กู้ชิงเหอรีบกระซิบถามเจียงเหยียน ว่าคนกลุ่มนั้นคือใคร ซึ่งก็ได้คำตอบมาว่าบุรุษและสตรีที่ส่งเสียงทักทายออกมาเมื่อครู่เป็นสองสามีสกุลไห่ แต่อีกสองคนเจียงเหยียนไม่รู้จัก
กู้ชิงเหอยิ้มแป้น โอกาสดีของนางมาถึงแล้ว!
สองสามีภรรยาสกุลไห่ นางไม่เคยเห็นหน้าพวกเขามาก่อน แต่เพียงได้ยินชื่อ นางก็ตาวาวด้วยความตื่นเต้น เพราะจำได้ชัดจากในนิยายว่าคนคู่นี้คือศัตรูคู่อาฆาตของหวางชุ่นฮวา ป้าสะใภ้ของนาง!
ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะเริ่มต้นทะเลาะกันด้วยเรื่องป้าสะใภ้ของนางรุกล้ำเขตที่ดินเพาะปลูกของสกุลไห่เมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นก็มีปัญหาไม่ลงรอยกันมาตลอดไม่ว่าจะเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก ชนิดที่ว่าหากเดินผ่านกันก็ต้องมีเสียงตะโกนด่าทอกันตลอดทุกครั้ง!
นางรีบค้อมศีรษะทักทายอย่างนอบน้อม “ท่านลุง ท่านป้า”
ชายคนนั้นโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ สตรีข้างกายที่ใบหน้าหงิกงอเมื่อครู่ หรี่ตามองนาง
กับกู้ชิงเหอและกู้ชิงฉี สองสามีภรรยาได้ไม่เกลียดชังพวกเขาเหมือนอย่างที่คิดกับกู้ต้าซุนกับหวางชุ่นฮวา อีกทั้งยังสงสารสองพี่น้องอยู่ไม่น้อย
“แล้วเจ้าอยู่เรือนสกุลเจียง เป็นอย่างไรบ้างเล่า?” ไห่เทาถาม
กู้ชิงเหอก้มศีรษะต่ำ คล้ายไม่อยากให้ใครเห็นสีหน้า น้ำเสียงของนางนิ่งเรียบ แต่หยอดด้วยความเศร้าบางเบา
“ข้า..สบายดีเจ้าค่ะ ห่วงก็แต่ชิงฉีที่ต้องอยู่คนเดียว”
“เด็กคนนั้นก็น่าสงสารจริงๆ นั่นล่ะ ไม่มีเจ้าอีกคนคงลำบากไม่น้อย ผิดที่ป้าสะใภ้กับลุงสารเลวของเจ้ามันไม่ใช่คน!” อู๋ซื่อหน้าหงิกขึ้นมาทันทีเมื่อต้องเอ่ยถึงสองสามีภรรยาคู่นั้น
กู้ชิงเหอก้มหน้าเช็ดน้ำตาเงียบๆ คล้ายพยายามข่มกลั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“ตอนออกจากเรือน ข้าไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นติดตัว ท่านลุงบอกจะเอาไปส่งให้ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา" นางถอนใจเบา ๆ
“พรุ่งนี้ ข้าจำต้องกลับไปเรือนสกุลกู้สักวันหนึ่ง ก็ยังไม่รู้ว่าพวกเขาจะยอมให้ข้าเหยียบเข้าไปในเรือนหรือไม่”
อู๋ซื่อฮึดฮัดอยากจะด่าคนขึ้นมา แต่ถูกไห่เทาปรามไว้เพราะความเกลียดชังที่มีต่อกู้ต้าซุนและหวางชุ่นฮวาไม่สมควรมาลงที่กู้ชิงเหอ
กู้ชิงเหอยกมือลูบผมเจียงเหยียนที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้าง “ไปเถิดเจียงเหยียน กลับเรือนกัน พวกเรายังต้องหาน้ำหุงข้าวอีก”
หญิงสาวทั้งสองโค้งตัวให้ชาวบ้านกลุ่มนั้นอย่างนอบน้อมแล้วจึงหมุนตัวเดินแยกไปทางอื่น
สองสาวก้าวเท้าจากไปเพียงสองก้าว ไห่เทาก็เริ่มบ่น
“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ เจ้ากู้ต้าซุนมันเลวไม่เปลี่ยน…”
“ได้ยิน! ได้ยินเต็มหู!” นางอู๋ซื่อขบฟันแน่น “อยากรู้เหลือเกิน พรุ่งนี้สองคนนั้นจะทำหน้าอย่างไร ถ้าข้าผ่านไปทางเรือนสกุลกู้สักรอบ!”
