อูเยว่เอ๋อร์กำหมัดแน่น เหตุที่นางเสียหน้าไปจนหมดสิ้น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะซ่งรั่วเจิน!บัดนี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องตอบโต้กลับไปให้ได้!“เจ้าไปบอกอ๋าวเจี๋ย การต่อสู้ในคืนนี้ จะต้องชนะเท่านั้น!”“ไม่เพียงต้องชนะ ข้ายังต้องการให้ซ่งเยี่ยนโจวตายอีกด้วย!” สายตาอูเยว่เอ๋อร์เปี่ยมความโหดเหี้ยม “ในเมื่อซ่งรั่วเจินพูดว่าพวกเขาสกุลซ่งจัดงานมงคลแต่ไม่เชิญข้า เช่นนั้นข้าก็จะทำให้พวกเขาจัดงานอัปมงคลแทน!”“เพคะ องค์หญิง”......หลังซ่งรั่วเจินได้รู้เวลาและสถานที่ที่ซ่งเยี่ยนโจวและอ๋าวเจี๋ยนัดหมายกันไว้ดีแล้ว ภายในสายตาสะท้อนแววนึกสนุก“ชิงเถิง ไป๋จื่อ เมื่อวานพวกเจ้าเองก็ได้พบอ๋าวเจี๋ยแล้ว สามารถตัดสินวรยุทธ์ของเขาได้หรือไม่ว่าเป็นเช่นไร?”ชิงเถิงและไป๋จื่อสบตากันแวบหนึ่ง ทันใดนั้นสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา“พระชายา อ๋าวเจี๋ยคนนั้นเป็นแม่ทัพในสนามรบ มือเปื้อนโลหิตนับไม่ถ้วน วรยุทธ์ย่อมไม่แย่” ชิงเถิงพูดด้วยสีหน้าจริงจังเมื่อก่อนตอนพวกนางฝึกวิชายุทธ์ภายในค่ายทหาร ได้พบคนวรยุทธ์แข็งแกร่งไม่น้อย เพียงมองผ่านลมหายใจก็สามารถรู้ได้อย่างชัดเจน“พละกำลังของอ๋าวเจี๋ยคนนั้นแข็งแกร่งจริงๆ แต่
วันต่อมา อูเยว่เอ๋อร์หลับไปช่วงหนึ่งก็ตื่นขึ้นมา เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ก็รู้สึกราวกับเป็นฝันร้ายฉากหนึ่ง นางเสียใจจริง ๆ ที่ตนไม่สามารถชิงลงมือก่อน กลับกลายเป็นว่าให้ซ่งรั่วเจินชิงนำไปหนึ่งก้าว เป็นเหตุให้ตนไม่มีโอกาสระบายความแค้นด้วยซ้ำ กลับถูกคนอื่นหัวเราะเยาะแทน! “ปี้เอ๋อร์ วันนี้เหล่าองค์ชายบอกว่าจะไปที่ใด?” อูเยว่เอ๋อร์เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็อดมิได้ที่จะสบตากันไปมา แววตาฉายแววลนลานออกมาแวบหนึ่ง “มีอะไรหรือ?” อูเยว่เอ๋อร์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “องค์หญิง วันนี้ไม่มีการนัดหมายใด ๆ เพคะ” ปี้เอ๋อร์เอ่ยด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ “อะไรนะ?” แววตาอูเยว่เอ๋อร์ฉายแววไม่อยากจะเชื่อ “เหตุใดจึงไม่มีการนัดหมายเล่า? พวกเจ้าเข้าใจผิดไปหรือไม่?” นับตั้งแต่นางมาถึงเมืองหลวง ทุกวันล้วนมีการนัดหมายจากเหล่าองค์ชาย แม้ว่านางตั้งใจจะแต่งงานกับฉู่จวินถิง แต่การได้ไปมาหาสู่กับองค์ชายทั้งหลายนั้น นางก็รู้สึกยินดีไม่น้อย หญิงงามผู้มีคุณธรรม ชายชาตรีย่อมใฝ่หา ในนั้น นางรู้สึกว่าองค์ชายเจ็ดก็ไม่เลวเลย เพียงแต่ หล
