 LOGIN
LOGIN
ทว่าเมื่อวานเหลียงอ๋องได้ถวายหนังสือเลือดต่อฝ่าบาท พระองค์ทรงเห็นแก่ความกตัญญูในใจเขา จึงโปรดให้นางเข้าวังเป็นกรณีพิเศษภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สำนักหมอหลวงย่อมมิบังอาจทำอะไรส่งเดช แม้แต่เสด็จแม่ยังทรงกังวลพระทัย มีรับสั่งให้ฉู่มู่เหยาติดตามนางมาด้วยกัน คิดว่าเรื่องนี้จะประมาทไม่ได้เด็ดขาดในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็มีความเป็นไปได้เพียงแต่ข้อเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือบุคคลผู้นี้จะต้องเป็นแพะรับบาปที่ถูกซื้อตัวมาแน่ ๆ“พ่ะย่ะค่ะ พระชายาฉู่อ๋อง”หมองหลวงหวังแสดงท่าทางนอบน้อมออกมาอย่างชัดเจนยิ่งนัก ไม่รอช้าก็เริ่มเล่ารายละเอียดของเรื่องทั้งหมดให้ฟังอย่างถี่ถ้วนไม่มีตกหล่นนับแต่อาการแรกเริ่มของตวนเฟย ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงในระยะหลังมานี้ รวมถึงตำรับโอสถในการรักษาว่าได้ใช้อะไรไปแล้วบ้าง และภายหลังจากรับประทานโอสถตามใบสั่งยาแล้วเกิดผลลัพธ์อย่างไรก็ได้เล่าออกมาด้วย ทุกอย่างกระจ่างแจ้งแม่นยำยิ่งนักฉู่มู่เหยาไม่เข้าใจวิชาแพทย์มากนัก รู้สึกว่าสิ่งที่เอ่ยออกมาล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น ไม่มีส่วนใดขัดแย้งแม้แต่น้อยทว่า ตัวนางก็เติบโตในวังหลวง มองจากถ้อยคำเมื่อครู่ของพี่สะใภ้แล้ว ย่อมสัมผัสได้ว่าม
“ข่าวอะไรอย่างนั้นหรือ?”เห็นฉู่มู่เหยากดเสียงลง ท่าทางมีลับลมคมใน ซ่งรั่วเจินอดสงสัยไม่ได้“ก่อนหน้านี้องค์ชายจากราชวงศ์ฉีเยว่กลับไปแล้วมิใช่หรือ? เดาว่าคงจะเล่าเรื่องของพวกข้าไปหมดแล้วกระมัง รวมถึงเรื่องที่อูเยว่เอ๋อร์อยากแต่งแก่พี่ชายสามทว่าไม่สำเร็จด้วย”“บัดนี้มีข่าวจากทางราชวงศ์ฉีเยว่ส่งมา โดยกล่าวไว้ว่าหวังว่าทางฝั่งพวกข้าเองจะคัดเลือกองค์หญิงหนึ่งพระองค์ส่งไปอภิเษกกับทางนั้นเช่นกัน”ฉู่มู่เหยาแบะปากไปที ชัดเจนว่าไม่พอใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง “ดูจากพฤติกรรมของอูจิ่งซั่วและอูเยว่เอ๋อร์ ข้าก็รู้สึกว่าคนของราชวงศ์ฉีเยว่ล้วนป่าเถื่อนทั้งสิ้น“องค์หญิงที่ถูกเลี้ยงดูมาในวังอย่างพวกข้า ล้วนอ่อนหวานงดงามเพียบพร้อม เกรงว่าไปที่นั่นแล้วจะต้องได้รับความทุกข์เป็นแน่”“เรื่องนี้กับเจ้าคงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันกระมัง?” ซ่งรั่วเจินถามอย่างไม่รอช้าฉู่มู่เหยาหัวเราะออกมาเบา ๆ “ข้าทราบว่าท่านพี่สะใภ้เป็นห่วงข้า เพียงแต่เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลใจ ข้ามีคนในใจแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าได้เล่าให้เสด็จแม่รับทราบเรียบร้อยแล้ว”“เสด็จแม่ตรัสว่าจะนำเรื่องนี้ไปทูลต่อเสด็จพ่อ เพื่อเลี่ยงมิให้ผ่า
