Masuk“ท่านพ่อ ท่านยังจำเรื่องเต้าหู้เหม็นก่อนหน้านี้ได้หรือไม่?” หลังจากที่ซ่งรั่วเจินพูดจบ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น หัวใจก็ต่างเกิดเสียงตึกตัก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นไม่สู้ดี “เช่นนั้นเจ้าก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วหรือ?” “แท้จริงแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เหลียงอ๋องปิดบังเอาไว้อยู่ตลอด ร่างกายของเขาหายดีตั้งนานแล้ว เพียงแต่แสร้งภายนอกทำเป็นคนขี้โรคเท่านั้นเอง” ซ่งรั่วเจินไม่ได้ปฏิเสธ บัดนี้การฟาดฟันกลายเป็นเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป “เขารวบรวมผู้มีที่เก่งกาจเหนือคนไว้ลับหลังเพื่อทำงานให้เขา ก่อนหน้านี้ฉู่อ๋องอยู่ชายแดนมาตลอด จึงไม่ได้กระทบอะไรต่อเขา” “เพียงแต่เพราะในช่วงไม่นานนี้ ฉู่อ๋องได้ทำเรื่องดีเอาไว้หลายเรื่องติดต่อกัน จนได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ทำให้เขารู้สึกถูกคุกคาม จึงเริ่มลงมือเล่นงานพวกเรา” “จวนฉู่อ๋องคุ้มกันแน่นหนา ข้ากับท่านอ๋องก็ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ทำให้เขาไม่มีโอกาส เพราะแบบนี้เขาจึงคิดเล่นงานท่านพ่อ เพื่อใช้เรื่องนี้มาบีบข้าแทน” กู้หรูเยียนในแววตาเต็มไปด้วยความกังวล “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า? เหลียงอ๋องในยามปกติภายนอกสุภาพ อ่อ
สองแม่ลูกสบตากันแวบหนึ่ง ความคิดของพวกเขาเรียกได้ว่าเหมือนกัน ฉู่จวินถิงพยักหน้า “เสด็จแม่วางใจเถิด เรื่องนี้กระหม่อมจะจัดการให้เหมาะสมแน่ ไม่ให้พระองค์ต้องเป็นกังวล” “ตั้งแต่เด็กเจ้าก็ไม่ทำให้เสด็จแม่วุ่นวายใจ ข้ารู้ดี แท้จริงแล้วตลอดหลายปีนี้ เป็นข้าที่ติดหนี้เจ้ามาตลอด ไม่อาจดูแลเจ้าให้ดีได้” ฮองเฮานึกได้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา จวินถิงต้องนำทัพไปรบภายนอกมาตลอด นางอยู่ห่างไกลนับพันลี้ อยากดูแลก็ไร้หนทาง บัดนี้ต่อให้กลับมาแล้ว กลับยังมีภัยอันตรายมากมายเช่นนี้ แต่นางเชื่อมั่นในความสามารถของจวินถิง รอให้จัดการตัวเคราะห์ภัยอย่างเหลียงอ๋องผู้นี้ได้แล้ว องค์ชายพระองค์อื่นย่อมต้องเกรงกลัว ในใจนางก็ปรารถนาให้จวินถิงได้เป็นรัชทายาท เพียงแต่ว่าทั้งหมดนี้ยังต้องดูพระประสงค์ของฮ่องเต้ “เสด็จแม่ ปกป้องบ้านเมืองก็เป็นเรื่องที่กระหม่อมควรทำอยู่แล้ว พระองค์ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลย” ฉู่จวินถิงไม่เคยบ่นที่ต้องลำบากอยู่ภายนอกมาหลายปี เขารู้สึกมาตลอดว่าเช่นนี้ก็ดีมากแล้ว หากไม่สามารถเอาชนะศึกได้ ก็จะมีผู้คนเพิ่มมากขึ้น ที่ต้องพลัดถิ่นไร้บ้าน...... ครั้นถึงยามอาหารเท
ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์ รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจจริง ๆ ฉู่จวินถิงหยิบยาลูกกลอนออกมาเม็ดหนึ่ง ก่อนจะกลืนลงไป แล้วให้อวิ๋นหยางช่วยเขาทายาที่บาดแผล รอจนจัดการได้ประมาณหนึ่งแล้ว หมอหลวงถึงค่อยมาถึง “หมอหลวง เจ้าดูหน่อยเถิด บาดแผลของเขาจัดการเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อฮองเฮาได้ยินว่าฉู่อ๋องได้รับบาดเจ็บ ก็รีบเสด็จมาด้วยความเร่งรีบ ในดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล “ฉู่อ๋องอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงได้รับบาดเจ็บเล่า? ไม่ได้พาผู้ติดตามมาด้วยหรือ?” ฮ่องเต้เห็นท่าทางร้อนรนของฮองเฮา จึงหันหน้าไปมองฉู่จวินถิง เรื่องนี้ให้ตัวเขาชี้แจงเองเถิด “เสด็จแม่อย่าได้ทรงวิตก กระหม่อมก็แค่มีบาดแผลภายนอกเล็กน้อย ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะซ่อนตัวอย่างลึกลับนัก ตอนเข้าจับกุมจึงเผลอได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย” ฉู่จวินถิงกล่าวอธิบาย เมื่อฮองเฮาได้ยินดังนั้น ก็อดปวดใจไม่ได้ “เรื่องการจับกุมเช่นนี้ เหตุใดเจ้าต้องลงมือด้วยตัวเองด้วยเล่า ราชองครักษ์มากมายขนาดนี้ ควรปล่อยให้พวกเขาลงมือ!” “คำพูดนี้ของเสด็จแม่ถูกต้องนัก ต่อไปเจ้าจงระมัดระวังในการกระทำให้มากหน่อย ความปลอดภัยของตนเองต่างหากที่สำคัญที่สุด” ฮ่องเ
“ข้าก็เคยเป็นองค์ชาย ย่อมรู้ถึงความคิดยามเป็นองค์ชายอย่างแจ่มชัด มักอยากทำตนให้ดีต่อหน้าเสด็จพ่อ ไม่แน่ว่าโอกาสนี้จะตกมาที่ตนก็เป็นได้” “เสด็จพ่อ กระหม่อมหาได้มีความคิดเช่นนั้นไม่” ฉู่จวินถิงรีบเอ่ยขึ้น ฝ่าบาทยกพระหัตถ์ขึ้น เป็นเชิงให้ฉู่จวินถิงอย่าร้อนรน “ข้ารู้ว่าเจ้าคือบุตรที่ดี หลายปีที่ผ่านมามักให้เจ้าออกไปนำทัพออกศึกอยู่ข้างนอก เจ้าทนทุกข์เพียงใด ต้องลำบากเท่าไร ข้าล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจทั้งสิ้น” “หากเจ้ามีความคิดเช่นนั้นจริง ความจริงก็ปกติมาก ในเหล่าพี่น้องทั้งหลายของเจ้าเหล่านี้ เจ้านับว่ายอดเยี่ยมที่สุด” ฉู่จวินถิงคิดไม่ถึงว่าเสด็จพ่อจะตรัสถ้อยคำเหล่านี้ออกมาตรง ๆ ถึงเพียงนี้ ในใจก็พลันไม่แน่ใจว่านี่เป็นการทดสอบความคิดของเขาหรือว่าเป็นเรื่องจริงกันแน่ “ความจริงแล้ว ในใจข้าก็มีความคิดอยู่นานแล้ว เพียงแต่เจ้าชักช้าไม่แต่งงาน ข้าเลยอยากจะผัดไปอีกหน่อย” “ไม่อย่างนั้น หากแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาทจริง ๆ เจ้าไม่อยากแต่งงานก็คงไม่ได้แล้ว” ฮ่องเต้หัวเราะเบา ๆ หนึ่งครา “นึกถึงตอนนั้นที่เสด็จปู่ของเจ้ายังอยู่ เขาเคยกล่าวไว้ว่า ในบรรดาหลานมากมาย เจ้าเหมือนเขา