คนที่นางเชื่อที่สุดก็คือรั่วเจิน แค่นางบอกว่าไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ย่อมไม่เป็นไรแน่ ซ่งเยี่ยนโจวเห็นว่าเมื่อตนพูด ภรรยายังไม่ค่อยเชื่อ พอน้องหญิงห้าเอ่ยปาก ภรรยาเขาก็เชื่อโดยไม่ลังเล ก็รู้สึกขันอยู่ในใจ “อ๋าวเจี๋ย เช่นนั้นเราก็นัดประลองสักคราหนึ่งเถิด เจ้าเลือกเวลาและสถานที่ เพื่อที่จะได้ไม่บอกว่าข้ารังแกเจ้า!” ซ่งเยี่ยนโจวเอ่ย อ๋าวเจี๋ยหัวเราะออกมาหนึ่งครา “ดี!” ทุกคนเห็นว่าทั้งสองนัดประลองกัน ในใจก็อดตั้งตาคอยไม่ได้ คนของราชวงศ์ฉีเยว่มาถึงที่นี่ยังคิดเล่นงานซ่งเยี่ยนโจว นี่มันหาเรื่องใส่ตนเองไม่ใช่หรือ! “ข้าว่า คนราชวงศ์ฉีเยว่พวกนี้นิสัยสันดานแก้ไม่หาย บัดนี้ถูกเราปราบพ่ายแล้ว แต่จิตใจอันสกปรกเช่นนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยวางลง!” “ก็ใช่น่ะสิ เดิมทีก็มิใช่คนดีอะไร วันมงคลของสกุลซ่งในวันนี้ ยังกล้ามาทำให้เกิดลางร้ายอีก!” “หากซ่งเยี่ยนโจวไม่จัดการบุรุษคนผู้นี้ให้เจ็บหนัก ข้าก็ดูต่อไม่ไหวแล้ว!” “เขายังมีความคิดนัดประลองกันอยู่ที่นี่ ก็ไม่ดูเสียเลยว่าองค์หญิงของเขา สภาพกลายเป็นเยี่ยงไรแล้ว!” เมื่อถ้อยคำนี้เอ่ยออกมา ทุกคนก็หัวเราะขึ้นอีกครั้ง ความครึกคร
ใบหน้าของอูเยว่เอ๋อร์อับอายถึงขีดสุด นี่เป็นวันที่มืดมนที่สุดในชีวิตของนาง ทั้ง ๆ ที่นางตั้งใจพาอ๋าวเจี๋ยมาทำให้คนสกุลซ่งขายหน้า ใครจะคิดว่าออกศึกยังมิทันสำเร็จ กลับตายเสียก่อน นางยังมิทันได้กระทำสิ่งใดเลยชื่อเสียงก็พังย่อยยับเสียแล้ว! เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ทนรับสายตาเหล่านั้นไม่ไหวจริง ๆ ดวงตาทั้งสองปิดลง ก่อนจะแสร้งเป็นลมไปทันที อูจิ่งซั่วเองก็ไม่รู้ว่าควรจะจบเรื่องนี้ลงเช่นไร เมื่อเห็นอูเยว่เอ๋อร์เป็นลมไป กลับถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในวินาทีถัดไป เขาก็ลำบากใจอีกครา หากเขาอุ้มอูเยว่เอ๋อร์ขึ้นมา ตัวเขาเองมิใช่หรือที่จะต้องเปรอะเปื้อน? “เร็ว! อุ้มองค์หญิงกลับไป!” ผู้ติดตามข้างกายรีบอุ้มองค์หญิงขึ้นมา ผู้คนจึงเร่งจากไป อ๋าวเจี๋ยมองซ่งเยี่ยนโจวที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน แววตาฉายแววผิดหวังวูบหนึ่ง คิดถึงตอนนั้นในสนามรบ เขาเคยเสียเปรียบด้วยน้ำมือซ่งเยี่ยนโจวอยู่ไม่น้อย ในใจจึงขุ่นเคืองมาโดยตลอด ไม่คิดเลยว่าครั้งสุดท้าย ซ่งเยี่ยนโจวเห็นทีว่าจะถูกคนในค่ายทหารลวงวางกับดัก รับข่าวกรองที่ผิดพลาดมา จึงตกมาอยู่ในมือของเขา ตอนนั้นเขานึกว่าซ่งเยี่ยนโจ
