“ทำไมยายแก่นั่นถึงโหดร้ายมากขนาดนี้ นั่นหลานตัวเองไม่ใช่หรือไง ตีกันจนตายได้ยังไง” หยางเทียนหรงมองดูเด็กน้อยที่มีชื่อเหมือนกับตนเองแต่แต่งกายราวกับอยู่ในยุคโบราณ อีกทั้งยังมีใบหน้าคล้ายคลึงตนเองในตอนเด็กอีก ด้วยความสงสารตนจึงก่นด่าหญิงชราใจร้ายไม่หยุด
เขาไม่คิดว่าการที่ตนเองหมดอายุขัยในโลกเดิมด้วยโรคร้ายอย่างมะเร็งปอดระยะสุดท้าย สิ่งที่คิดคือ ตนอาจจะต้องไปชดใช้กรรมในนรกสักแห่งหรือไม่ก็ไปเกิดใหม่เป็นสุนัขไม่ก็เดรัจฉานสักตัวในโลกใหม่ ไม่ใช่ถูกดึงวิญญาณมาโผล่ยุคโบราณแบบนี้
“แล้วคุณพาผมมาที่นี่ทำไมครับ ไม่ส่งไปเกิดใหม่หรือไงกัน” หยางเทียนหรงเอ่ยถามบุรุษข้างกายที่ยืนเงียบไม่พูดไม่จากับตนตั้งแต่พามาดูเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว
“เจ้ามีนามว่าอะไรนะ” เสียงทุ้มเปล่งออกมาถามหลังก้มมองบันทึกการเกิดใหม่ในโลกจีนโบราณอีกครั้ง เพราะดวงวิญญาณที่ตนต้องนำมานั้นต้องมีนามว่า ‘หยางเทียนหลง’ วิญญาณชายหนุ่มผู้มีชะตาเป็นฮ่องเต้ไม่ใช่เด็กน้อยที่มีชะตาน่าอดสูเช่นนี้
มิน่าถึงได้มาโผล่ที่นี่แทนที่จะเป็นวังหลวง
หรือเจ้าหนุ่มนี่มีชะตาผูกกันกับเด็กคนนั้นกัน
แต่ดวงวิญญาณของเด็กคนนั้นแตกสลายไปแล้วน่ะสิ แล้วทำไมกายหยาบถึงได้บอกว่าเจ้าของร่างมีอายุขัยนับร้อยปีกันทั้งที่ดวงวิญญาณไม่อยู่แล้ว
“ผมหรือครับ หยางเทียนหรง น่ะสิ แล้วคุณจะให้ผมไปเกิดใหม่ได้หรือยัง ไม่เอาบ้านของยายแก่นั่นนะ ไม่อย่างนั้นผมคงได้วางมวยแน่”
ผิดไปตัวอักษรเดียวงั้นหรือ
แล้วเขาจะส่งอีกฝ่ายกลับไปได้อย่างไรในเมื่อโลกแห่งดวงวิญญาณได้ปิดลงไปแล้ว หากรั้งรอดวงวิญญาณของเจ้าหนุ่มได้แตกสลายตามเด็กน้อยชะตาอาภัพผู้นั้นเป็นแน่
“เจ้าไม่ตกใจหรือที่ข้าพามายังสถานที่แห่งนี้” ผู้คุมดวงวิญญาณเอ่ยถามด้วยความสงสัย บุรุษผู้นี้ไม่มีท่าทีตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวหน่อยหรือ
“ผมจะตกใจทำไมครับในเมื่อผมตายแล้ว อีกอย่างผมอยากเกิดใหม่จะแย่แล้วอยู่ในร่างคนป่วยมานานก็อยากจะได้ร่างใหม่ที่ไร้โรคภัย สุขภาพแข็งแรง แล้วก็มีเงินเยอะจนใช้แทบไม่หมดบ้างก็เท่านั้น”
นี่ไม่ใช่การตัดพ้อให้อีกฝ่ายเห็นใจแต่อย่างใด ไม่ใช่เลยจริง ๆ แม้ตนไม่ใช่คนดีมากนักแต่ก็ไม่อยากเกิดใหม่ในร่างสุนัขจรจัดหรอกนะ
“ไม่เอาเกิดเป็นหมาจรได้ไหมครับ ขอเป็นหมาคนรวยแทนนะ”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรกับเจ้าดี”
“ทำไมครับ หรือผมต้องเกิดเป็นหมาจริง ๆ”
