้ายแม่นมลั่วก็ต้องกัดฟันพาเขาและน้องสาวเดินทางต่อจนถึงหมู่บ
สวี่อี้หมิงไม่เพียงไม่ยอมตามน้ำ หากยังตอกย้ำเสียงดังฟังชัด“เมื่อครู่ข้าเพิ่งมอบเงินร้อยตำลึงให้นางหนูนั่นใช้ขยายเรือน เงินนั่นยังมากพอจะซื้ออุปกรณ์การเรียนให้เด็กๆ ในหมู่บ้านได้อีกด้วยซ้ำ ข้าจะอยู่ตรงไหนก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนให้ผู้ใดมาจัดหา”กู้ชิงเหออ้าปากตาค้าง ดวงตากลมเบิกโพลง นางนึกว่าเงินนั้นได้มาเปล่าๆ ที่ไหนได้ กลายเป็นว่าต้องใช้สร้างเรือน ต้องจัดหาอาหารการกินเลี้ยงดูท่านผู้สูงส่งผู้นี้ แล้วยังต้องแบกรับภาระซื้อของแจกเด็กๆ อีก! หากมิใช่ว่านางยังหวังจะให้เขาช่วยชี้แนะเจียงเหิงในเรื่องการสอบจวี่เหรินที่ใกล้จะมาถึง นางคงตะเพิดเขาออกไปตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว!!ฝ่ายหลี่ซื่อ เมื่อได้ยินว่าเงินก้อนโตถึงร้อยตำลึงไปตกอยู่ในมือของกู้ชิงเหอ ดวงตาก็ลุกวาวด้วยความโลภทันที ความอิจฉาผสมโกรธจนอกแทบระเบิด นางรีบแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยสวี่อี้หมิง“เอาเงินตั้งร้อยตำลึงไปไว้กับเด็กสาวไม่รู้ประสาเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากเอาไปเผาไฟเล่นหรอกเจ้าค่ะ! ไม่สู้มอบมาให้ข้าจัดการเถิด รับรองจะทำได้ดีกว่า”นางปรายตามองกู้ชิงเหออย่างเยาะหยัน ก่อนเอ่ยต่อราวกับตัดสินแทนทุกคน“อย่างไรก็สกุลเจียงด้วยกันทั้
“ท่านแม่! ท่านมาวุ่นวายอะไรที่นี่!” เจียงเสี่ยวเหวินรีบเข้ามาแทรกอยู่ตรงกลาง บดบังสายตาของเจียงเหิงไว้ ทำให้เจียงเหิงต้องพยายามทำใจให้เย็นลง ต่อให้เขาเกลียดสตรีผู้นี้เพียงใด นางก็เป็นมารดาของเจียงเสี่ยวเหวินอยู่ดีหลี่ซื่อค้อนบุตรชายทีหนึ่ง แต่ไม่กล้าบ่นอะไรมากต่อหน้าเจียงเหิง นางจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเปลี่ยนเรื่อง“ข้าได้ยินท่านย่าเจ้าบอกว่ามีขุนนางเข้ามาตรวจสอบฝ้ายมิใช่หรือ? ข้าอยากมาถามให้แน่ใจว่าฝ้ายพวกนี้จะขายได้ราคาดีจริงหรือไม่น่ะสิ” ชาวบ้านที่ติดตามลูกๆ ของตนมาด้วยทำสีหน้างุนงง เจียงเสี่ยวเหวินวิ่งออกไปบอกกับสหายของเขาในหมู่บ้านว่ายามนี้มีอาจารย์จากเมืองหลวงมาพักอยู่ที่เรือนเจียงซิ่วไฉ และยังจะสอนหนังสือให้เขากับกู้ชิงฉีด้วย เด็กๆ อยากเห็นอาจารย์จากในวังจึงได้ตามเสี่ยวเหวินมา ส่วนพวกตนที่ได้ยินข่าวก็เดินตามมาด้วยหวังจะมาเคารพท่านอาจารย์จากในเมืองสักครั้ง แต่เหตุใดหลี่ซื่อจึงบอกว่าคนผู้นั้นเป็นขุนนางที่มาตรวจสอบฝ้ายเล่า? “ขุนนางตรวจสอบฝ้ายอันใดกันหลี่ซื่อ? บุตรชายเจ้าบอกว่าที่เรือนของเจียงซิ่วไฉมีท่านอาจารย์มาพำนักอยู่ด้วยต่างหาก!” สตรีนางหนึ่งตำหนิ เกรงว่าคำพูดไม่รู้ควา
กู้ชิงเหอรู้สึกหนักใจเล็กน้อย เมื่อครู่ที่นางกล่าวว่าเชื่อเขานั้น นางไม่ได้พูดปดเลยสักนิดแม้จะไม่แน่ชัดว่าสวี่อี้หมิงเคยเกี่ยวพันกับฮ่องเต้จริงหรือไม่ แต่นางรู้สึกว่าระหว่างเขากับเจียงเหิงดูเหมือนคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน ที่สำคัญ..ตัวละครที่ปรากฏตัวออกมาอย่างน่าตื่นตะลึงเช่นสวี่อี้หมิงจะไม่มีบทบาทใดเลยหรือ? เขาน่าจะเป็นตัวปัญหาอย่างที่นางคิดไว้แต่แรก และอาจเป็นผู้ชักจูงเจียงเหิงให้เปลี่ยนแปลงไปในทางร้ายด้วยซ้ำ!!