ว่าพลาง เขาก็ไม่สนใจถังเสวี่ยหนิงกับพวก ก่อนจะไปนั่งลงตรงที่ว่างระหว่างซ่งรั่วเจินและพวก และตักข้าวใส่ชามให้ตนเอง โชคดีที่เขาถือว่ามาไม่สายเกินไป ช่วงหลายวันนี้กินแต่อาหารมังสวิรัติมากพอแล้วจริง ๆ เดิมยังคิดว่าเสนาบดีศาลต้าหลี่ไปทำธุระแล้ว ใครจะคิดว่าบุรุษผู้นี้ช่างหัวไวจริง ๆ ถึงกลับตามมากินข้าวแล้ว ซ่งรั่วเจินเห็นท่าทีเช่นนั้นของเซียวอ๋องก็ชะงักไปชั่วขณะ นางไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าเซียวอ๋องจะมีสติถึงเพียงนี้ เสนาบดีศาลต้าหลี่อดหัวเราะไม่ได้ แต่ก่อนก็เห็นว่าเซียวอ๋องกับฉู่อ๋องมีสถานะที่อ่อนไหว เวลาอยู่ด้วยกันย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะขัดแย้งกัน กลัวว่าจะยุ่งยากไม่น้อย แต่ว่าหลังจากผ่านช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันที่ศาลต้าหลี่ความสัมพันธ์ก็ดูปรองดองอย่างเห็นได้ชัด เข้ากันได้ดีไม่น้อย ซ่งรั่วเจินมองไปที่ฉู่จวินถิง ก็พบว่าเขาไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจเลย เห็นได้ชัดว่าได้คาดเดาท่าทีของเซียวอ๋องไว้นานแล้ว “เซียวอ๋องเห็นว่าฝีมือเจ้าดีมาโดยตลอด เพียงแต่ตั้งแต่คราวก่อน เจ้าก็ไม่ได้ส่งอาหารมาอีก คราวก่อนยังได้ยินเขากับเสนาบดีศาลต้าหลี่พูดถึงเรื่องนี้ด้วยความเสียดายอยู่เลย” ฉู่
ตอนที่เหลียงอ๋องกับพวกมาถึง ก็เห็นซ่งรั่วเจินกับอีกสองคนกำลังนั่งที่โต๊ะเล็กและเริ่มกินกันแล้ว ถังเสวี่ยหนิงเดิมคิดว่าในสำนักเทียนฉือคงไม่มีอะไรอร่อยแน่ ๆ ไม่นึกเลยว่าจะมีเนื้อสัตว์ด้วย จึงอดประหลาดใจไม่ได้ เซียวอ๋องบอกว่ามากินอาหารมังสวิรัติไม่ใช่หรือ? ครู่ถัดมา เมื่อนางเห็นอาหารมังสวิรัติที่เตรียมไว้ ก็อดตะลึงไม่ได้ อาหารมังสวิรัติที่จืดชืดเช่นนี้ดูแล้วไม่น่ากินเอาเสียเลย จึงอดถามไม่ได้ว่า “ฝ่าบาท เหตุใดพวกเรากินไม่เหมือนพวกเขา?” ฉีชิงอีเห็นซ่งรั่วเจินกินอย่างเอร็ดอร่อย ก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า “พระชายาฉู่อ๋องคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อเที่ยวเล่นจริง ๆ หรอกกระมัง ถึงกับตั้งใจพาพ่อครัวมาด้วย?” ในแววตาของฉีชิงอีฉายความภาคภูมิใจ นางได้ยินมานานแล้วว่าซ่งรั่วเจินถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอม ใช้ชีวิตในเมืองหลวงเรียกได้ว่าฟุ่มเฟือยสิ้นดี ใครให้สกุลซ่งร่ำรวย ร้านค้าเหล่านั้นในมือซ่งรั่วเจินแต่ละแห่งล้วนเป็นก้อนทองคำที่ออกไข่ได้ เดิมทีก็ไม่เห็นมีอะไรที่ไม่เหมาะสม แต่บัดนี้มาที่สำนักเทียนฉือเพื่อสืบคดีกับฉู่อ๋อง แล้วยังฟุ่มเฟือยเช่นนี้ ก็ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง! ฉู่อ๋องมา
