เจียงเหยียนตาลุก กระตือรือร้นขึ้นมาทันใด “กินได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เด็ดเอาเฉพาะยอดอ่อนของมัน ลวกกินได้ หวานด้วย!”
เจียงเหยียนกะพริบตา “เหมือนหญ้าชัด ๆ…”
กู้ชิงเหอหันไปสบตา “ผักแว่นเมื่อวานเจ้าก็ว่าเหมือนหญ้า”
“จริงสินะ ผักแว่นเมื่อวานก็กินได้จริงๆ ข้าเชื่อพี่สาวเจ้าค่ะ!!”
กู้ชิงเหอไม่พูดมาก นางรีบเด็ดยอดเฟินใส่ตะกร้า หันมองไปรอบๆ ก็ยังเห็นอีกว่าบริเวณนี้มีต้นเฟินป่าขึ้นอยู่ไม่น้อย และคาดว่าบริเวณอื่นก็น่าจะพบมันได้อีกจึงเด็ดยอดใส่ตะกร้าไม่ยั้งมือ!
“ดีจังเลยที่ไม่มีใครสนใจเจ้าต้นนี้”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาของเจียงเหยียนลอยวนเวียนอยู่ในอากาศ แต่แล้วเสียงหัวเราะของสตรีผู้หนึ่งกลับดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลัง
“ซูหลานเจ้าดูนั่นสิ ภรรยากับน้องสาวของเจียงซิ่วไฉถึงกับต้องเก็บหญ้าไปต้มกินกันแล้ว"
กู้ชิงเหอชะงักมือ เงยหน้าขึ้นตามเสียง
นางเห็นหญิงสาวอายุราว 16-17 ปีสองคนยืนอยู่ใต้ร่มเงาไม้เตี้ย ๆ คนหนึ่งใบหน้าจืดชืดทว่านัยน์ตาคม ปลายตายิ้มเยาะอย่างเปิดเผย
ส่วนอีกคนดวงตาและจมูกเรียวเล็ก แม้จะไม่งดงามแต่ก็ยังน่ามองกว่าสตรีคนแรก กำลังจ้องมองนางตรงๆ ด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก
แน่นอนว่ากู้ชิงเหอไม่รู้ว่าสตรีทั้งสองคนนี้คือใคร แต่สิ่งที่ทำให้นางสนใจกลับเป็นเถาวัลย์สีเขียวอมเทาในตะกร้าของสตรีทั้งสองมากกว่า
เถาเงาเทาหรือฮุยเถิงเฉ่า เป็นเถาวัลย์ที่อมน้ำใสไว้ข้างใน มันมีรสขมเล็กน้อยแต่ชาวบ้านในยุคนี้ก็ยังรู้จักเก็บไปกินแก้กระหาย
หลินซูหลานเม้มริมฝีปากยิ้มในใจ
นางแอบชอบเจียงซิ่วไฉมานานแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมหยุดพูดจากทักทายกับนางเลยสักประโยค วันที่รู้ว่าเจียงเหิงรับเอากู้ชิงเหอไปเป็นภรรยา นางปวดใจจนอกแทบจะระเบิด แต่เมื่อเห็นกู้ชิงเหอต้องมาเก็บหญ้าไปต้มกินกลับรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
เจียงซิ่วไฉเป็นบัณฑิตตกอับอย่างผู้อื่นเขาว่ากันจริงๆ เป็นภรรยาของซิ่วไฉก็ใช่ว่าจะสุขสบายมีหน้ามีตาเมื่อใดกัน!
“เหมยลี่อย่าไปสนใจพวกนางเลย รีบไปหาของป่ากันก่อนเถอะ วันนี้คนขึ้นเขาเยอะมัวชักช้าจะไม่เหลืออะไรให้เก็บกิน”
เฉินเหมยลี่ผู้เป็นสหาย มองสตรีทั้งสองอีกครั้งแล้วยิ้มเยาะ ก่อนจะตะโกนกลับมาเสียงดังลั่น “ภรรยาซิ่วไฉ อย่าลืมเก็บหญ้าไปให้น้องชายเจ้ากินด้วยเล่า! เห็นว่าตั้งแต่เช้ายังเก็บอะไรไม่ได้สักอย่าง!”