กู้ชิงเหอแอบยิ้มน้อยๆ ดวงตาดูสงบ แต่ลึกลงไปกลับฉายแววเจิดจ้าด้วยประกายของแผนการ ขึ้นเขาวันนี้ไม่เสียเที่ยวจริงๆ!
สุดท้ายแล้ววันนี้กู้ชิงเหอก็ได้ยอดอ่อนของเฟินป่าเต็มตะกร้ากับเถาเงาเทาติดมือกลับไปที่เรือน
พอเก็บของไว้ในเรือนเสร็จนางก็ออกมาเก็บหินจากลำธารแห้งขึ้นมาทำแนวคันหินริมธารอีกครั้ง จนเจียงเหยียนต้องเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
“พี่สาวไม่เหนื่อยหรือเจ้าคะ หินพวกนี้ก็ไม่ใช่เบาๆ เลยนะ”
“ไม่เหนื่อยหรอก เจ้าเหนื่อยหรือ? เช่นนั้นก็นั่งดูเฉยๆ” หญิงสาวตอบพลางนึกสงสัยเช่นกันว่าตนเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน
“ทำไมต้องเอาหินมาเรียงกันแบบนี้ด้วยเล่าเจ้าคะ”
"ถ้าเริ่มสร้างแนวกั้นไว้แต่เนิ่น ๆ พอฝนตกลงมาก็จะช่วยกั้นน้ำเอาไว้ได้”
เด็กสาวหัวเราะร่วน “แต่ละปีมีฝนตกลงมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเองเจ้าค่ะ บางปีไม่ตกเลยสักหยดด้วยซ้ำ พี่สาวคงต้องเหนื่อยเปล่าแล้ว”
กู้ชิงเหอได้แต่ก้มหน้าทำต่อไปเงียบ ๆ เพราะนางไม่รู้จะตอบอย่างไร
มีบางเรื่องหรือบางคน เช่นหูซุนจ่างและสตรีสองคนบนภูเขาที่นางไม่เคยอ่านเจอในนิยาย อาจมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่นางทะลุมิติเข้ามา แต่บางเส้นเรื่องย่อมยังดำเนินตามเดิม เช่นฤดูฝนที่ต้องมาถึง
นางรู้ว่าอีกราวหนึ่งเดือนข้างหน้าฝนจะตกลงมาทันเวลากับที่น้ำในลำธารของหมู่บ้านแห้งสนิทลงไปพอดิบพอดี ชาวบ้านจะมีน้ำไว้ใช้ดื่มกินต่อไปได้ แต่มันก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการเพาะปลูก
นางจะไม่ปล่อยให้ชะตาชีวิตใหม่ของนางถูกแขวนไว้กับฟ้าฝนเป็นแน่!
……….