“ความจริงแล้วข้าพาวิญญาณมาผิดดวงน่ะ จริง ๆ แล้วเจ้าต้องไปชดใช้กรรมหนึ่งร้อยปีก่อนจะได้ไปเกิดใหม่ในโลกที่เจ้าเคยจากมาดังเดิม แต่วิญญาณที่ข้าต้องการนั้นเขาต้องมาเกิดเป็นฮ่องเต้ของแคว้นอี้หลางซึ่งมีชะตาเป็นมังกร แต่เจ้าไม่ใช่”
“อ่าว แล้วผมต้องทำยังไงครับ นี่มันเป็นความผิดของคุณเลยนะ คุณต้องรับผิดชอบ” ให้ตายเถอะแม้แต่ผู้คุมดวงวิญญาณก็มีความผิดพลาดหรือนี่ เขาไม่อยากจะเชื่อเลย
“ถ้าเช่นนั้น เจ้ายอมไปอยู่ในร่างของเด็กคนนั้นแทนได้หรือไม่เล่า” ผู้คุมดวงวิญญาณเสนอทางเลือกเดียวที่มีให้แก่ชายหนุ่ม
“หลานของยายแก่มหาปะลัยนั่นน่ะหรือ ไม่เอาหรอกครับ” หยางเทียนหรงส่ายหน้า เขาไม่อยากไปวางมวยกับหญิงชราจนอีกฝ่ายความดันขึ้นหรอกนะ
“หากเจ้าปฏิเสธ ดวงวิญญาณของเจ้าจะแตกดับไปร้อยปี จากนั้นจึงได้ไปเกิดใหม่อีกครั้ง แต่จะได้เกิดเป็นสุนัขจรจัด หลังเจ้าตายอีกครั้งจึงจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง”
“มันจะเกินไปแล้วนะครับ คุณเอาวิญญาณผมมาผิดแล้วยังคิดที่จะลอยแพกันอีกแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน ผมพึ่งตายนะ ดวงวิญญาณไร้ญาติ ตอนมีชีวิตก็ป่วยกระเสาะกระแสะจนตาย แล้วยังมาถูกใครก็ไม่รู้ที่บกพร่องในหน้าที่ทำร้ายอีก โฮ ผมจะร้องเรียนเจ้านายของคุณ ว่าคุณทำงานห่วยแตกมาก” ชายหนุ่มคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวพลางเหล่สายตาไปยังผู้คุมวิญญาณตรงหน้าเล็กน้อยว่าอีกฝ่ายจะหลงกลความการละครของตนหรือไม่
พาเขามาผิดที่แล้วจะไม่รับชอบกันมันใช้ได้ที่ไหน
เขาไม่ยอมหรอกนะ
“เอาล่ะ ข้าผิดเองที่นำพาดวงวิญญาณของเจ้ามาผิดที่ ดังนั้นข้าจะรับผิดชอบด้วยการมอบไก่วิเศษให้เจ้าหนึ่งตัว ไก่ตัวนี้มันจะให้ผลผลิตแก่เจ้าไปตลอดทั้งชีวิตจนกว่าตัวเจ้าจะตายจากโลกแห่งนี้ไป อ้อ แล้วต้องเป็นไก่ที่เจ้าสัมผัสเป็นตัวแรกหลังจากเข้าร่างเด็กคนนี้”
“ให้แค่ไก่หนึ่งตัวทั้งที่คุณพาดวงวิญญาณผมมาผิดดวงเนี่ยนะ ให้น้อยเกินไปไหม เห็นคนอื่นเขาได้มิติเก็บของเอย น้ำพุวิเศษเอาไว้ปลูกผัก หรือแม้แต่มิติห้างสรรพสินค้าอะไรนั่นน่ะ มีประโยชน์กว่าไก่ตัวเดียวอีก ให้อย่างอื่นไม่ได้หรือไงกัน”
แล้วทำไมต้องเป็นไก่ด้วย เขาไม่เข้าใจ
“สำหรับเจ้าที่ควรจะได้เกิดเป็นสุนัขจรจัด ของแค่นี้ก็นับว่าดีเกินไป เพราะฉะนั้นหลังจากที่ฟื้นขึ้นจงใช้สติเลือกให้ดี ข้าต้องไปแล้ว”
เอาจริงดิให้แค่ไก่ตัวเดียวเนี่ยนะ ไอ้ผู้คุมวิญญาณเฮงซวย!