“ตอนนี้นี้เชิญพี่สะใภ้มารักษา หากรักษาไม่ได้ เช่นนั้นไม่เสื่อมเสียชื่อเสียงของพี่สะใภ้หรือ?”สีหน้าฮองเฮาไม่สบอารมณ์ “เดิมทีไม่คิดใส่ใจต่อเหลียงอ๋อง ใครคิดเล่าว่าเขาอดอาหารสามวัน เขียนฎีกาเลือดถวายฝ่าบาท”“ตวนเฟยคือมารดาผู้ให้กำเนิดเขา ไม่ว่าเขาทำผิดเช่นไร ทว่าทำเช่นนี้เพื่อมารดาผู้ให้กำเนิด เล่าลือออกไปผู้คนย่อมชื่นชมเขาว่ากตัญญู”“เสด็จพ่อของเจ้ากริ้วหนักต่อเรื่องที่เหลียงอ๋องก่อไว้ แต่สุดท้ายแล้วเรื่องนั้นผู้ที่ทำเลยเถิดเกินไปก็คืออูเยว่เอ๋อร์”ฟังแล้ว ฉู่มู่เหยาก็เข้าใจแจ่มชัด สีหน้าฉายแววไม่พอใจหลายส่วน“เหลียงอ๋องจะมีความกตัญญูหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา เหตุใดให้พี่สะใภ้ของข้าต้องมารับเคราะห์ด้วยเพราะความกตัญญูของเขาด้วย?”“ก่อนหน้านี้เพิ่งเกิดเรื่องนั้นขึ้น บัดนี้เสด็จพี่ก็ไม่อยู่ในวัง กลับให้เชิญพี่สะใภ้เข้าวัง เช่นนี้หากรักษาหายก็ดีไป แต่หากรักษาไม่หาย ย่อมมีคนบางพวกกล่าวหาว่านางมีแต่ชื่อเสียงจอมปลอม”ฮองเฮาตบมือฉู่มู่เหยาเบา ๆ พูดว่า “เดี๋ยวพี่สะใภ้ของเจ้าเข้าวังแล้ว เรื่องนี้ข้าไม่สะดวกยื่นมือเข้าไป เจ้าไปอยู่กับพี่สะใภ้ของเจ้าเถอะ”“ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา หาก
เมื่อซ่งรั่วเจินกลับถึงจวนท่านอ๋องด้วยความเบิกบาน ฉู่จวินถิงยังไม่กลับมา“พระชายา ท่านอ๋องได้ส่งคนมาแจ้งไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะออกไปนอกเมืองสักเที่ยว น่ากลัวว่าคืนนี้คงกลับไม่ทันขอรับ” ผู้ดูแลพูดซ่งรั่วเจินได้ฟัง พยักหน้า กลับไม่แปลกใจแท้จริงแล้วเมื่อก่อนฉู่จวินถิงมักทำงานอยู่ภายนอก หลังแต่งกับนาง ก็ออกนอกเมืองน้อยลงมาก“ข้ารู้แล้ว”ซ่งรั่วเจินพักผ่อนงีบหนึ่ง พอตื่นขึ้นมากลับรู้สึกจิตใจไม่สงบ“พระชายา ท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ? หรือว่ารู้สึกไม่สบายที่ใด?” เฉินเซียงเห็นท่าทีผิดปกติไปของซ่งรั่วเจิน จึงเผยสีหน้ากังวล“ข้าไม่เป็นอะไร”ซ่งรั่วเจินโบกมือ มือกลับเริ่มทำนาย นี่เป็นสัญญาณอันตรายต่อตนเองอย่างหนึ่งหรือว่าจะมีคนฉวยโอกาสตอนท่านอ๋องไม่อยู่ลงมือกับนาง?หากเป็นเช่นนี้จริง นอกจากเหลียงอ๋องแล้ว คงไม่มีคนอื่นอีกขณะกำลังครุ่นคิด ข่าวจากในวังกลับส่งมาถึงอย่างกะทันหัน“พระชายา ตวนเฟยทรงประชวรหนัก เมื่อคืนเหลียงอ๋องเขียนฎีกาเลือดขึ้นถวายฝ่าบาท พูดว่าพระชายาฝีมือแพทย์เลิศล้ำ จะต้องช่วยตวนเฟยได้แน่”ซ่งรั่วเจินฟังกงกง ยิ้มเย็นภายในใจ เหลียงอ๋องคนนี้มีความสามารถโดยแท้ก่อนนี้ตกลงกันไ