เป็นเพราะห่วงน้องสาวสองคนที่จะขึ้นไปบนเขากันลำพัง ถึงยามเซิน (ราว 16.00) เจียงเหิงก็กลับมาถึงหมู่บ้านแล้ว
เมื่อใกล้จะถึงเรือน เขาก็เหลือบตาไปมองทางลำธาร แล้วก็ต้องหยุดยืนมอง
ก้อนหินหลากขนาดถูกเรียงไว้อย่างมีทิศทาง คล้ายว่ากู้ชิงเหอต้องการทำอะไรสักอย่าง และมันก็รวดเร็วเกินกว่าที่หญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะทำได้ในสายตาของเขา
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย พึมพำกับตัวเอง “นางทำอะไรอยู่กันแน่...” แต่ก็เพียงปรายตามองอีกครั้ง แล้วเดินเข้าเรือนไปเงียบ ๆ ราวกับไม่ใส่ใจสิ่งใด
หลังอาหารมื้อเย็น กู้ชิงเหอและเจียงเหยียนก็ยังเห็นว่าเจียงเหิงยังคงนิ่งเงียบจนผิดปกติ
“พี่ใหญ่..ท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ? พี่ชิงเหอได้ผักมาลวกกินตั้งมากมาย พี่ใหญ่ยังไม่ได้ชมนางสักประโยคเลย”
เจียงเหิงยังคงนิ่งอยู่อีกครู่หนึ่ง
“ขอบใจนะชิงเหอ เพียงแต่วันนี้ข้ามีเรื่องต้องคิดมากเกินไปหน่อยน่ะ" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา
"ไม่มีใครมาจ้างเขียนจดหมายเลย ยังดีที่ข้าแวะเข้าไปคำนับท่านอาจารย์ในสำนักศึกษา ก็เลยได้งานคัดลอกตำราเรียนสำหรับเด็กที่เพิ่งเริ่มเรียนมานิดหน่อย”
เจียงเหยียนเม้มริมฝีปาก ไม่รู้จะพูดปลอบอย่างไร
“ข้าอาจจะไม่ได้เข้าเมืองไปซื้อข้าวมาเพิ่ม ระยะนี้รบกวนเจ้าใช้ธัญพืชกับแป้งที่เหลือปรุงเป็นอาหารก่อนแล้วกันนะ คัดตำราชุดแรกเสร็จเมื่อใดข้าจะไปซื้อข้าวสารมาให้” ชายหนุ่มหันมาพูดกับกู้ชิงเหอ
“เจียงเกอเกอไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ข้าวฟ่าง ถั่วเขียวกับแป้งสาลียังพอมี ข้าจะจัดการให้เอง” นางตอบและเห็นถึงความกังวลในแววตาของเจียงเหิงได้ชัดเจน
เขาคงห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายภายในเรือน และหากมัวแต่ออกไปทำงานหาเงินก็จะไม่มีเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบอีก
ตอนนี้มีนางอยู่ทั้งคน จะปล่อยให้เจียงเหิงต้องเป็นห่วงเรื่องปากท้องได้อย่างไรเล่า?
นางรู้เรื่องอนาคตอยู่ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งก็มีความรู้เกษตรจากโลกเดิมติดตัว หากยังใช้ความรู้ที่มีมาหาเงินไม่ได้ เรื่องที่นางฝ่ามิติมายังโลกนี้ก็จะไร้ประโยชน์เกินไปหน่อยกระมัง!
ในเมื่อสวรรค์ยังไม่ริบลมหายใจของนางไป ย่อมต้องมีเหตุผลให้ต้องอยู่ต่อ และเหตุผลนั้นคือการพลิกชะตาของตนเองและผู้คนรอบข้างให้ได้!