“อ้าว เดี๋ยวสิคุณ เหวอ”
ให้ตายสิ ไม่น่าเลย หากจับได้ไก่ตัวผู้จะทำอย่างไรดี หยางเทียนหรงยืนตีอกชกลมได้ไม่นานก็ถูกดึงดวงวิญญาณให้กลับไปเข้าร่างของเด็กหรงหรงอย่างไม่ตั้งตัว
อึก
“ร่างกายนี้มันจะเจ็บปวดเกินไปแล้ว ยายแก่นั่นใจร้ายจริง ๆ ทุบตีไม่ยั้งมือกับเด็กตัวแค่นี้” หยางเทียนหรงเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ความรู้สึกแรกหลังจากที่รู้สึกตัวคือความเจ็บปวดตามร่างกายโดยเฉพาะบริเวณศีรษะที่คาดว่าน่าจะบวมช้ำไม่น้อย ต่อมาคือความทรงจำของเจ้าของร่างตั้งแต่ยังจำความได้มาจนถึงปัจจุบัน
สารเลวนัก
คนแซ่อันทั้งหลายอย่าให้ตนได้แข็งแรงบิดาจะสั่งสอนให้รู้สำนึก
บทที่ 38 ไข่สีดำ ในระหว่างที่เฝ้ารอให้ไข่เยี่ยวม้าที่ตนเองได้ลงมือพอกถึงเวลาอันสมควรที่จะนำมาขายที่ตลาดได้นั้น หยางเทียนหรงจำต้องลองนำไข่เยี่ยวม้าที่ลุงโจวทำเอาไว้ก่อนหน้ามาให้บรรดาลูกค้าที่มาเลือกซื้อไข่ไก่ที่แผงเป็นประจำได้ลิ้มลองรสชาติก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากไข่เยี่ยวม้ายังมีความคาวอยู่มากหากนำมาให้กินดิบคงไม่อาจขายให้ผู้ใดได้ ดังนั้นเด็กน้อยจึงทำการแปรรูปเป็นอาหารที่สามารถทำได้ทั่วไป แต่เพิ่มไข่เยี่ยวม้าเป็นตัวชูโรงความอร่อย อาหารที่เด็กน้อยเลือกทำมาในวันนี้นั่นก็คือ โจ๊กหมู แม้จะดูเป็นเพียงอาหารจืดชืดธรรมดาแต่เมื่อหั่นไข่เยี่ยวม้าที่มีรสเค็มวางลงไป ยามที่กินเข้าไปนั้นความเค็มจากไข่เยี่ยวม้าจะทำให้โจ๊กหมูธรรมดากลับมีรสชาติดีขึ้นมาเลยทีเดียว “นี่เจ้าหนู เหตุใดวันนี้จึงมีโจ๊กหมูมาขายด้วยเล่า เจ้าอยากขายอาหารหรือ” เกาซือหรงเห็นเด็กน้อยวางถ้วยดินเผาเรียงกันนับสิบใบแล้วทำการตักโจ๊กหมูใส่ลงถ้วยพวกนั้น ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าต้องการขายไข่เยี่ยวม้าขอรับลุงเกา” “ไข่เยี่ยวม้า? มันคือสิ่งใดกัน” ไข่เยี่ยวม้า
บทที่ 37 ไข่เยี่ยวม้า และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึงเมื่อลุงโจวเดินมาพร้อมไข่ห่อขี้เถ้าหลายฟองที่ได้ลงมือหมักไปเมื่อเจ็ดวันก่อน ยามนี้ได้เวลาที่จะได้รู้แล้วว่ามันเหมือนกับที่ตนเคยเห็นหรือไม่ “คุณชายไข่เยี่ยวม้าของข้าน้อยพร้อมที่จะนำไปกินได้แล้วขอรับ” “ไข่เยี่ยวม้า? ไข่ห่อขี้เถ้านี่นะหรือลุงโจว” มือน้อยหยิบไข่ที่อยู่ในไหดินออกมาหนึ่งฟองแล้วพิจารณาอย่างถี่ถ้วนพลางขมวดคิ้ว