ログインคำแก้วยกแขนข้างที่มีรอยสักขึ้นมาดูอีกครั้งเสือตัวนั้นเป็นการสักน้ำมันภาพของมันคมชัดเหมือนเสือมีชีวิตจริง ๆ นัยน์ตาเคร่งขรึมของมันกำลังจ้องหน้าเธอเขม็ง แต่คำแก้วก็มองมันกลับไม่วางตาเช่นกัน
“กลิ่นดอกไม้หอมมาจากไหนกัน” คำแก้วเอ่ยขึ้นเบา ๆ เธอยกแขนตัวเองขึ้นแล้วสูดดมตรงรอยสักนั้น “อือ มาจากตรงนี้นี่เอง ทำไมมันถึงมีกลิ่นหอมได้นะ” คำแก้วสงสัยหนักขึ้น
มือเล็กลูบรอยสักนั้นเบา ๆ
ดวงตาดำขลับเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นเมื่อรอยสักนั้นกลายเป็นห้องมิติที่มีประกายสีเงินระยิบระยับ ภายในนั้นมีปืนสั้น มีดสั้น เครื่องมือล่าสัตว์และอุปกรณ์ป้องกันตัวอีกหลายอย่าง สำคัญกว่านั้นมันมีเครื่องช็อตไฟฟ้าแบบพกพาด้วย
“โอ้! นี่มันอะไรกัน” คำแก้วอุทานตาโตหัวใจเต้นรัวแรง เธอหยิบเครื่องช็อตไฟฟ้าออกมาดู “เฮ้ย! ใช้ได้จริงอีกด้วย” ด้วยความตื่นเต้นคำแก้วลุกขึ้นยืนแล้วกระโดดโลดเต้นหัวเราะร่าอยู่คนเดียว เธอชอบเดินป่าเขาลำเนาไพร มีเครื่องมือล่าสัตว์แบบนี้ก็ดีสิ จะได้ช่วยครอบครัวหาอาหาร ไม่ต้องมานั่งกินไข่มื้อละฟองเช่นนี้
“พี่ดูคำแก้วสิเล่นอยู่คนเดียว ดีใจอยู่คนเดียว” คำพองมองลูกสาวด้วยความเอ็นดู
“ก็เป็นเรื่องปกติของลูกอยู่แล้วนี่” บางครั้งคำแก้วก็ร้องไห้อยู่คนเดียว หัวเราะคนเดียวเป็นประจำ
ทั้งสองรู้สึกดีใจที่พอลูกหายป่วยเธอก็ดูสดใสร่าเริงขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะก่อนหน้านี้ส่วนมากคำแก้วเอาแต่นั่งหงอยเหงาทั้งวัน จะอารมณ์ดีขึ้นก็ต่อเมื่อพ่อให้ช่วยรดน้ำผักและเล่นน้ำในลำธาร
ช่วงกลางวันคำแก้วเห็นพ่อเดินกะเผลก ๆ เก็บผักเธอจึงเดินไปหา สงสารพ่อเหลือเกินไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้โดนตัดขาข้างหนึ่งแบบนั้น “พ่อเก็บผักอะไรหรือคะ”
“ผักโขม เก็บเอายอดอ่อนและดอกอ่อนของมัน” เข้มบอกลูกสาวเสียงเย็น
“พ่อจะทำอะไรกินหรือคะ”
“ต้มใส่ข้าว”
หา! ต้มผักโขมใส่ข้าว คำแก้วอึ้งไปพักหนึ่ง นั่นมันอาหารของหมูนะคะคุณพ่อ เธอเพิ่งเคยได้ยิน แต่ถึงอย่างไรอยู่ที่นี่เธอต้องปรับตัวให้ไว ไม่เช่นนั้นเธอจะอดตาย มีอะไรให้เอาเข้าปากก็เอาเข้าไปก่อน คนอื่นกินได้เธอก็ต้องกินได้เหมือนกัน
ว่าแล้วคำแก้วก็ก้มลงเด็ดยอดและดอกอ่อนของผักโขมช่วยพ่อด้วยความคล่องแคล่วว่องไว ความจริงแล้วไอ้ผักชนิดนี้มันก็มีวิตามินอยู่หลายตัวเช่นกัน กินแล้วก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น
