อัครเสนาบดีถังและหลินจือเยว่คนหนึ่งฝ่ายพลเรือน คนหนึ่งฝ่ายทหาร สนับสนุนเหลียงอ๋อง ช่วยให้เขาสืบทอดราชบัลลังก์ในท้ายที่สุด บัดนี้เมื่อมองดูอีกที ความสัมพันธ์ของพระชายาเหลียงอ๋องกับถังเสวี่ยหนิงแน่นแฟ้นยิ่ง หรือว่าอัครเสนาบดีถังได้เลือกข้างไว้แล้วตั้งแต่ตอนนี้กระนั้นหรือ? “พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ?” ฉู่จวินถิงเห็นทั้งสองกำลังกระซิบกระซาบอยู่เคียงกัน จึงยื่นขนมในมือตนส่งไปให้ “ขนมที่ร้านจวี้ฟาง ลองชิมดูเถิด ว่าชอบหรือไม่?” ซ่งรั่วเจินหยิบบัวลอยข้าวเหนียวขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ดมแล้วก็หอมหวานเหนียวนุ่ม ลองชิมคำหนึ่งก็อร่อยอยู่ไม่น้อย แล้วจึงกล่าวว่า “แค่บังเอิญเจอแม่นางถังกับพระชายาเหลียงอ๋อง จึงประหลาดใจอยู่บ้าง” เมื่อได้ยิน ฉู่จวินถิงก็มองตามสายตาของทั้งสองไป ก็สังเกตเห็นคนสองคนที่ริมฝั่งดังที่คาดไว้ เวลาต่อมา เขากับซ่งรั่วเจินสบตากันหนึ่งครั้ง ในแววตาปรากฏความเข้าใจ พวกเขาคนหนึ่งทะลุเข้ามาในหนังสือ อีกคนหนึ่งก็กลับมาเกิดใหม่ ย่อมรู้สถานการณ์ต่อจากนี้ดี ชาติก่อน เหลียงอ๋องซ่อนตัวจนถึงท้ายที่สุด ก่อคลื่นลมอยู่เบื้องหลัง แต่กลับมิมีผู้ใดสงสัยถึงตัวเ
ในแววตาฉีชิงอีฉายแววลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วโบกมือกล่าวว่า “อาการเจ็บป่วยของท่านอ๋องนั้น มีหมอเฉพาะทางดูแลอยู่ตลอด อีกทั้งตลอดหลายปีที่เขาล้มป่วยมา ก็ไม่เคยชอบนำเรื่องราวบอกแก่ผู้อื่นเลย” “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าเพียงได้ยินมาว่าฮูหยินใหญ่สกุลเมิ่งเจิ้งซิ่วอิ๋ง ครรภ์เกิดการกระทบกระเทือนกะทันหัน คลอดก่อนกำหนด หลังจากที่เสียเลือดไปมาก แม้แต่หมอหลวงก็จนปัญญา” “บังเอิญที่ตอนนั้นซ่งรั่วเจินก็อยู่ด้วย พอได้ลงมือ ก็ราวดั่งมือเทวดาหวนคืนฤดูใบไม้ผลิ ช่วยชีวิตเจิ้งซิ่วอิ๋งไว้ได้” “หลังจากที่ข่าวนี้แพร่ออกมา ข้าก็ได้ยินผู้คนไม่น้อยต่างกล่าวสรรเสริญ ว่าฝีมือการแพทย์ของนางเหนือกว่าหมอหลวง เกรงว่าโรครักษายากทั้งปวง นางล้วนสามารถรักษาให้หายได้” ถังเสวี่ยหนิง เมื่อได้ยินข่าวนี้ ในใจก็ขุ่นเคือง ทำให้ซ่งรั่วเจินเสแสร้งขึ้นมาได้จริง ๆ เช่นนี้จะได้อย่างไรเล่า? นางจำต้องคิดหาหนทางลดทอนความทะนงตนของสตรีนางนี้บ้างแล้ว เหตุใดทำให้นางถูกทำร้ายจนเป็นเช่นนี้ แล้ว ซ่งรั่วเจินจะยังสามารถมีชีวิตรุ่งเรืองได้อีก? นางในเมื่อก่อน เป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์มีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวง คนที่ประสงค์จ