มือของกู้ชิงเหอสั่นเล็กน้อยบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของ เพียงแค่ได้ยินชื่อกู้ชิงฉีนางก็รู้สึกอึดอัดไปทั่วร่าง
"พวกเจ้าพูดอันใด? ใครเป็นภรรยาของพี่ข้า?" เจียงเหยียนหน้าบึ้งมองสตรีสองคนด้วยความไม่พอใจ
เฉินเหมยลี่ปรายตาหยาม
"ก็แม่นางกู้นั่นอย่างไรเล่า หรือจะให้ข้าพูดให้ชัดว่าพี่เจ้าซื้อนางมาอยู่เรือนเดียวกัน คนทั้งหมู่บ้านต่างก็รู้กันทั้งนั้น"
เจียงเหยียนเม้มริมฝีปากแน่น นางได้ยินพี่ชายย้ำหลายครั้งไม่ให้ผู้ใดมาหมิ่นเกียรติพี่สาว แม้จะกลัว..แต่หญิงสาวก็ยังโต้ตอบกลับ "นางมาอยู่เรือนเดียวกับข้าในฐานะใด ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาว่าร้ายป้ายสี!"
“เหอะ! เจ้าคิดนางจะช่วยเจ้าได้งั้นหรือถึงได้กล้าเถียงข้า เจียงเหยียน!” เฉินเหมยลี่ถลึงตาโตข่มขู่
น้องสาวสกุลเจียงผู้นี้แต่ก่อนไม่เคยแม้แต่จะกล้าสบตาพวกนาง แต่วันนี้กลับคิดอยากลองดี นางคงต้องสั่งสอนสักหน่อยเสียแล้ว!
เพียะ!
ก่อนที่เฉินเหมยลี่จะทันได้เอื้อมมือแตะตัวเจียงเหยียน กู้ชิงเหอก็สาวเท้าเข้ามายืนกั้นระหว่างทั้งสองไว้ มือของนางแตะเบา ๆ ที่แขนของอีกฝ่ายเพียงหวังจะกันไม่ให้เข้ามาใกล้
ทว่าทันใดนั้น...
ร่างของเฉินหมยลี่กลับกระเด็นถอยหลังไปถึงสองก้าวเต็ม!
"อ๊าย!" นางร้องเสียงหลงก่อนจะล้มลงบนพื้นอย่างหมดท่า
ทุกคนชะงัก รวมทั้งกู้ชิงเหอด้วย ดวงตานางเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
นางแค่ยื่นมือออกไปกันโดยแทบไม่ใช้แรงเลยด้วยซ้ำ เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ล้มแรงปานนั้น?
จะว่าไปแล้ว วันแรกที่นางเดินจากเรือนสกุลกู้มาถึงชายป่ายังเหนื่อยแทบขาดใจ แต่วันนี้นางเดินขึ้นเขามาครึ่งค่อนวันก็ยังไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยเจียนตายเหมือนที่คาดไว้
อาจเป็นเพราะนางได้กินปลากินข้าวเต็มอิ่มแล้วกระมัง ถึงได้มีเรี่ยวแรงกลับมาบ้าง
หลินซูหลานรีบเข้าไปพยุงสหายขึ้น พลางถลึงตาใส่ "เจ้ากล้าผลักนางหรือ?!" นางตะคอกลั่น ๆ แต่เสียงกลับแฝงความลังเล
เฉินเหมยลี่เองก็มองกู้ชิงเหออย่างหวาดระแวงอยู่บ้าง มือยังสั่นน้อย ๆ
"ข้าไม่ได้ผลัก" กู้ชิงเหอ "ข้าเพียงแต่ห้ามไม่ให้เจ้าทำร้ายน้องสาว!"
"เด็กอย่างนางปากกล้าขนาดนั้น โดนตีเสียบ้างก็สมควรแล้ว!"