ฉู่จวินถิงจูงมือภรรยาของตน เขาไม่สนใจต่อสถานการณ์ตรงหน้า หากเซียวอ๋องตั้งใจอยากแต่งกับถังเสวี่ยหนิงจริงๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ซ่งรั่วเจินพยักหน้างามเบาๆ แล้วตามฉู่จวินถิงออกไป สตรีสามนางก็กลายเป็นละครเรื่องหนึ่ง เพียงฉีชิงอีและถังเสวี่ยหนิงก็วุ่นวายพอแล้ว ถ้าวันนี้คิดจะอยู่ที่นี่ ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าจะมีแต่ความวุ่นวาย “เสด็จพี่สามและพี่สะใภ้ไปที่ไหนกันหรือ?” เหลียงอ๋องเดินมาตรงหน้าเซียวอ๋องแล้วถามขึ้น เซียวอ๋องมองไปยังทิศทางที่ทั้งสองจากไป แล้วเอ่ยว่า “พวกเขาไปกินข้าวกัน ข้าเดิมทีก็ตั้งใจจะไปเช่นกัน” สีหน้าของฉีชิงอีเปลี่ยนไปเล็กน้อย “พวกเขาไปกินข้าวกันเองหรือ? ก็ไม่เรียกพวกเราสักคำ?” “หม่อมฉันนึกว่าพระชายาฉู่อ๋องจะมีท่าทีเช่นนี้กับหม่อมฉันเพียงในยามปกติ ไม่คิดว่าก็เป็นเช่นนี้กับท่านอ๋องทั้งสองเหมือนกัน มันไม่หยิ่งยโสเกินไปหรือ?” ถังเสวี่ยหนิงอดเอ่ยไม่ได้ สีหน้าของเหลียงอ๋องย่อมไม่สู้ดี ฉู่อ๋องตามปกติก็เป็นคนหยิ่งยโสไม่เห็นใครอยู่ในสายตา นิสัยของเขาทุกคนคุ้นชินมานานแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าพระชายาที่เขาแต่งก็มีนิสัยเช่นนี้เช่นกัน “ถ้าพวกเจ้าหิวแล
“ถังเสวี่ยหนิง?” คิ้วโค้งงามของซ่งรั่วเจินเลิกขึ้นเล็กน้อย สีหน้าดูแปลกไป “นางคงไม่ได้…หมายตาพี่ชายใหญ่ของเจ้าแล้วนะ?” ถังเสวี่ยหนิงในฐานะบุตรีอัครเสนาบดี ชาติกำเนิดดีเยี่ยม ในบรรดาสตรีสูงศักดิ์สกุลโด่งดังในเมืองหลวง นับว่าโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง ทว่า เนื่องจากเรื่องราวก่อนหน้านี้ กลายเป็นเรื่องขบขันในสายตาผู้คนจำนวนไม่น้อย บัดนี้เรื่องแต่งงานจึงยังล่าช้าไม่ตัดสินใจ นางเดิมคิดว่าจวนอัครเสนาบดีคงเลิกล้มความคิดให้นางเป็นพระชายาต่อแล้ว ไม่คาดคิดว่ายังคงไม่ล้มเลิก เซียวอ๋องไร้พระชายาเอก ทำให้พวกเขากลับมาคิดการใหม่อีกครั้งหรือ? ฉู่จวินถิงได้ยินคำถามภรรยาของตน เขาก็เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง จะสนทำไมว่านางหมายตาใคร” ซ่งรั่วเจินเห็นฉู่จวินถิงรีบปัดความเกี่ยวข้อง ก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ พลางกล่าวว่า “ตอนนี้ดูเหมือนเป็นคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง แต่เกรงว่าเบื้องหลังยังมีคนช่วยหนุนอยู่” ฉู่จวินถิงในตอนนี้ก็สังเกตเห็นเหลียงอ๋องและพระชายาเหลียงอ๋องที่กำลังเอ้อระเหยลอยชายที่ด้านหลัง คิ้วก็ขมวดขึ้นโดยไม่รู้ตัว สองคนนี้ก็มาด้วยหรือ? พระชายาเหลียงอ๋อง ฉ
