โจวหลี่ได้รู้ว่าซ่งรั่วเจินวางแผนเชิญหัวหน้าตระกูลที่กักตุนเสบียงอาหารมา รีบก้าวเท้าฉับไวเข้ามา สีหน้าเปี่ยมความกังวล “แม่นางซ่ง ข้ารู้เจ้าทำเช่นนี้เพื่อราษฎรทั้งเมือง แต่ก่อนหน้านี้ข้าเคยไปเจรจากับพวกเขามาก่อน ไม่ว่าพูดเยี่ยงไรก็ล้วนไร้ความหมาย”ได้ยินดังนั้น ซ่งรั่วเจินก็หัวเราะเบาๆ “ไร้ความหมายก็ไม่เป็นไร ตรงข้ามกันเพียงแต่เชิญมาเจรจาดูเท่านั้น”“ข้ากังวลพวกเขาพูดจาไม่ไพเราะ โดยเฉพาะแม่นางในห้องหอคนหนึ่งอย่างเจ้า จะต้องถูกรังแกแน่”โจวหลี่เผยสีหน้าเอือมระอา เขาไม่เข้าใจแม่ทัพซ่งกำลังคิดอันใด ถึงขั้นมอบเรื่องนี้ให้แม่นางซ่งไปจัดการต้องรู้ว่าพวกพ่อค้าเหล่านั้นแต่ละคนล้วนเจ้าเล่ห์ หากขัดแย้งกันขึ้นมา ก็สามารถทำให้คนโมโหตายได้!แม้แต่ชายตัวโตอย่างเขาพูดกับพวกเขาก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซ่งรั่วเจินแม่นางอ่อนแอบอบบางคนหนึ่ง น่ากลัวว่าจะรังแกจนนางร้องไห้“ใต้เท้าโจวไม่จำเป็นต้องกังวล เรื่องเล็กนี้ไม่สามารถทำให้ข้าตกใจได้”ซ่งรั่วเจินยกมุมปาก นางเป็นถึงเจ้าสำนักเต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ก็แค่พวกตาเฒ่าดื้อรั้นสองสามคน คิดจะขู่นางรึ?ต่อให้เป็นเจ้าของร่างเดิม ทำการค้าในเมืองหลวงมานานหล
หากไม่มีทางการ เดิมทีพวกเขาก็ไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้!โจวหลี่คนนี้ยังเป็นคนมีมโนสำนึกคนหนึ่ง น่ากลัวว่าก่อนหน้านี้ยามนายอำเภอหยางยังอยู่ เขาจะต้องเกลี้ยกล่อมหลายครั้งแน่ ดังนั้นสกุลสือเห็นเขาแล้วจึงไม่สบอารมณ์ บัดนี้จึงอยากหาทางทำให้เขาลำบากหลังหัวหน้าตระกูลเมืองผิงหยางทุกคนได้รับคำเชิญแล้ว กลับไม่ได้มาจวนของนายอำเภอในทันที ตรงข้ามกันไปยังสกุลสือก่อน“คาดว่าทุกท่านล้วนรู้สถานการณ์ในตอนนี้แล้ว แม่ทัพซ่งอยู่ที่จวนนายอำเภอ ครั้งนี้เชิญพวกเราไปจะต้องเพื่อกดราคาเสบียงอาหารแน่ พวกเราน่าจะรู้ว่าสมควรทำเยี่ยงไรกระมัง?”สีหน้าหัวหน้าตระกูลสือเย่อหยิ่งอย่างเห็นได้ชัด ต่อให้แม่ทัพซ่งมาแล้วอย่างไร?พวกเขาเพียงแต่ทำการค้า นอกจากแม่ทัพซ่งจะสามารถฆ่าพวกเขาทุกคนได้!หากทำเช่นนี้จริง ต่อให้เป็นแม่ทัพซ่ง ก็ไม่สามารถฆ่าคนเป็นผักปลาได้ หรือว่าเพื่อราษฎรเมืองผิงหยางจึงไม่เป็นแม้แต่ขุนนางแล้ว?“หัวหน้าตระกูลสือ ได้ยินมาว่าท่านอ๋องและราชครูกู้มาเพื่อควบคุมสถานการณ์โดยรวม คาดว่าอีกไม่นานก็จะมาถึงแล้ว หากถึงตอนนั้นถูกลงโทษ...”“ลงโทษแล้วกลัวอันใด? บัดนี้กำลังขาดแคลนเสบียงอาหาร นั่นเป็นเรื่องของทางการ พ