“หากไม่ใช่นางเป็นผู้ทำนายหาตำแหน่งที่อยู่ของปิ่นปักผมออกมาได้ น่ากลัวว่าวันนี้คงต้องเสียเวลาเถียงกันเรื่องนี้ไปอีกนานไม่น้อย ช่างน่ารำคาญสิ้นดี”ซ่งหลินมองบุตรสาวของตน ภายในใจยังอดรู้สึกภาคภูมิไม่ได้“เจินเอ๋อร์มีความสามารถอย่างแท้จริง เหตุที่จวนของพวกเรารุ่งเรืองขึ้นทุกวัน ก็ล้วนต้องขอบคุณนางทั้งสิ้น”ทุกคนบอกลากันที่หน้าประตูจวนหลู แล้วแยกย้ายกันกลับซ่งจืออวี้เก็บรอยยิ้มเอาไว้ไม่มิด คลี่ยิ้มโง่งมอยู่ตลอด กู้หรูเยียนมองดูลูกชายซื่อบื้อของตน ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “เจ้าลูกซื่อบื้อคนนี้ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยชอบหญิงสาวมาก่อน มาบัดนี้ในที่สุดก็ได้หมั้นกับคนในดวงใจ ดีใจจนกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว”“ข้าว่า คืนนี้เขาคงตื่นเต้นจนไม่อาจข่มตาหลับได้อย่างแน่นอน”“ข้ากลับคิดว่าเป็นเช่นนี้ดีมากนัก ในที่สุดก็ได้แต่งกับหญิงสาวที่ชอบ ใครบ้างเล่าจะไม่ดีใจ?”ซ่งหลินพลอยยิ้มตาม สีหน้าดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด “นึกถึงคืนที่งานแต่งของข้าและเจ้าถูกกำหนดลง ข้าเองก็ดีใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน”“มาบัดนี้พริบตาเดียวลูกชายกลับถึงวัยแต่งงานแล้ว หนำซ้ำยังจะมีหลานอีกด้วย เร็วเหลือเกิน”กู้หรูเยียนหน้าแดง ตีซ่งหลิ
เจี่ยเยว่อิงเอ่ยวาจาน้ำเสียงละมุนอ่อนโยน ทว่าแฝงไปด้วยความเย้ยหยันอย่างชัดเจนเมื่อครู่ตอนที่พวกเขาพูด นางล้วนได้ยินอย่างชัดเจน หลานสาวของนางกำลังไข้ขึ้นสูง ลูกสาวของนางก็ไม่ได้นอนทั้งคืน ยังต้องถูกพวกเขาทรมานอยู่อย่างนี้วันนี้หากพวกเขากลับไปเช่นนี้ น่ากลัวว่าลูกสาวของนางก็ยังจะมิอาจได้นอนหลับพักผ่อนอย่างสงบ คืนนี้อย่าหวังจะได้นอนดี ๆ ในเมื่อเช่นนั้น ไม่สู้รับตัวพวกเขากลับไปอยู่ด้วยกันให้หมดเลยจะดีกว่า ที่จวนของพวกเขามีคนช่วยดูแล ทั้งยังไม่มีเรื่องให้ปวดหัว ลูกสาวย่อมได้พักผ่อนดี ๆ หลานสาวเองก็จะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมยิ่งกว่าสีหน้าหลูฮูหยินและเกาจิ้งฉือล้วนไม่สบอารมณ์ แต่บัดนี้ทั้งคู่ต่างนิ่งงันไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่ครึ่งคำกลับเป็นหลูจวิ้นอี้ที่เมื่อได้ยินว่าแม่ภรรยาจะพาตัวภรรยาเขากลับจวน ก็รีบเอ่ยขึ้นทันที “ท่านแม่ยาย ข้าได้ยินข่าวว่าน้องหญิงรองกำลังจะหมั้น ข้าสามารถติดตามฮูหยินไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ?”ซ่งรั่วเจินกับคนอื่น ๆ เห็นท่าทางนั้นแล้วต่างก็อดขำไม่ได้ ส่วนฉู่กุยเสวี่ยกลับหน้าแดงเรื่อ นางรู้ดีถึงนิสัยของมารดาตนดี เวลานี้ย่อมกำลังขุ่นเคืองอยู่บ้าง“ก็หาได้มีผู้ใดห้าม