ในตอนนั้นเอง แม่ทัพนายหนึ่งเอ่ยปากขึ้น เมื่อเขากล่าวจบก็มองไปทางซ่งหลิน พวกเขาล้วนกลับมาจากสนามรบ อ๋าวเจี๋ยผู้นั้นสันดานเป็นอย่างไร พวกเขาย่อมรู้อย่างแจ่มแจ้ง วันนี้สกุลซ่งจัดงานมงคล คนของราชวงศ์ฉีเยว่พวกนั้นจงใจมาสร้างเรื่องวุ่นวายชัด ๆ ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาย่อมต้องทำหน้าที่เจ้าบ้านให้สมเกียรติ! “เร็วเถิด สิ่งที่พระชายาฉู่อ๋องพูดจริงทุกประการ! หรือท่านจะไม่เชื่อพวกเรา?” ตอนนี้อูจิ่งซั่วอยู่ ๆ ก็เข้าใจแล้วว่าอะไรเรียกว่าอยากพูดแต่พูดไม่ได้ ท่ามกลางการเร่งเร้าของคนมากมาย ตัวเขาไม่มีทางถอนตัวได้เลย! “เยว่เอ๋อร์ วันนี้คงต้องลำบากเจ้าแล้ว” พออูเยว่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดนี้จากพี่ชายตน หัวใจก็กระตุกวูบหนึ่ง รู้สึกแค่ว่าบ้าไปแล้วจริง ๆ นี่พี่ชายจะเชื่อคำพูดของคนพวกนั้นแล้วมาตีนางจริง ๆ หรือ? ใบหน้าของนางยามนี้ถูกตบจนเจ็บแสบร้อน หากยังถูกฝ่ามือหนัก ๆ ของพี่ชายตบอีกหลายครา เช่นนั้นต่อจากนี้ อย่าได้คิดจะออกจวนเลย! “เพี๊ยะ!” อูจิ่งซั่วข่มใจ และก็ทำได้เพียงทอดถอนใจเงียบ ๆ ว่าน้องสาวโง่เง่าจริง ๆ อยู่ดีไม่ว่าดี ดื้อดึงทำเรื่องเยี่ยงนี้ บัดนี้กลับก
เห็นน้องสาวของตนออกหน้าแทนตน หัวใจซ่งเยี่ยนโจวก็เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ ที่จริงเจินเอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้ด้วยซ้ำ แต่เพราะรู้ว่าสองพี่น้องคู่นี้นำอ๋าวเจี๋ยมามิใช่เพราะเหตุผลอื่นใด นอกเสียจากจงใจดูหมิ่นเขา จึงบังเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ได้มีน้องสาวที่ดีเยี่ยงนี้ เป็นวาสนาของเขาจริงๆ! “อูจิ่งซั่ว เรื่องนี้พวกเจ้าว่าอย่างไร?” ฉู่จวินถิงมองอูจิ่งซั่วที่ลังเล ดวงตาคู่งามหรี่ลงเล็กน้อย “หากมิได้ผีเข้า หรือว่าพระชายาของข้ากล่าวถูกต้องแล้ว พวกเจ้าคิดเช่นนี้อยู่จริงๆ?” ชั่วขณะนั้น อูจิ่งซั่วรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าแววตาที่มองมาทางเขาของทุกคนในงาน ล้วนแปรเปลี่ยนไปแล้ว แค่เขากล้ายอมรับ เกรงว่าพวกเขาสองพี่น้องก็คงอยู่ที่นี่ต่อไปอีกไม่ได้ “ผีเข้าแล้ว!” อูจิ่งซั่วกล่าวอย่างไม่ลังเล อูเยว่เอ๋อร์เองก็มิอาจเอื้อนเอ่ยได้ ครั้นเห็นเสด็จพี่ยอมรับแล้ว นางนอกจากต้องกลืนความขมขื่นนี้ลงไป ยังจะกล่าวสิ่งใดได้อีกเล่า? สตรีนางนี้เห็นได้ชัดว่า ก่อนลงมือก็คิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะทำเช่นไร ไม่เพียงแต่ตบตีนางโดยไม่รับผิดชอบใด ๆ สุดท้ายยังถึงขั้นให้