แววตะลึงในความงามวาบผ่านดวงตาของหัวหน้าตระกูลสือ เขาเคยเห็นหญิงงามมาไม่น้อย แต่ยังไม่เคยเห็นแม่นางที่งามล่มเมืองเช่นนี้มาก่อนเลยเรือนกายอรชร ผิวพรรณขาวผ่องยิ่งกว่าหิมะ เครื่องหน้าประณีตหยาดเยิ้ม ถึงตอนนี้จะตีหน้าเย็นชาแต่ก็พิลาสล้ำในแดนดิน ถ้ายิ้มออกมาไม่รู้ว่าจะยิ่งงามเลิศล้ำถึงปานไหนโจวหลี่เห็นว่ายืมเงินไม่สำเร็จจึงเปลี่ยนมาใช้แผนคนงามอย่างนั้นรึ?แต่ถ้าโจวหลี่สามารถกำนัลคนงามเช่นนี้ให้เขาได้จริงๆ เขาก็ไม่ถือสาที่จะนำข้าวสารมามากหน่อย“โจวหลี่ เจ้าไม่มีปัญญาจัดการเอง ยามนี้พาแม่นางคนหนึ่งมาด้วย คิดจะยกให้ข้าอย่างนั้นรึ?”โจวหลี่เห็นว่าหัวหน้าตระกูลสือถึงกับกล้าหมายตาซ่งรั่วเจิน แววเหลือเชื่อวาบผ่านดวงตา เขารีบกล่าวว่า “หัวหน้าตระกูลสือ ท่านพูดจาให้มันดีๆ หน่อย นี่คือลูกสาวของแม่ทัพซ่งนะ!”แต่มือของซ่งจืออวี้เร็วกว่าโจวหลี่“เพียะ!”ฝักกระบี่ของซ่งจืออวี้ฟาดแสกกลางใบหน้าของหัวหน้าตระกูลสือ เสียงดังลั่นจนคนได้ยินใจสั่นสะท้าน รู้สึกว่าคงเจ็บมาก“โอ๊ย!”หัวหน้าตระกูลสือร้องลั่นพลางลูบปากตัวเอง ถูกฟาดจนเลือดไหล ถึงขั้นรู้สึกว่าฟันหน้าเริ่มคลอนเลยทีเดียวแต่พอเขาสบกับสายตาเย็น
ถึงหัวหน้าตระกูลสือจะหนังหน้าหนา แต่ถูกเปิดโปงเรื่องแบบนี้ต่อหน้าต่อตา ใบหน้าก็แดงก่ำขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ ยากจะกลบเกลื่อนโทสะได้“ข้าเชิญทุกท่านมาเพราะอยากเจรจาการค้ากับพวกท่าน” ซ่งรั่วเจินกล่าวขึ้นอย่างสงบ“ก็แค่อยากให้พวกข้าลดราคาข้าวสารไม่ใช่หรือไร?” หัวหน้าตระกูลสือเอ่ยหน้าตึงซ่งรั่วเจินพยักหน้า “ใช่แล้ว ข้าหวังว่าทุกท่านจะสามารถลดราคาข้าวสารลงจริงๆ”พวกหัวหน้าตระกูลเฉามองหน้ากันแล้วโบกไม้โบกมือทันที “ไปๆๆ เดิมทีราคาข้าวสารก็ไม่ถูกอยู่แล้ว อุทกภัยครานี้ยังหนักหนาปานนี้ ที่นาดีๆ ถูกน้ำท่วมไปตั้งมากมาย”“ต่อให้ปลูกข้าวใหม่ กว่าจะเก็บเกี่ยวได้ก็ต้องรอปีหน้า พวกข้าก็ต้องกักตุนเสบียงเอาไว้เพื่อเลี้ยงปากท้อง จะให้ขายออกไปแบบนี้ได้อย่างไร?”“โจวหลี่ ก่อนหน้านี้พวกเราก็คุยกันชัดเจนแล้วนะ เจ้าจะต้องหาเรื่องพวกข้าให้ได้เลยอย่างนั้นรึ?”หัวหน้าตระกูลเหยาร้องออกมาติดๆ เอาเป็นว่าการลดราคาข้าวสารเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!ซ่งรั่วเจินมองข้ามตัวปัญหาเหล่านี้ กล่าวว่า “ยามนี้ราคาข้าวสารขึ้นเป็นแปดเท่าแล้ว ชาวบ้านในเมืองซื้อไม่ไหว ข้าวสารในมือทุกท่านก็ขายออกไปไม่ได้”“ราชสำนักส่งฉู่อ๋องและราชครู