คำพูดของซ่งรั่วเจินทำให้คนฟังยิ้มบาง ๆ เมื่อพินิจมองอย่างละเอียด ก็พบว่าวันนี้น้องหญิงห้างดงามน่ามองยิ่งกว่าทุกวันจริง ๆ เรือล่องทะเลสาบที่ประดับอย่างสวยหรูของสกุลซ่งมีขนาดใหญ่มากเป็นทุนเดิม และถึงแม้ว่าทุกคนจะเข้าไปนั่งด้วยกัน กระนั้นก็ยังกว้างขวางโล่งสบาย ที่ริมฝั่งมีคนจำนวนไม่น้อยต่างมุงดูภาพฉากนี้ ในแววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “วันนี้เป็นวันอะไรหรือ เหตุใดคนสกุลซ่งจึงมากันพร้อมหน้าเชียว?” “ได้ยินว่าวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของพระชายาฉู่อ๋อง นั่นปะไร…ท่านฉู่อ๋องและคนสกุลซ่งต่างก็มาร่วมฉลองวันเกิดให้นางกันพร้อมหน้า เมื่อครู่เพิ่งเห็นคุณชายสี่สกุลซ่งเหมาร้านอาหารทั้งร้านเลยด้วยนะ” “ดูพระชายาฉู่อ๋องสิ นางช่างเป็นสตรีผู้เปี่ยมไปด้วยวาสนาโดยแท้ มิเพียงตระกูลเดิมดี คู่ครองยังประเสริฐ หลังแต่งงานแล้วยังมีงานเลี้ยงวันเกิดที่หรูหราฟุ่มเฟือยเช่นนี้อีก” “ความจริงฮูหยินสกุลอื่นเองก็จัดงานเลี้ยงวันเกิดเหมือนกัน หรูหราฟุ่มเฟือยไม่น้อย เพียงแต่เมื่อเทียบกับพระชายาฉู่อ๋องแล้ว ขาดความน่าสนใจไปหน่อย บอกไม่ถูกว่าจุดไหนที่ขาดความน่าสนใจ?” “จะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ตนเอง คนที่ต้อง
ซ่งเยี่ยนโจวและคนอื่น ๆ พอได้ยินเช่นนั้น ต่างก็หันมองฉู่จวินถิงอย่างอดไม่ได้ ฉู่จวินถิงถึงกับหลุดขำออกมาเบา ๆ “วันนี้เป็นวันเกิดของเจินเอ๋อร์ เอาตามที่นางว่าเถิด” ซ่งเยี่ยนโจวและคนอื่นต่างก็รู้สึกดีใจขึ้นมา อย่างน้อยน้องหญิงห้านางก็ยังมิได้ลืมบรรดาพี่ชายเพียงเพราะแต่งงานมีสามีแล้ว วันเกิดของนางปีนี้พวกเขายังได้ร่วมฉลองไปพร้อมกับน้องหญิงของตนเอง “มิสู้เชิญพี่สะใภ้อีกสองท่านมาด้วยกันเป็นอย่างไรเพคะ” เอ่ยพลาง ซ่งรั่วเจินก็เหลือบสายตามองไปทางฉู่จวินถิงอีกครั้ง “ปกติมู่เหยาเองก็โปรดปรานความครึกครื้นมิใช่หรือ? ครั้งก่อนนางยังบอกว่าอยากออกไปเดินเล่นกับข้า เลือกวันดีมิสู้วันบังเอิญ เช่นนั้นแล้ววันนี้ลองชวนนางออกไปด้วยกันจะดีหรือไม่เพคะ?” ฉู่จวินถิงครั้นได้ยินว่าซ่งรั่วเจินอยากชวนลั่วชิงอินและหร่วนเนี่ยนถังออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันยังคิดว่าเหมาะสม ทว่าพอได้ยินนางเอ่ยถึงฉู่มู่เหยาขึ้นมา เขาพลันรู้สึกแปลกใจขึ้นมา แต่กระนั้นก็มิได้คิดอะไรมาก “เจ้าให้คนไปถามความคิดเห็น ว่านางจะอยากไปด้วยหรือไม่” “เพคะ” ซ่งรั่วเจินผงกศีรษะ หลังจากให้ฉู่จวินถิงรีบส่งคนไปถาม สายตาก็หันมองมายังซ่งจิ่งเซินทันที