สวี่อี้หมิงถูกปู่เจียงกับกู้ชิงฉีช่วยกันพาเข้าไปนอนในห้องของเจียงเหิงที่ไม่ได้กลับมานอนที่เรือนหลายวันแล้ว กู้ชิงฉีคอยเป็นลูกมือพร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้เฒ่าเจียงฟัง ระหว่างที่เขาช่วยจัดการบาดแผลบนหน้าอกให้กับชายแปลกหน้า พอสวี่อี้หมิงหลับไปแล้ว ชายชราก็ยังนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง บางครั้งก็ลุกขึ้นชะเง้อมองไปทางหน้าเรือนไม่หยุด จนเจียงเหยียนต้องเตือนให้เขาพักผ่อนบ้าง“ในเรือนมีแต่สตรีกับเด็ก ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าอยู่กับชายแปลกหน้าเพียงลำพังได้อย่างไร” ท่านปู่บ่น“ข้าขออภัยด้วยเจ้าค่ะท่านปู่ ที่ทำให้ท่านต้องกังวล..” กู้ชิงเหอขอโทษเสียงแผ่ว “ข้าเห็นว่าเขาท่าทางภูมิฐานไม่เหมือนพวกโจรป่าจึงกล้าช่วยเหลือ อีกอย่าง..เขาบอกว่าหากช่วยเขา เขาจะตอบแทนน้ำใจอย่างงามเลยเจ้าค่ะ” ย่าเหยาคิ้วกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย รีบลุกเดินเข้าไปสำรวจบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นอย่างละเอียด “ชิงเหอกล่าวไม่ผิดเขาไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราหรอกนะตาเฒ่า หรือว่าอาจจะเป็นขุนนางที่เข้ามาตรวจสอบการเพาะปลูกฝ้าย!!” คำกล่าวนั้นทำให้กู้ชิงเหอสะดุ้งเล็กน้อย หากมีขุนนางมานอนตายอยู่ในที่ดินของเจียงเหิงคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ โชคด
“จ๊าก!! ช่วยด้วย! แย่แล้ว!!” เสียงตะโกนลั่นทุ่งของเจียงเสี่ยวเหวิน ทำให้กู้ชิงเหอและคนอื่นๆ ตกใจจนแทบหยุดหายใจ นางรีบวิ่งไปยังแปลงผักไปทันที คิดว่าเด็กหนุ่มอาจถูกงูกัดหรือเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงแต่เมื่อมาถึงกลับเห็นภาพที่ทำให้นางต้องหยุดชะงัก ใกล้กับเจียงเสี่ยวเหวินมีร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือดของบุรุษวัยราวสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่กลางแปลงผัก!สวี่อี้หมิงที่อยู่ในสภาพขยับร่างกายไม่ได้รู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่ามีคนพบเห็นตัวเขาเข้าแล้ว เขาพยายามลืมตาขึ้นมามองคนกลุ่มนี้อย่างอ่อนแรง แต่ทันทีที่ลืมตามองเห็นได้ชัด ความหวังเมื่อครู่ของเขากลับต้องพังทลายลงอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มสาวสี่คนไม่ได้มองมายังร่างของเขาแม้แต่นิด และสิ่งที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั่นยิ่งน่าตกตะลึงยิ่งกว่า!“ต้นคะน้าของพวกเรา..หักหมดเลย!” เด็กชายตัวเล็กที่สุดร้องออกมาคนแรก“ไม่เป็นไรนะชิงฉี ถึงมันจะหักแต่ก็ยังเก็บไปกินได้อยู่” เจียงเหยียนปลอบเด็กชายเสียงอ่อนโยน“คนนี้นั่นล่ะตัวการ!! พี่หญิงกู้ ให้ข้าขุดหลุมฝังเขาให้เป็นปุ๋ยเลี้ยงดูต้นคะน้าของเราเสียเลยดีหรือไม่ขอรับ!”สวี่อี้หมิงอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตายไปเสียเดี๋ยวนั้น!