เข้มมองลูกสาวด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปมากขึ้น ปกติถ้าไม่สอน คำแก้วจะทำอะไรไม่เป็น ถึงทำเป็นก็ต้องคอยย้ำบ่อย ๆ เธอไม่สามารถตัดสินใจเองได้ แต่นี่เธอกลับเลือกยอดอ่อนและดอกอ่อนของผักโขมได้อย่างสวยงาม เดิมทีคำแก้วไม่สามารถแยกดอกอ่อนกับดอกแก่ของผักโขมได้ และสิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่างที่เขาสัมผัสได้จากตัวลูกสาวก็คือกลิ่นกายที่หอมกรุ่นเฉกเช่นกลิ่นดอกมหาหงส์ คนที่เป็นลูกศิษย์หลวงตาโมกย่อมรู้จักกลิ่นนี้ดี
“เดี๋ยวฉันเอาไปล้างให้นะคะ”
“ล้างเป็นเหรอ?” ไม่ หมายถึงเธอล้างผักสะอาดอย่างนั้นเหรอ
“เป็นค่ะ พ่อไปรอบนบ้านเถอะค่ะ” คำแก้วบอกพ่อเสียงใส แค่ล้างผักทำไมจะทำไม่เป็น
“อืม พ่อไปก่อไฟรอนะ” ยิ่งมองเธอก็ยิ่งเปลี่ยน
“ค่ะ”
คำแก้วเดินลงไปยังลำธารที่มีน้ำใส เธอรวบชายผ้าถุงขึ้นแล้วเดินลงไปในลำธารตรงจุดที่น้ำสูงเพียงแข้งจากนั้นก็ล้างผักให้สะอาด เสร็จแล้วนำผักไปให้พ่อ คิดในแง่ดีว่าการเดินเท้าเปล่าบนพื้นดินพื้นหญ้าแบบนี้ก็ถือว่าเป็นการกราวดิ้งอย่างหนึ่ง เพียงแต่ต้องกราวดิ้งทั้งวันก็แค่นั้นเอง
เดินมาถึงบันไดพ่อกำลังจะลงไปด้านล่างพอดี
“พ่อจะไปไหนเหรอคะ”
“ไปเอาฟืน”
“อ้อ เดี๋ยวฉันไปเอามาให้ค่ะ อยู่ตรงไหนเหรอคะ”
“นั่งไง พ่อผ่ากองไว้ใต้ต้นมะขามเทศ” เข้มชี้นิ้วบอกลูก
คำแก้วยื่นตะกร้าผักให้พ่อแล้วเดินไปยังกองฟืนที่พ่อบอก เข้มมองตามลูกด้วยความแปลกใจ คำแก้วไม่ใช่เด็กชอบอาสา ถ้าไม่บอกเธอก็ทำอะไรไม่ค่อยเป็นแต่ว่าตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมาคราวนี้ดูท่าทางกระฉับกระเฉงมากขึ้น ชอบอาสาทำนั่นทำนี่ หรือว่าสิ่งที่เขาคิดจะเป็นเรื่องจริง
เดินออกมาถึงปากทางเข้าก็ได้ยินเสียงคนเรียก “คำแก้ว!” มันดังกึกก้องไปทั่วทั้งป่าใหญ่ เป็นเสียงของพ่อเธอเอง คำแก้วหยุดฟังพลางคิดว่าพ่อของเธอจะมาที่ป่านี้ได้อย่างไร เธออาจจะหูฝาด จากนั้นก็รีบสาวเท้าออกมาจากป่าโดยเร็ว เพลานี้ก็น่าจะบ่ายแก่แล้ว ป่านนี้พ่อสิงห์ แม่บุญรอด และดวงคงกลับไปก่อนแล้ว ทุกคนคงเป็นห่วงเธอแย่ รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่เดินเข้าไปในป่าลึกโดยไม่ได้บอกใคร ก็มันเดินเพลินจนลืมตัว ตลอดเวลาที่เดินออกมาจากป่าคำแก้วต้องหยุดเดินอยู่หลายรอบ รู้สึกเหมือนมีคนกำลังเดินตามมาข้างหลัง แต่พอหันกลับไปมองก็ไม่เจอใครเธอจึงรีบก้าวเท้าเร็วขึ้น คำแก้วเดินออกมาถึงทางห้าแยกที่จะเลี้ยวเข้าหมู่บ้านสี่แจและหมู่บ้านอื่น ๆ ก็เจอกับชายฉกรรจ์สามคนยืนขวางอยู่ตรงหน้า คำแก้วเดินต่ออย่างไม่รู้สึกเกรงกลัว “เฮ้ย! มีคนเดินมาทางนี้ว่ะ” “ลูกพี่มันแบกหมูป่าตัวเบ้อเร่อมาด้วย” “เอาของมีค่าทั้งหมดมาจากมันให้ได้” “แต่มันเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เองนะลูกพี่” “พ่อมึงสอนให้โจรอย่างพวกมึงใจดีกับพวกผู้หญิงเหรอวะ” คนที่เ
คำแก้วเดินเข้ามาในป่าลึกและก็ไม่รู้ว่าลึกมากเท่าไรแล้ว แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเลยสักนิด ยิ่งเดินเข้ามาก็ยิ่งสนุก สายตามองเห็นต้นมะพอกใหญ่ต้นหนึ่งประมาณสิบคนโอบ ที่โคนต้นของมันมีโพรงขนาดใหญ่พอที่คนจะเดินเข้าไปได้ กระรอกตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากตรงนั้น ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงเดินเข้าไปดูว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง บนหลังสะพายกระบุงที่มีเห็ดถอบอยู่เกือบครึ่ง ป่านี้อุดมสมบูรณ์จริง ๆ ถ้าช่วงฤดูใบไม้ผลิคงมีทั้งผักป่าและไข่มดแดงแน่ เธอก้าวขาเข้าไป พอก้าวที่สามกลับมีแสงวาบสีรุ้งสาดส่องออกมา อยู่ดี ๆ ร่างเธอก็โดนดูดเข้าไปในนั้นแบบไม่ทันตั้งตัว “ว้าย!” เธอกรีดร้องเสียงดังและไม่อาจต้านแรงดึงดูดนั้นได้จนหน้าแทบคะมำ คำแก้วยืนนิ่งงันเมื่อตั้งหลักได้ มองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้นเจือประหลาดใจ มันเป็นป่าสมุนไพรนานาพรรณ และที่สำคัญมีผลไม้หลากชนิดให้เธอเลือกกิน ผลไม้ทุกต้นลูกดกเต็มต้น มันเป็นเหมือนป่าวิเศษที่ไม่จำกัดฤดูกาลก็มีผลไม้ให้กินตลอด ดวงตากลมโตมองสิ่งที่อยากกินอยู่เบื้องหน้าแค่เพียงมือเอื้อมก็เก็บกินได้แล้ว คำแก้วกลืนน้ำลาย
คำแก้วเปิดผ้าคลุมหน้าออกมือข้างขวาเสยผมยาวไปด้านหลัง ทำท่าทางกวน ๆ สาวเท้าไปหายายทั้งสองแล้วพูดเสียงดังเหมือนหาเรื่อง “เอ๋อแล้วมันหนักกบาลใครมิทราบ” ยายสองคนถึงกับหน้าเหวอ คนอื่นที่ยืนอยู่เริ่มมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่คิดว่าคำแก้วจะกล้าตอบโต้ด้วยวาจาที่ค่อนข้างก้าวร้าวเช่นนี้ “ถ้าอีเอ๋อตบคนแก่ก็คงไม่ผิดสินะ จริงไหมคะ” คำแก้วพูดทีเล่นทีจริงทำท่าเอียงคอเหมือนเด็กปัญญาอ่อนตามที่พวกเขาเข้าใจ คำแก้วกัดกรามแน่นง้างฝ่ามือเล็กขึ้นเมื่อเดินเข้ามาใกล้ส่งเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “สักทีดีไหมฮึ”“ว้าย!” ยายทั้งสองร้องเสียงหลง และเอียงหน้าหลบยกแขนขึ้นมาตั้งการ์ด“อย่านะ อย่าเข้ามานะ อีเด็กปัญญาอ่อน ชอบใช้กำลังเหมือนพ่อมึง” ยายจูเอาตัวไปหลบอยู่ด้านหลังชาวบ้านคนอื่นที่มาด้วยกัน“ถ้าไม่อยากโดนฉันตบหน้าหมุนก็รีบพากันไปเก็บเห็ดซะ ก่อนที่ฉันจะอดใจไม่ไหว” ไม่ใช่แค่หน้าหมุน หัวอาจจะหลุดไปด้วยก็ได้ เพราะเธอยังไม่เคยลองใช้ฝ่ามือพิฆาตตบใครสักคน และเธอก็คงไม่ตบใครพร่ำเพรื่อด้วย“ไปกันเถอะพวกเรา ไอ้ลูกคนบ้านป่าเมืองเถื่อน” ไม่วายยายนุ่นยังหันกลับมาพูดอีกทุกคนเดินจากไปด้วยแววตาหวาดกลัว กลัวว่าคำแก้วจะได้เลือดโจรจากพ
เช้าวันรุ่งขึ้นคำแก้วสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาไม่เจอแม่ คาดว่าเธออาจจะลุกมาหุงหาอาหาร เธอมองดูผ้าถุงของตัวเองด้วยความตกใจ ชายผ้าถุงเกือบจะเลื่อนขึ้นมาพันอยู่ที่เอวเพราะเธอไม่เคยสวมผ้าถุงนอน กว่าจะนุ่งได้เมื่อวานตอนอาบน้ำเสร็จก็ลองจนเมื่อย ชายผ้าถุงไม่เสมอกันก็ช่างมันเถอะ เธอจะสวมแบบนี้ ใครจะมองยังไงเธอก็ไม่สนใจคำแก้วเดินย่องตามออกมา เมื่อคืนหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัวพอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกปวดเมื่อยร่างกายไม่น้อย พื้นบ้านมันแข็งเกินไปเธอจึงยังไม่ค่อยชินแต่เอาเถอะ! มีที่ให้นอนก็ดีแล้ว ใช่ว่าที่เรียนปริญญาตรีมาสี่ปีเธอจะไม่เคยลำบากเลยเสียงคำพองหักกิ่งไม้เล็กใส่ในเตาไฟเพื่อเป็นเชื้อเพลิง สายตาเธอหันมามองเมื่อรู้สึกเหมือนมีคนเดินมาด้านหลังคำพองตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่เดินออกมาแต่เช้ามืด “คำแก้ว ตื่นเร็วจังลูก”“ฉันอยากช่วยแม่ทำอาหารค่ะ”“…งั้นไปเอาน้ำใส่หม้อนึ่งมาให้แม่ก็แล้วกัน” ส่วนมากลูกทั้งสามจะตื่นพร้อมกันก็ต่อเมื่อตอนฟ้าสางแล้ว แต่วันนี้คำแก้วดูแปลกไป“ค่ะ” ถ้าเธอสามารถช่วยครอบมครัวได้เธอก็อยากจะทำ ทุกคนจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก แม่กับน้องคงทำงานหนักมาตลอด เธออยากจะชดเชยส่วนนี้ให้กับพวกเขาคำแก