คล้ายมากจริง ๆ จะใช่หรือไม่กัน “ใช่แล้วขอรับคุณชาย ไข่เยี่ยวม้าเป็นไข่ถนอมอาหารของทางใต้ที่เป็นบ้านเกิดของข้าก่อนที่จะย้ายเข้าไปเป็นพ่อบ้านในจวนของขุนนาง เนื่องจากทางใต้มีหน้าร้อนยาวนานมากกว่าหน้าหนาวนักอีกทั้งยังนิยมเลี้ยงไก่ไข่ส่งออกขายไปยังต่างเมืองรวมถึงเมืองท่าซือหลินด้วย แม้จะส่งออกไปขายแทบทุกวันก็ตาม แต่แม่ไก่กลับออกไข่มากเกินไปจนขายออกไม่ทันและเน่าเสียไปมากมายจนวันหนึ่งมีพ่อค้าจากแดนไกลเดินทางเข้ามาพร้อมไข่เยี่ยวม้าพวกนี้” โจวหลี่หรงวางไหดินลงแล้วหยิบไข่ขึ้นมาพร้อมแกะขี้เถ้าออกจนเหลือถึงแค่เปลือกไข่จากนั้นจึงตอกไข่เบา ๆ จนเปลือกแตกออกเผยให้เห็นเนื
บทที่ 36 จัดการป้าซุน“ข้าก็ซื้อเหมือนกัน มิเห็นว่ามันเน่าอย่างที่เจ้าว่าเลยสักนิด” “ใช่ ๆ สามีของข้าก็ซื้อไปเมื่อสองวันก่อน แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะเน่าอย่างที่นางหลี่ว่าจริง ๆ” เสียงชาวบ้านหลายคนที่เดินผ่านมาได้ยินเรื่องราวต่างเอ่ยขึ้นเพื่อยืนยันคำพูดของท่านหมอชราจนทำให้ชาวบ้านหลายคนมองสตรีที่นอนร่ำไห้อยู่ที่พื้นด้วยสายตาดูแคลน “เด็กน้อยอุตส่าห์ทำมาหากินด้วยความขยันขันแข็งเพื่อที่จะเลี้ยงดูบิดาที่ดวงตามืดบอด เหตุใดเจ้าถึงสร้างเรื่องราวใส่ความได้กัน ทั้งที่เจ้าก็มีแขน ขา และดวงตาที่สมบูรณ์กว่าแท้ ๆ แม่นาง” หมอชราเอ่ยตำหนิสตรีตรงหน้าพลางส่ายหน้าแล้วเดินกลับไปหยิบหมูทอดและห่อข้าวบนเกวียนจากนั้นจึงขึ้นรถม้ากลับไปยังโรงหมอ โดยปล่อยให้หญิงสาวเอ่ยคร่ำครวญความเจ็บช้ำออกมาอยู่เช่นนั้น ไม่มีผู้ใดเชื่อลมปากของนางอีกต่อไปในทางกลับกันทหารที่คุ้มกันอยู่จวนท่านเจ้าเมืองก็เดินเข้าไปลากตัวนางออกไป ส่วนแผงเช่าก็ถูกริบทุกอย่างจนหมดสิ้น “พวกท่านจะไปรู้อะไร ลองให้เจ้าหนูไปขายของเหมือนกันดูบ้างสิ มันแย่งลูกค้าข้าไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่จะให้ข้าอยู่เฉยได้หรือ เหอะ