"ท่านตาสงสัยไม่ผิดหรอกเจ้าค่ะ ฝ้ายมู่เหมี่ยนที่พวกท่านเคยปลูก แม้ไม่ต้องแช่น้ำหรือคัดเลือกพิถีพิถันนัก มันก็ยังงอกงามได้ดีอยู่”“เมื่อครั้งบิดาของอาเหิงยังเล็ก ข้าก็เคยปลูกฝ้ายมู่เหมี่ยนมาก่อนเช่นกัน โยนพวกมันไปตรงไหนมันก็ขึ้นตรงนั้น แถมยังเติบโตได้อย่างไม่มีปัญหา นั่นจึงทำให้มีคนปลูกมากและราคาก็ตก” ปู่เจียงเอ่ยออกมาบ้าง“หากพวกท่านคิดว่าเท่านี้ยุ่งยากแล้วพวกท่านก็คิดผิด ยังมีเรื่องวุ่นวายอยู่อีกเจ้าค่ะ” หลายคนกลืนน้ำฝืดเฝื่อนลงคอ“หวังว่ามันจะขายได้ราคาดีกว่าฝ้ายมู่เหมี่ยนที่มีขายกันอยู่ทั่วไปนะ” พวกเขาตั้งความหวังกู้ชิงเหอไม่ได้ตอบคำถาม นางรู้อยู่แก่ใจว่าฝ้ายเทียนจูเหมี่ยนต้องมีราคาสูงอย่างแน่นอนแดนเหนือของแคว้นหนานจวิ้นหนาวเย็นจนหิมะปกคลุมแทบทั้งปี ย่อมไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกฝ้ายใด ๆ ส่วนทางตะวันออก แม้ดินทรายจะดูเอื้ออำนวย แต่ด้วยความเค็มจัด ก็ไม่อาจปลูกเทียนจูเหมี่ยนได้อยู่ดี ทิศใต้ร้อนเกินไป อีกทั้งยังประสบภัยแล้งรุนแรงยิ่งกว่าที่ใดตรงกันข้ามกับหมู่บ้านหานเฉิงที่ตั้งอยู่เชิงเขาทางทิศตะวันตก ดินปนหินทราย แม้ไม่อุ้มน้ำ แต่กลับเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเพาะปลูกเทีย
เมื่อหูซ่างซุนพาชาวบ้านอีกห้าครอบครัวมาถึงเรือน ต่างคนต่างมีสีหน้าทั้งตื่นเต้นทั้งสงสัย แต่พวกเขากลับไม่พบเงาของเจียงเหิงว่าอยู่ที่ใด กู้ชิงเหอเพียงยกยิ้มบาง ไม่ได้ตอบสิ่งใด นางปล่อยให้เจียงเหยียนกับกู้ชิงฉีออกไปช่วยท่านย่าเหยาในครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็น ส่วนตนเองก็หันมาชวนผู้เฒ่าเจียงออกมาเรียนรู้วิธีการเพาะปลูกฝ้ายด้วยกันกู้ชิงเหอแบกถุงเมล็ดพันธุ์ฝ้ายออกมาจากห้องเก็บของ วางลงตรงกลางลานบ้าน นางบอกกับเจียงเสี่ยวเหวินเสียงใส“เสี่ยวเหวิน เจ้าช่วยไปตักน้ำมาให้ข้าสักหนึ่งถังนะ”เด็กหนุ่มรีบพยักหน้ารับคำแล้ววิ่งหายไปยังลำธารอย่างกระตือรือร้นจากนั้นหญิงสาวก็เปิดถุงออก เผยให้เห็นเมล็ดฝ้ายสีเข้มจำนวนมาก นางใช้มือเรียวหยิบขึ้นมาอธิบายแก่ชาวบ้านทีละขั้นตอน“การจะเพาะปลูกให้ได้ผล จำเป็นต้องเลือกเมล็ดที่ดีที่สุด เมล็ดที่อวบใหญ่ เต็มสมบูรณ์ และไม่ถูกแมลงหรือสัตว์กัดแทะ เมล็ดเหล่านี้จึงจะงอกงามและทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ”พูดจบ นางก็เริ่มคัดแยกทีละกำมือ วางเมล็ดที่สมบูรณ์ไว้ด้านหนึ่ง ส่วนเมล็ดลีบหรือเป็นรอยกัดกินก็วางกองทิ้งไว้อีกด้าน ในตอนแรกชาวบ้านยังมองกันด้วยความลังเล แต่เมื่อหญิงสาวพยักหน้าให้ล