"สมควรงั้นรึ!? เช่นนั้นพอเจียงซิ่วไฉกลับมาข้าจะเชิญเขาให้มาฟังเจ้าพูดอีกครั้ง ดูสิจะยังกล้าพูดอีกหรือไม่?" กู้ชิงเหอเอ่ยอย่างเยือกเย็น "หรือเจ้าคิดว่าบัณฑิตเจียงไม่มีหูไม่มีตา?"
สีหน้าของหลินซูหลานพลันซีดเผือด ถึงเจียงซิ่วไฉจะไม่ได้ชอบนาง แต่หญิงสาวก็ไม่อยากให้เขาเกลียด หากรู้ว่าตนกับเสี่ยวเหมยคิดรังแกเจียงเหยียนมั่นใจได้เลยว่าเจียงเหิงต้องเอาเรื่องนางสองคนแน่ๆ
เจียงซิ่วไฉเป็นห่วงน้องสาวมากใครๆ ก็รู้!
นางก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าว มือสั่นแรงกว่าเดิม “เหมยลี่…ไปกันเถอะ”
หลินซูหลานเม้มปากแน่น แววตาวูบไหวอย่างชัดเจน แล้วจำต้องคว้าข้อมือสหายลากออกไปในที่สุด คราวนี้ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองอีก
กู้ชิงเหอมองตามแผ่นหลังของสตรีทั้งสองไปเงียบๆ แต่ใจกลับคิดถึงอีกคนหนึ่ง
กู้ชิงฉี!
วันนี้เขาจะไม่ได้อาหารอะไรติดมือกลับไปที่เรือนสกุลกู้แม้แต่ชิ้นเดียว ป้าสะใภ้ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยจะดูแลเรื่องอาหารการกินของสองพี่น้องอยู่แล้วจึงทำโทษน้องชายของนางโดยการไม่ให้อาหารเขาอีกหนึ่งวัน!
พรุ่งนี้คือวันตายของกู้ชิงฉี! นางต้องรีบแล้ว!
เสียงสตรีสองคนเมื่อครู่ยังวนเวียนในโสตประสาท “วันนี้มีคนขึ้นเขามาเยอะ..” เสียงนั้นกระตุกความคิดนางขึ้นมาทันที
“เหยียนเอ๋อร์” กู้ชิงเหอหันมาพูดเสียงนุ่ม “เราได้เฟินป่ามามากพอแล้ว ไม่ต้องเก็บเพิ่มแล้วล่ะ เจ้าช่วยข้าดูทีว่ามีผู้ใดขึ้นมาบนเขาบ้าง”
เจียงเหยียนตาโต “พี่ชิงเหอคิดจะขอแบ่งอาหารจากคนอื่นหรือเจ้าคะ?”
“ไม่ใช่แบ่ง…” กู้ชิงเหอยิ้ม “แต่คนที่ขึ้นมาเก็บก่อนหน้า ย่อมรู้แหล่งของกินบนเขาดีกว่า ข้าแค่อยากพูดคุยดู”
ทั้งสองเดินเลาะเนินเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพบเงาร่างชาวบ้านกลุ่มหนึ่งนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ริมทาง
เมื่อเห็นกู้ชิงเหอและเจียงเหยียนเดินเข้ามา พวกเขาก็หันมามอง ก่อนชายวัยกลางคนผู้หนึ่งจะส่งเสียงทักทาย
“อ้าว..หลานสาวบ้านกู้ที่ถูกขายไปเมื่อวานนั่นเอง”
เสียงของเขาเจือความขบขัน แต่สายตากลับอบอุ่นกว่าที่คิด
สตรีข้างเขาเบะปาก “พวกตระกูลกู้นี่มันหน้าด้านจริง ๆ ลูกหลานก็ยังคิดจะขายกิน!”
สวี่อี้หมิงถูกปู่เจียงกับกู้ชิงฉีช่วยกันพาเข้าไปนอนในห้องของเจียงเหิงที่ไม่ได้กลับมานอนที่เรือนหลายวันแล้ว กู้ชิงฉีคอยเป็นลูกมือพร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้เฒ่าเจียงฟัง ระหว่างที่เขาช่วยจัดการบาดแผลบนหน้าอกให้กับชายแปลกหน้า พอสวี่อี้หมิงหลับไปแล้ว ชายชราก็ยังนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง บางครั้งก็ลุกขึ้นชะเง้อมองไปทางหน้าเรือนไม่หยุด จนเจียงเหยียนต้องเตือนให้เขาพักผ่อนบ้าง“ในเรือนมีแต่สตรีกับเด็ก ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าอยู่กับชายแปลกหน้าเพียงลำพังได้อย่างไร” ท่านปู่บ่น“ข้าขออภัยด้วยเจ้าค่ะท่านปู่ ที่ทำให้ท่านต้องกังวล..” กู้ชิงเหอขอโทษเสียงแผ่ว “ข้าเห็นว่าเขาท่าทางภูมิฐานไม่เหมือนพวกโจรป่าจึงกล้าช่วยเหลือ อีกอย่าง..เขาบอกว่าหากช่วยเขา เขาจะตอบแทนน้ำใจอย่างงามเลยเจ้าค่ะ” ย่าเหยาคิ้วกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย รีบลุกเดินเข้าไปสำรวจบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นอย่างละเอียด “ชิงเหอกล่าวไม่ผิดเขาไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราหรอกนะตาเฒ่า หรือว่าอาจจะเป็นขุนนางที่เข้ามาตรวจสอบการเพาะปลูกฝ้าย!!” คำกล่าวนั้นทำให้กู้ชิงเหอสะดุ้งเล็กน้อย หากมีขุนนางมานอนตายอยู่ในที่ดินของเจียงเหิงคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ โชคด
“จ๊าก!! ช่วยด้วย! แย่แล้ว!!” เสียงตะโกนลั่นทุ่งของเจียงเสี่ยวเหวิน ทำให้กู้ชิงเหอและคนอื่นๆ ตกใจจนแทบหยุดหายใจ นางรีบวิ่งไปยังแปลงผักไปทันที คิดว่าเด็กหนุ่มอาจถูกงูกัดหรือเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงแต่เมื่อมาถึงกลับเห็นภาพที่ทำให้นางต้องหยุดชะงัก ใกล้กับเจียงเสี่ยวเหวินมีร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือดของบุรุษวัยราวสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่กลางแปลงผัก!สวี่อี้หมิงที่อยู่ในสภาพขยับร่างกายไม่ได้รู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่ามีคนพบเห็นตัวเขาเข้าแล้ว เขาพยายามลืมตาขึ้นมามองคนกลุ่มนี้อย่างอ่อนแรง แต่ทันทีที่ลืมตามองเห็นได้ชัด ความหวังเมื่อครู่ของเขากลับต้องพังทลายลงอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มสาวสี่คนไม่ได้มองมายังร่างของเขาแม้แต่นิด และสิ่งที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั่นยิ่งน่าตกตะลึงยิ่งกว่า!“ต้นคะน้าของพวกเรา..หักหมดเลย!” เด็กชายตัวเล็กที่สุดร้องออกมาคนแรก“ไม่เป็นไรนะชิงฉี ถึงมันจะหักแต่ก็ยังเก็บไปกินได้อยู่” เจียงเหยียนปลอบเด็กชายเสียงอ่อนโยน“คนนี้นั่นล่ะตัวการ!! พี่หญิงกู้ ให้ข้าขุดหลุมฝังเขาให้เป็นปุ๋ยเลี้ยงดูต้นคะน้าของเราเสียเลยดีหรือไม่ขอรับ!”สวี่อี้หมิงอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตายไปเสียเดี๋ยวนั้น!
"ท่านตาสงสัยไม่ผิดหรอกเจ้าค่ะ ฝ้ายมู่เหมี่ยนที่พวกท่านเคยปลูก แม้ไม่ต้องแช่น้ำหรือคัดเลือกพิถีพิถันนัก มันก็ยังงอกงามได้ดีอยู่”“เมื่อครั้งบิดาของอาเหิงยังเล็ก ข้าก็เคยปลูกฝ้ายมู่เหมี่ยนมาก่อนเช่นกัน โยนพวกมันไปตรงไหนมันก็ขึ้นตรงนั้น แถมยังเติบโตได้อย่างไม่มีปัญหา นั่นจึงทำให้มีคนปลูกมากและราคาก็ตก” ปู่เจียงเอ่ยออกมาบ้าง“หากพวกท่านคิดว่าเท่านี้ยุ่งยากแล้วพวกท่านก็คิดผิด ยังมีเรื่องวุ่นวายอยู่อีกเจ้าค่ะ” หลายคนกลืนน้ำฝืดเฝื่อนลงคอ“หวังว่ามันจะขายได้ราคาดีกว่าฝ้ายมู่เหมี่ยนที่มีขายกันอยู่ทั่วไปนะ” พวกเขาตั้งความหวังกู้ชิงเหอไม่ได้ตอบคำถาม นางรู้อยู่แก่ใจว่าฝ้ายเทียนจูเหมี่ยนต้องมีราคาสูงอย่างแน่นอนแดนเหนือของแคว้นหนานจวิ้นหนาวเย็นจนหิมะปกคลุมแทบทั้งปี ย่อมไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกฝ้ายใด ๆ ส่วนทางตะวันออก แม้ดินทรายจะดูเอื้ออำนวย แต่ด้วยความเค็มจัด ก็ไม่อาจปลูกเทียนจูเหมี่ยนได้อยู่ดี ทิศใต้ร้อนเกินไป อีกทั้งยังประสบภัยแล้งรุนแรงยิ่งกว่าที่ใดตรงกันข้ามกับหมู่บ้านหานเฉิงที่ตั้งอยู่เชิงเขาทางทิศตะวันตก ดินปนหินทราย แม้ไม่อุ้มน้ำ แต่กลับเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเพาะปลูกเทีย
เมื่อหูซ่างซุนพาชาวบ้านอีกห้าครอบครัวมาถึงเรือน ต่างคนต่างมีสีหน้าทั้งตื่นเต้นทั้งสงสัย แต่พวกเขากลับไม่พบเงาของเจียงเหิงว่าอยู่ที่ใด กู้ชิงเหอเพียงยกยิ้มบาง ไม่ได้ตอบสิ่งใด นางปล่อยให้เจียงเหยียนกับกู้ชิงฉีออกไปช่วยท่านย่าเหยาในครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็น ส่วนตนเองก็หันมาชวนผู้เฒ่าเจียงออกมาเรียนรู้วิธีการเพาะปลูกฝ้ายด้วยกันกู้ชิงเหอแบกถุงเมล็ดพันธุ์ฝ้ายออกมาจากห้องเก็บของ วางลงตรงกลางลานบ้าน นางบอกกับเจียงเสี่ยวเหวินเสียงใส“เสี่ยวเหวิน เจ้าช่วยไปตักน้ำมาให้ข้าสักหนึ่งถังนะ”เด็กหนุ่มรีบพยักหน้ารับคำแล้ววิ่งหายไปยังลำธารอย่างกระตือรือร้นจากนั้นหญิงสาวก็เปิดถุงออก เผยให้เห็นเมล็ดฝ้ายสีเข้มจำนวนมาก นางใช้มือเรียวหยิบขึ้นมาอธิบายแก่ชาวบ้านทีละขั้นตอน“การจะเพาะปลูกให้ได้ผล จำเป็นต้องเลือกเมล็ดที่ดีที่สุด เมล็ดที่อวบใหญ่ เต็มสมบูรณ์ และไม่ถูกแมลงหรือสัตว์กัดแทะ เมล็ดเหล่านี้จึงจะงอกงามและทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ”พูดจบ นางก็เริ่มคัดแยกทีละกำมือ วางเมล็ดที่สมบูรณ์ไว้ด้านหนึ่ง ส่วนเมล็ดลีบหรือเป็นรอยกัดกินก็วางกองทิ้งไว้อีกด้าน ในตอนแรกชาวบ้านยังมองกันด้วยความลังเล แต่เมื่อหญิงสาวพยักหน้าให้ล