“พิธีสวดพระสูตรขอความสุขความเจริญเจ็ดวันนี้ หรือจะเป็นการสวดเพื่อปลดปล่อยวิญญาณของซากโครงกระดูกเหล่านี้?” เสนาบดีศาลต้าหลี่โพล่งขึ้นด้วยความตื่นตกใจ ซ่งรั่วเจินมองซากโครงกระดูกที่ห่างออกไปไม่ไกล ก็ผงกศีรษะพลางเอ่ยว่า “มีความเป็นไปได้สูงเลยทีเดียว” “ข้าเพิ่งสังเกตเมื่อครู่ ซากศพเหล่านั้นมีทั้งชายและหญิง อายุราวสามขวบห้าขวบเห็นจะได้ และเท่าที่ข้าประเมินจำนวนด้วยสายตาเหมือนจะมีเป็นคู่ ๆ” “ให้ดีที่สุดก็ควรให้ขุนนางชันสูตรมาจัดการต่อซากกระดูกเหล่านี้รวมเข้าด้วยกัน และตรวจสอบดูว่าจำนวนเท่ากันหรือไม่” เมื่อสิ้นวาจาของซ่งรั่วเจิน ทั้งฉู่จวินถิงและเสนาบดีศาลต้าหลี่พลันหันหน้าสบตากันทันที ในใจมีข้อสันนิษฐานบางประการไว้แล้ว เด็กช่วงวัยประมาณนี้ อีกทั้งยังเป็นคู่ชายหญิง เช่นนั้นความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือการบูชายัญ ในบางหมู่บ้านห่างไกล เพื่อขอให้ฟ้าอากาศราบรื่นและมีฝนตกต้องตามฤดูกาล ก็จะมีคนไปเลือกเด็กชายเด็กหญิงมาทำพิธีกรรมบูชายัญ อธิษฐานขอพรให้วันรุ่งขึ้นได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ และบ่อยครั้ง เรื่องพวกนี้แม้กระทั่งบุพการีของพวกเด็ก ๆ ก็ยังไม่มีอำนาจตัดสินใจเลยด้วยซ้ำ ทว่าในตอนนี้ราชสำนั
หลังจากซ่งรั่วเจินพูดคุยกันไปได้ครู่หนึ่ง ก็รู้แน่ชัดแล้วว่าแม่ชีอายุน้อยเหล่านี้แทบไม่มีใครทราบเรื่องเหล่านี้กันเลยจริง ๆ ส่วนคนที่พอเป็นไปได้ว่าจะรู้เรื่องราวก็มีเพียงจิ้งอินซือไท่และจิ้งอวิ๋นซือไท่ผู้ซึ่งสนิทสนมกับจิ้งเฉินซือไท่มากที่สุดเท่านั้น นึกถึงตอนแรกธูปและตะเกียงของสำนักเทียนฉือก็หาได้รุ่งเรืองไม่ จิ้งเฉินซือไท่ในตอนแรกเข้ามาที่สำนักเทียนฉือด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ซือไท่รูปก่อนเห็นนางน่าสงสาร จึงรับนางมาอยู่ในความดูแล ไม่เพียงเท่านี้ จิ้งเฉินซือไท่ในตอนแรกก็มีความมุ่งมั่นจะจบชีวิตอยู่ในใจ เพียงแต่ปลิดชีวิตตนเองไม่สำเร็จเพราะมีคนมาช่วยไว้ได้เสียก่อน สุดท้ายภายใต้การเตือนสติของซือไท่รูปก่อน นางจึงอุทิศตนเป็นซือไท่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจแทน ต่อมาเมื่อซือไท่รูปก่อนชราลง ก็ส่งมอบสำนักเทียนฉือไว้ในการดูแลของจิ้งเฉินซือไท่สืบไป “พวกเขาบอกว่าจิ้งอินซือไท่และจิ้งเฉินซือไท่มีที่มาจากจุดเดียวกันหรือ?” คิ้วเรียวรูปใบหลิวของซ่งรั่วเจินเลิกขึ้นเล็กน้อย พลางขบคิดถึงความนัยที่ซ่อนไว้ภายใต้คำพูดนี้ “จิ้งเฉินซือไท่ในตอนแรกก็สิ้นหวังหมดอาลัยตายอยาก สุดท้ายจึงได้มาที่สำนักเทียนฉือ