เจียงเหิงยืนมองภาพท่านปู่กับท่านย่าด้วยแววตาเย็นเยียบ ใจหนึ่งเขาไม่ได้ยินดีปรีดาอะไรนัก ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการให้ผู้เฒ่าทั้งสองต้องเสียใจเช่นนี้เลยแต่บางเรื่อง…หากไม่ปล่อยให้ทั้งสองเห็นกับตาตนเอง ก็คงไม่ยอมเชื่อใครง่าย ๆ เขาเพียงอยากให้ท่านทั้งสองรู้เสียที ว่าบุตรชายและสะใภ้ที่พวกเขารักนักหนาแท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไรสายตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ความทรงจำเก่า ๆ ผุดขึ้นมาในใจ ตอนที่ท่านปู่กับท่านย่าหันหลังให้เขา ยักยอกเงินที่ควรเป็นของเขา ไปทุ่มสนับสนุนครอบครัวของท่านอาแทนตอนนั้นเขาเคยเอ่ยปากถาม แต่กลับถูกมองเป็นเด็กที่ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักเห็นแก่ญาติผู้ใหญ่ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยทวงถามเรื่องเงินทองที่มารดาเคยฝากไว้กับผู้อาวุโสทั้งสองอีกเลยเขาไม่ได้คิดจะผลักสองผู้เฒ่าให้ตกเหว แต่หากบาดแผลเล็กน้อยนี้จะทำให้ทั้งคู่ตาสว่าง มองเห็นความจริง และไม่คิดจะสร้างปัญหาให้ตนและน้องๆ ในภายหลังอีก เขาก็ยอมให้เกิดขึ้นกู้ชิงเหอเงยหน้ามองเจียงเหิง ความหวาดกลัวแผ่ซ่านทั่วร่าง แม้แต่ท่านปู่ท่านย่าแท้ๆ เขายังสามารถคิดแก้แค้นให้หลาบจำ นับประสาอันใดกับน้องสาวปลอม ๆ อย่างนางเล่า!!หัวใจนางเต้นแรง ตอกย้
ขากลับ กู้ชิงเหอก็ยิ้มไปตลอดทาง พลางพูดไม่หยุดถึงอนาคตอันสดใสที่จะเกิดจากการได้เพาะปลูกฝ้าย“ต่อไปกู้ชิงฉีและเจียงเหยียนก็จะสบายแล้วเจ้าค่ะ ข้ามั่นใจว่าฝ้ายครั้งนี้จะให้ผลผลิตดีแน่นอน”เจียงเหิงมองหญิงสาวที่พูดไป พลางแวะเก็บผักป่าที่ขึ้นอยู่ริมธารไปด้วยสายตาอ่อนโยนเขาเพิ่งสังเกตว่านางเปลี่ยนจากหญิงสาวมอมแมมผอมแห้ง เป็นหญิงสาวที่หน้าตาดีขึ้นมาก ดวงตาสดใสและเปล่งประกายด้วยความกระตือรือร้น รอยยิ้มสดใสที่ปรากฏบนใบหน้าของนางทำให้เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบตัวสว่างขึ้นกู้ชิงเหอยังคงก้มเก็บผักแว่นป่า พลางพูดต่อด้วยน้ำเสียงมั่นใจ“ต่อไปข้าจะซื้อ ตำราทุกเล่มที่ท่านต้องการ ของกินที่น้องทั้งสองอยากกิน และเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เจียงเหยียนด้วยเจ้าค่ะ ชุดที่นางใส่อยู่ตอนนี้เล็กเกินไปแล้ว”เจียงเหิงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เขาคิดว่านางอาจจะอยากได้สิ่งใดเพื่อตัวเองบ้าง แต่กลับพบว่าหัวใจของนางเต็มไปด้วยความห่วงใยผู้อื่นเขาเฝ้ามองนางอย่างเงียบ ๆ สังเกตการเคลื่อนไหวของมือที่เก็บผักอย่างทะนุถนอม รอยยิ้มที่เคยเป็นเพียงแค่เงาของความสดใส เดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจและความสุขที่แท้จริง“ข้าดีใจที่เจ้าอยู่ร่วมกับพ