เจียงเหิงยืนมองภาพท่านปู่กับท่านย่าด้วยแววตาเย็นเยียบ ใจหนึ่งเขาไม่ได้ยินดีปรีดาอะไรนัก ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการให้ผู้เฒ่าทั้งสองต้องเสียใจเช่นนี้เลยแต่บางเรื่อง…หากไม่ปล่อยให้ทั้งสองเห็นกับตาตนเอง ก็คงไม่ยอมเชื่อใครง่าย ๆ เขาเพียงอยากให้ท่านทั้งสองรู้เสียที ว่าบุตรชายและสะใภ้ที่พวกเขารักนักหนาแท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไรสายตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ความทรงจำเก่า ๆ ผุดขึ้นมาในใจ ตอนที่ท่านปู่กับท่านย่าหันหลังให้เขา ยักยอกเงินที่ควรเป็นของเขา ไปทุ่มสนับสนุนครอบครัวของท่านอาแทนตอนนั้นเขาเคยเอ่ยปากถาม แต่กลับถูกมองเป็นเด็กที่ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักเห็นแก่ญาติผู้ใหญ่ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยทวงถามเรื่องเงินทองที่มารดาเคยฝากไว้กับผู้อาวุโสทั้งสองอีกเลยเขาไม่ได้คิดจะผลักสองผู้เฒ่าให้ตกเหว แต่หากบาดแผลเล็กน้อยนี้จะทำให้ทั้งคู่ตาสว่าง มองเห็นความจริง และไม่คิดจะสร้างปัญหาให้ตนและน้องๆ ในภายหลังอีก เขาก็ยอมให้เกิดขึ้นกู้ชิงเหอเงยหน้ามองเจียงเหิง ความหวาดกลัวแผ่ซ่านทั่วร่าง แม้แต่ท่านปู่ท่านย่าแท้ๆ เขายังสามารถคิดแก้แค้นให้หลาบจำ นับประสาอันใดกับน้องสาวปลอม ๆ อย่างนางเล่า!!หัวใจนางเต้นแรง ตอกย้
ขากลับ กู้ชิงเหอก็ยิ้มไปตลอดทาง พลางพูดไม่หยุดถึงอนาคตอันสดใสที่จะเกิดจากการได้เพาะปลูกฝ้าย“ต่อไปกู้ชิงฉีและเจียงเหยียนก็จะสบายแล้วเจ้าค่ะ ข้ามั่นใจว่าฝ้ายครั้งนี้จะให้ผลผลิตดีแน่นอน”เจียงเหิงมองหญิงสาวที่พูดไป พลางแวะเก็บผักป่าที่ขึ้นอยู่ริมธารไปด้วยสายตาอ่อนโยนเขาเพิ่งสังเกตว่านางเปลี่ยนจากหญิงสาวมอมแมมผอมแห้ง เป็นหญิงสาวที่หน้าตาดีขึ้นมาก ดวงตาสดใสและเปล่งประกายด้วยความกระตือรือร้น รอยยิ้มสดใสที่ปรากฏบนใบหน้าของนางทำให้เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบตัวสว่างขึ้นกู้ชิงเหอยังคงก้มเก็บผักแว่นป่า พลางพูดต่อด้วยน้ำเสียงมั่นใจ“ต่อไปข้าจะซื้อ ตำราทุกเล่มที่ท่านต้องการ ของกินที่น้องทั้งสองอยากกิน และเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เจียงเหยียนด้วยเจ้าค่ะ ชุดที่นางใส่อยู่ตอนนี้เล็กเกินไปแล้ว”เจียงเหิงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เขาคิดว่านางอาจจะอยากได้สิ่งใดเพื่อตัวเองบ้าง แต่กลับพบว่าหัวใจของนางเต็มไปด้วยความห่วงใยผู้อื่นเขาเฝ้ามองนางอย่างเงียบ ๆ สังเกตการเคลื่อนไหวของมือที่เก็บผักอย่างทะนุถนอม รอยยิ้มที่เคยเป็นเพียงแค่เงาของความสดใส เดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจและความสุขที่แท้จริง“ข้าดีใจที่เจ้าอยู่ร่วมกับพ