บทที่ 35 ไข่เน่า สามวันต่อมา หลังจากวันที่สนทนาเรื่องขยายเรือนพ่อบ้านโจวก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด ในทางกลับกันยามนี้ทั้งลุงโจวและลุงโม่ต่างสนทนากันเรื่องการสร้างเรือนได้ถูกคอยิ่งนัก หยางเทียนหรงจึงให้พอบ้านโจวอยู่คุมการสร้างเรือนจนกว่าจะเสร็จสิ้น ส่วนตนเองก็เดินทางออกมาขายไข่ไก่ดังเดิมเพราะหยุดขายไปสองวันแล้ว ขาดรายได้ไปหลายตำลึงทำให้เด็กน้อยต้องออกมาค้าขายให้ได้วันนี้ “คุณชายดูแลตนเองให้ดีนะขอรับ และกลับก่อนยามโหย่วด้วย เข้าใจที่ข้าน้อยบอกหรือไม่คุณชาย” โจวหลี่หรงเอ่ยย้ำอีกคราหลังคุณชายตัวน้อยเริ่มหาวออกมา “ลุงโจวเอ่ยกับข้ามาห้าครั้งแล้ว ข้าไปได้และจะกลับมาก่อนยามโหย่ว” “ข้าเป็นห่วงนี่ขอรับ” “ข้าจะดูแลตนเองให้ดีขอรับ ส่วนลุงโจวก็ดูแลกล่องไม้นั้นให้ดีที่สุดเช่นกันนะขอรับ” “ไม่ต้องกังวลขอรับคุณว” เพราะเห็นว่ามันสายมากแล้วเด็กน้อยจึงเอ่ยร่ำลา “อย่ากังวลนักเลยพ่อบ้านโจวข้าอยู่ทั้งคน จะรีบกำชับให้เจ้าหัวผักกาดรีบกลับเรือนโดยเร็ว” บิดาทำการย้ำเตือนอีกคราว่าเด็กน้อยมิได้ไปเพียงลำพัง พ่อบ้านจะได้คลายค
บทที่ 34 ขยายเรือนอีกครั้ง วันนี้ก็เป็นอีกวันที่มีไข่ไก่เหลืออยู่นับยี่สิบฟองซึ่งมากกว่าทุกวัน นั่นยิ่งตอกย้ำไปอีกว่ากิจการขายไข่ไก่เริ่มสั่นคลอนเล็กน้อย ยิ่งยามนี้แม่ไก่สาวเริ่มเติบโตเต็มที่ไข่ไก่ที่ออกมาล้วนแต่ขนาดที่ใหญ่จนต้องขึ้นราคามาเป็นฟองละห้าอีแปะ ทำให้สูญเสียลูกค้าไปบ้างแต่ก็ส่วนน้อยเนื่องจากขนาดของมันนั้นใหญ่มากกว่าร้านที่ขายในราคาเดียวกันเสียอีก “คุณชายกลับกันเถิดขอรับ หากรอไปมากกว่านี้เห็นทีจะถึงเรือนหลังตะวันตกดิน มันไม่เป็นผลดีแน่ขอรับ” การเดินทางไปยังหมู่บ้านซีเป่ยหลังตะวันตกดินนั้นมิใช่เรื่องที่ดีเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไม่มีเพื่อนร่วมทางแล้วด้วยมันจะกลายเป็นเป้าโจมตีของพวกโจรป่าที่ชอบดักปล้นชิงคนที่เดินทางเพียงลำพังยามค่ำคืน ฉะนั้นกันไว้ดีกว่า
บทที่ 33 พ่อบ้านสกุลหยาง อาการของทาสที่หยางเทียนหรงไถ่ตัวออกมานั้นนับว่าสาหัสพอสมควร เพราะบาดแผลมิได้มีเพียงแค่รอยจากแส้เท่านั้น มันยังมีรอยจากการถูกคมดาบเฉือนเนื้อมากมายนับไม่ถ้วน จนไม่คาดคิดเลยว่าทาสผู้นี้จะมีชีวิตรอดได้นานมากเพียงนี้ “ข้าจัดการบาดแผลภายนอกจนหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ให้บุรุษผู้นั้นตื่นขึ้นมาดื่มโอสถแก้บอบช้ำภายในเท่านั้น” “ขอบคุณท่านหมอที่ช่วยเหลือท่านลุงผู้นี้เอาไว้นะขอรับ” “ลุงของเจ้าหรือ” “มิใช่ขอรับ เขาเป็นทาสที่ข้าได้ช่วยเหลือเอาไว้เพราะไม่อยากให้คนผู้นี้ถูกพ่อค้าทาสทุบตีจนตาย&