คำพองวางบัวรดน้ำแล้วเดินเข้ามาหา “ขอบใจมากนะ” คำพองหยิบขนุนที่ผ่าครึ่งลูกออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่แล้ววางไว้บนแคร่ ไม่ลืมที่จะเด็ดใบตองมาวางรองเพื่อไม่ให้ยางของมันเปื้อนแคร่“พรุ่งนี้แม่ชวนแม่คำพองไปเก็บเห็ดด้วยค่ะ”“อืม แม่คงไปด้วยไม่ได้ แม่ไม่สบายยังไม่ค่อยหายดีเท่าไร กลัวจะไปเป็นลมล้มในป่าเดี๋ยวจะเป็นภาระทุกคน” คำพองบอกดวงนภาด้วยความเกรงใจ เธอยังมีอาการมึนศีรษะอยู่มากจึงไม่กล้าไปเก็บของป่าด้วยคำแก้วเดินตามหลังแม่มาได้ยินเข้าจึงเอ่ยขึ้นทันที “ให้ฉันไปกับดวงนะคะแม่” เธออยากลองไปหาของป่าดูบ้าง เพราะตอนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยก็เคยไปเก็บเห็ดกับเพื่อนในป่าของมหาวิทยาลัยเหมือนกัน แต่ป่าก็ไม่ได้กว้างมากมายนักคำพองหันมาถามลูกสาวด้วยแววตาฉงน “รู้เหรอว่าเห็ดไหนกินได้กินไม่ได้” ทุกครั้งที่ให้ไปด้วยก็ถามทุกครั้งจนคนโดนถามเมื่อยปากไปหมด เห็ดชนิดเดียวถามอยู่เป็นร้อยรอบ ทางที่ดีให้คำแก้วอยู่บ้านจะดีกว่า“ให้ดวงบอกก็ได้ค่ะ จริงไหมจ๊ะดวง” คำแก้วหันไปขอความเห็นจากเพื่อน เธอมีความจำดี ถามแค่ครั้งเดียวก็รู้หมดว่าเห็ดชนิดนั้นกินได้หรือไม่“คำแก้วหายป่วยแล้วเหรอ” ดวงนภาได้ยินข่าวว่าเธอป่วยหนักมาหลายวัน นี่ก
คำแก้วเรียงดุ้นฟืนที่ยาวประมาณหนึ่งศอกเป็นกองเล็กแล้วลองแบกขึ้นบ่า พอรู้สึกว่าเบาไปจึงหยิบขึ้นเติมเรื่อย ๆ จนแขนเริ่มโอบไม่มิด แต่ก็ยังรู้สึกเบาราวกับแบกนุ่นคำแก้วขมวดคิ้วแล้วพึมพำกับตัวเอง “ทำไมไม่รู้สึกหนักเลยนะ”เพื่อให้ทุกอย่างกระจ่าง คำแก้ววางฟืนทั้งหมดลงจากบ่าแล้วเดินไปยังหินก้อนใหญ่ที่อยู่ข้างริมธาร เดินไปถึงก็มองไปรอบทิศ มั่นใจว่าไม่มีคนเห็นเธอจึงก้มลงยกหินก้อนใหญ่ขึ้นมา มันน่าจะหนักราวสองร้อยกิโลกรัมได้ คำแก้วยกหินก้อนนั้นขึ้นได้อย่างง่ายดายทั้งที่ดูเหมือนเธอผอมแห้งแรงน้อยเช่นนี้ เธอทึ่งในความสามารถของตัวเองก่อนจะวางหินก้อนนั้นลงที่เดิมเจ๋งว่ะ!ยังมีเรื่องอะไรให้ประหลาดใจอีกไหม เธอเริ่มจะชอบกับการที่จะได้ใช้ร่างนี้ผจญภัยในยุคนี้เสียแล้วสิ มีทั้งอาวุธ มีทั้งพลัง แบบนี้คงสนุกไม่น้อยคำแก้วแบกฟืนมัดใหญ่ขึ้นไปบนเรือน ผู้เป็นพ่อเห็นก็ตกใจ“คำแก้ว แบกมาเยอะแบบนั้นเดี๋ยวก็หลังหักกันพอดี” ทั้งที่ลูกสาวเพิ่งหายป่วย แต่เธอไม่มีท่าทีว่าเหนื่อยหอบเลยสักนิด เรียงฟืนขึ้นบนบ่าได้อย่างสวยงามอีกต่างหาก“ฉันทำได้ค่ะพ่อมันไม่หนักหรอกค่ะ” คำแก้วยิ้มให้พ่อเต็มใบหน้าเข้มจ้องใบหน้าลูกสาวอย่างไม่