กู้ชิงเหอหลับตาลงชั่วครู่ นึกถึงภาพเจียงเหิงในอนาคตที่นางเคยอ่านในนิยาย ชายหนุ่มผู้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งขุนนางใหญ่ในราชสำนัก เป็นผู้มากด้วยเล่ห์เหลี่ยม คำพูดทุกคำแฝงคมมีด ทุกย่างก้าวบดขยี้ผู้อื่นโดยไร้ความลังเล ในตำแหน่งเดิมเขาอาจดูสงบเยือกเย็น ทว่าแท้จริงแล้วเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต เหมือนงูพิษที่เงียบเชียบแต่พร้อมจะฉกกัดทุกเมื่อบุคคลเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าขวางทาง ไม่ว่าจะขุนนาง ขันที หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ล้วนต้องถอยให้เขาสามก้าว แค่เอ่ยนาม “เจียงเหิง” ก็เพียงพอจะทำให้ทั้งราชสำนักสะท้านหวาดหวั่นทว่าบุรุษตรงหน้ากลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง สวี่อี้หมิงเป็นคนอวดดีตรงไปตรงมา ร้
“อาเหิง เจ้ากลับมาแล้ว เช่นนั้นข้ากับย่าเจ้าจะกลับเรือนใหญ่ล่ะนะ” ท่านปู่ตะโกนเรียกเสียงดัง “เสี่ยวเหวิน คืนนี้เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนพี่ใหญ่เถิด ข้าจะบอกแม่เจ้าเอง” ผู้เฒ่าเจียงยังไม่วางใจนัก จึงกำชับต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นย่าเหยาเม้มปากแน่น หากผู้เฒ่าเจียงไม่สั่งความเช่นนี้นางก็คงไม่คิดมาก แต่ตอนนี้นางเริ่มห่วงว่าหากคนร้ายตามสวี่อี้หมิงมาถึงเรือนของหลานชายเล่า? จะมีอันตรายอะไรกับเด็กๆ หรือไม่ หญิงชราลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวมาหาหลานรัก “หากเกิดเหตุร้ายแรงอันใด…เจ้าต้องรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น วิ่งไปเรือนหูซุนจ่างก็แล้วกัน ไม่ต้องกลับไปที่เรือนเราหรอก บิดาเจ้าก็ช่วยเหลือใครไม่ได้อยู่ดี”กู้ชิงเหอได้ยินถ้อยคำนั้น มุมปากก็ยกยิ้มจาง ๆ ในใจแอบคิดว่า แม้ท่านย่าเหยาจะเคยลำเอียงจนทำให้สองพี่น้องลำบาก แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะรักเสี่ยวเหวินมากเกินไป หาใช่เพราะโหดร้ายอันใด ที่แท้ในใจนางก็ยังคิดห่วงเจียงเหิงกับเจียงเหยียนอยู่บ้างต่างจากกู้ต้าซุนกับหวางชุ่นฮวา ที่กล้าขายหลานกินอย่างไม่น่าให้อภัย!!คืนนั้น เจียงเหิงพากู้ชิงฉีและเจียงเสี่ยวเหวินมาปูเสื่ออยู่หน้าห้อง ปล่อยให้สวี่อ
สวี่อี้หมิงถูกปู่เจียงกับกู้ชิงฉีช่วยกันพาเข้าไปนอนในห้องของเจียงเหิงที่ไม่ได้กลับมานอนที่เรือนหลายวันแล้ว กู้ชิงฉีคอยเป็นลูกมือพร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้เฒ่าเจียงฟัง ระหว่างที่เขาช่วยจัดการบาดแผลบนหน้าอกให้กับชายแปลกหน้า พอสวี่อี้หมิงหลับไปแล้ว ชายชราก็ยังนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง บางครั้งก็ลุกขึ้นชะเง้อมองไปทางหน้าเรือนไม่หยุด จนเจียงเหยียนต้องเตือนให้เขาพักผ่อนบ้าง“ในเรือนมีแต่สตรีกับเด็ก ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าอยู่กับชายแปลกหน้าเพียงลำพังได้อย่างไร” ท่านปู่บ่น“ข้าขออภัยด้วยเจ้าค่ะท่านปู่ ที่ทำให้ท่านต้องกังวล..” กู้ชิงเหอขอโทษเสียงแผ่ว “ข้าเห็นว่าเขาท่าทางภูมิฐานไม่เหมือนพวกโจรป่าจึงกล้าช่วยเหลือ อีกอย่าง..เขาบอกว่าหากช่วยเขา เขาจะตอบแทนน้ำใจอย่างงามเลยเจ้าค่ะ” ย่าเหยาคิ้วกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย รีบลุกเดินเข้าไปสำรวจบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นอย่างละเอียด “ชิงเหอกล่าวไม่ผิดเขาไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราหรอกนะตาเฒ่า หรือว่าอาจจะเป็นขุนนางที่เข้ามาตรวจสอบการเพาะปลูกฝ้าย!!” คำกล่าวนั้นทำให้กู้ชิงเหอสะดุ้งเล็กน้อย หากมีขุนนางมานอนตายอยู่ในที่ดินของเจียงเหิงคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ โชคด