ซ่งรั่วเจินไม่ได้อธิบาย อวิ๋นหยางทำได้เพียงหอบความสงสัยที่อัดแน่นอยู่เต็มอกกลับวังไปภายในพระราชวังฝ่าบาททอดพระเนตรฉู่จวินถิงที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะตรัสว่า “เจ้าไปจัดการกับบาดแผลของเจ้าให้เรียบร้อยก่อนเถิด”“เสด็จพ่อ ลูกเพียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น หาใช่เรื่องใหญ่อันใด” ฉู่จวินถิงตอบกลับฝ่าบาททอดถอนใจออกมาอย่างเหลืออด โลหิตสีสดเหล่านี้ย้อมเสื้อด้านหลังของเขาเป็นสีแดงฉานแล้ว ยังบอกว่าบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยอีกหรือ?โอรสตัวดีคนนี้ เหมือนเขาตอนหนุ่มไม่มีผิดเพี้ยน ไม่เหมือนโอรสคนอื่น ที่มัวแต่เสพสุขทั้งวันจนเคยตัว ได้รับบาดแผลเพียงเล็กน้อยก็โอดครวญจะเป็นจะตายให้ได้ ต่างกับคนที่เคยผ่านศึกสงครามกลับมาอย่างสิ้นเชิง“เจ้าทำงานหนักมาหนึ่งคืนเต็ม พอเสร็จเรื่องสิ่งแรกที่ทำมิใช่รักษาบาดแผล แต่สั่งคนให้รีบนำข่าวกลับไปรายงาน ความสัมพันธ์สามีภรรยาของพวกเจ้าดูจะไม่เลวเลยจริง ๆ”ฝ่าบาทกล่าวหยอกเย้าเล็กน้อย แรกเริ่มเดิมทีเขาก็ให้ความสำคัญกับเจ้าสามอยู่แล้ว เพียงนี้ฝีมือการเข่นฆ่าศัตรูในสมรภูมิรบของเจ้าสามก็ปราดเปรื่องเชี่ยวชาญดีอยู่หรอก ทว่าให้เขาสมรสกลับทำเหมือนถูกพรากชีวิตไปเสียอย่างนั้นจ
“เจินเอ๋อร์ เจ้าอยากมัวแต่กังวลใจเกินไปนักเลย มากินมื้อเช้ากันก่อนเถิด”กู้หรูเยียนเห็นบุตรสาวของตนเองท่าทางราวกับมีเรื่องราวมากมายถาโถมเข้ามาในใจ แม้ความจริงตัวนางเองก็กลัดกลุ้มกังวลใจมากไม่ต่างกัน ทว่าจนบัดนี้แล้วก็ยังไม่มีข่าวที่เชื่อถือได้กลับมาเลยซ่งหลินพยักหน้า “เจินเอ๋อร์ อีกเดี๋ยวข้ากับพี่ชายใหญ่ของเจ้าก็ต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทในท้องพระโรงแล้ว เข้าวังคราวนี้คงได้ยินข่าวคราวอะไรมาบ้าง เจ้าวางใจเถิด”ซ่งรั่วเจินเห็นคนในครอบครัวเป็นห่วงตนเองถึงเพียงนี้ ก็ผุดยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็แค่คิดว่านานเพียงนี้แล้วยังไม่กลับมา เกรงว่าต้องมีเรื่องใหญ่พอสมควรเกิดขึ้นแน่ ทว่าข้าเองก็ไม่ได้กังวลใจมากนัก ตอนแรกข้าก็ลองคำนวณดวงชะตาของท่านอ๋องแล้ว หาใช่ดวงเลวร้ายไม่”ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนถึงจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดีแล้ว”เอาเข้าจริงหากเทียบกับน้องหญิงห้าแล้ว ความกังวลในใจของพวกเขาก็มิได้น้อยไปกว่ากันเลย ฉู่อ๋องอยู่ดี ๆ ก็มีท่าทีเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำยังตั้งใจส่งน้องหญิงห้ากลับมาที่จวนแห่งนี้ด้วย พวกเขาจะไม่กังวลใจได้อย่างไร“ข้าจะได้โล่งใจ