“บ่าวว่าพวกเขาดูมีความสุขดี ไม่คล้ายจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเจ้าค่ะ” ไป๋จื่อครุ่นคิดพลางเอ่ยตอบ ซ่งรั่วเจินและฉู่จวินถิงสบตากัน สองคนต่างก็งุนงง จึงไปที่โถงหน้าพร้อมกันอย่างไม่รีรอ ทันทีที่ทั้งสองคนปรากฏตัว ซ่งเยี่ยนโจวพร้อมด้วยน้องชายอีกสามคนต่างก็เผยรอยยิ้มยินดีออกมาบนใบหน้า “น้องหญิงห้า สุขสันต์วันเกิด!” ซ่งเยี่ยนโจวหยิบของขวัญวันเกิดที่ตนเองเตรียมเอาไว้ออกมา “สิ่งนี้คือสร้อยข้อมือหยกมรกตที่พี่ใหญ่เลือกมาให้เจ้าด้วยความตั้งใจ ขอให้เจ้าคงความงดงามเพริศพริ้งตลอดไป” “ส่วนสิ่งนี้คือหยกประดับที่พี่รองเลือกให้เจ้า แก้วใสบริสุทธิ์ ดั่งสวรรค์บรรจงเสกสรร แฝงด้วยความหมายอันเป็นมงคล วางประดับไว้บนโต๊ะก็ดูงดงามทีเดียว” ซ่งอี้อันเอ่ยพลางยิ้มบาง ๆ ซ่งจืออวี้ได้ฟังคำอวยพรของทั้งสองคน ก็โบกมือปัดอย่างรังเกียจ “น้องหญิงห้า ของขวัญของพวกเขาไม่น่าสนใจเลยสักนิด เจ้ามาดูของขวัญที่พี่สามเตรียมไว้ให้เจ้าดีกว่า” “เหล่านี้ล้วนเป็นของเล่นที่แพร่หลายกันมากที่สุดในหมู่ดรุณีทั่วเมืองหลวงช่วงนี้ ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะชอบ จึงเตรียมทั้งหมดนี้มามอบให้เจ้า เชื่อว่าต้องมีสักชิ้นที่ต้องตาเจ้า!” ซ่งรั่วเจินมอง
ซ่งรั่วเจินชิมบะหมี่ที่ฉู่จวินถิงต้มมาให้แล้ว ความจริงนอกจากหน้าตาภายนอกที่ดูไม่ดีเท่าใดนัก ทว่ารสชาตินั้นนับว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียว นางยกนิ้วโป้งขึ้นมาทันที “รสชาติดียิ่ง!” ฉู่จวินถิงเห็นซ่งรั่วเจินกินบะหมี่ชามนั้นจนหมดถ้วยแล้ว ท่าทางดูไม่คล้ายเสแสร้งแม้แต่น้อย จึงลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เดิมทีก็คิดว่าการต้มบะหมี่สักชามหาใช่เรื่องยากอะไร แต่ใครจะรู้ว่าสำหรับคนที่ไม่เคยเข้าครัวเลยสักครั้งพอได้ลงมือทำอาหารเป็นครั้งแรก ก็พบว่าระดับความยากนั้นมิใช่เล่น ๆ เลยทีเดียว “จวินถิง ท่านรับประทานสำรับเช้าแล้วหรือยัง?” ซ่งรั่วเจินมองฉู่จวินถิงด้วยความเป็นห่วง เดาได้ไม่ยากเลยว่าเขาน่าจะตื่นมาต้มบะหมี่ตั้งแต่เช้าตรู่แน่ ๆ “ข้ากินเรียบร้อยแล้ว” ใบหน้าหล่อเหลาของฉู่จวินถิงแฝงความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพราะบะหมี่ที่เขาทำเมื่อเช้า ไม่เพียงอวิ๋นหยางที่ได้กิน ตัวเขาเองก็กินไปไม่น้อยเหมือนกัน จากเรื่องนี้ เขาตระหนักได้ชัดเจนขึ้นว่าฮูหยินของเขาเก่งมากแค่ไหน ฝีมือการทำอาหารเป็นเพียงหนึ่งในหลากหลายความสามารถของนาง แต่ก็สามารถทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมากถึงเพียงนี้ กระทั่งซ่งรั่วเจินรับประทานสำรับ