ซ่งรั่วเจินเหลือบมองหัวหน้าตระกูลสือนิ่งๆ นางรู้ว่าคนพวกนี้ถ้าไม่เห็นผลประโยชน์ก็คงไม่ยอมขยับตัวง่ายๆ จึงมีการเตรียมตัวมาแต่แรกแล้ว“ใครก็ได้ ขนสิ่งของเข้ามา!”คนข้างนอกได้ยินเสียงของซ่งรั่วเจินก็รีบขนเงินทองของล้ำค่าที่เตรียมไว้แต่แรกเข้ามาทันทีเมื่อเงินทองของล้ำค่าหีบแล้วหีบเล่าถูกคนยกเข้ามา ทุกคนก็ถูกภาพอันเจิดจ้าตรงหน้าบาดตาจนตาพร่า ตระหนักว่าซ่งรั่วเจินไม่ได้กำลังล้อเล่นนางพูดความจริง!นี่ก็คือกำลังทรัพย์ของตระกูลซ่งอย่างนั้นรึ?เดิมเข้าใจว่าแม่ทัพซ่งมาเมืองผิงหยางเพราะคิดจะใช้อำนาจกดดันคน ไม่คิดเลยว่าแม่ทัพซ่งจะใช้เงินฟาดคนตรงๆ เช่นนี้!ซ่งรั่วเจินเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของทุกคนเต็มสองตา “ทุกท่านคงจะเชื่อในความจริงใจของข้าแล้วสินะ ตระกูลซ่งของข้าทำการค้า สิ่งที่ให้ความสำคัญก็คือความจริงใจ”“ฝ่ายหนึ่งมอบเงิน ฝ่ายหนึ่งมอบสินค้า ทุกท่านโปรดวางใจ จะกลับไปคิดดูก่อนก็ได้ ถ้าคิดว่าสามารถดำเนินการได้ค่อยมาเจรจากับข้าอีกครั้ง”“สาเหตุที่ข้ากับพี่ชายมาเมืองผิงหยางครานี้เพื่อมาตามหาท่านพ่อ ตอนนี้พ่อข้ากลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง จึงอยากออกแรงช่วยราษฎรในเมืองผิงห
“ประจวบกับเมื่อคืนวานพวกท่านแม่ทัพซ่งก็ไปเหมือนกัน ไม่รู้ว่าหัวหน้าตระกูลสือได้รับความตกใจหรืออย่างไรจึงสลบคาอกไปเลย”“โชคดีที่มีหมออยู่ด้วยจึงสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด แต่ดูเหมือนจะสาหัสเอาการ”“ได้ยินมานานแล้วว่าหัวหน้าตระกูลสือประพฤติตัวเหลวไหล ที่บ้านจัดงานเลี้ยงอยู่ แต่ก็ยังจะทำเรื่องหวาดเสียวแบบนั้น จุ๊ๆ ถูกคนมากมายเห็นเรื่องชวนขายหน้าเลยไหม!”“ไม่เพียงเท่านั้น ได้ยินว่ามีอนุภรรยาคนอื่นที่ถูกจับไปมาขอร้องให้ท่านแม่ทัพช่วยพวกนางออกไป ได้ยินว่าในบรรดาผู้หญิงที่หัวหน้าตระกูลสือเล่นด้วย มีคนที่ถูกเขาทรมานจนตายไปก็หลายคน!”เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนแรกเพียงรู้สึกว่าน่าขัน คราวนี้ตระกูลสือขายหน้าไม่เหลือชิ้นดี แต่หลังจากได้ยินว่าอนุภรรยาที่ถูกจับตัวไปเหล่านั้นมีชีวิตแสนอาภัพก็เปลี่ยนมาโกรธแค้นใจแทน“คนสารเลวแบบนี้ เมื่อวานทำไมถึงไม่ตายไปเสียเลยนะ!” ไป๋จื่อมีสีหน้าเดือดดาลชิงเถิงมองนางอย่างอ่อนใจ “ไป๋จื่อ เจ้าพูดอะไรต่อหน้าคุณหนูน่ะ?”“ไป๋จื่อคงโมโหเพราะได้ฟังเรื่องของหัวหน้าตระกูลสือมาสินะ?” ซ่งรั่วเจินยิ้มบาง “ผู้ก่อกรรมชั่วไว้มากย่อมวิบัติในที่ส
ความจริงซ่งรั่วเจินเลือกคนไว้แต่แรกแล้ว ก็คือสองคนที่โจวหลี่แนะนำมา ล้วนแต่เป็นคนจิตใจดี แต่แสดงละครทั้งทีก็ต้องแสดงให้จบ นางยังพบคนอีกหลายคนแล้วก็เป็นดังคาด ตอนเจอหน้าไม่จำเป็นต้องให้นางพูดมาก ฝ่ายตรงข้ามก็เสนอลดราคาให้เองตอนบอกราคาห้าเท่าเห็นนางไม่สะทกสะท้านก็รีบเปลี่ยนราคาเป็นสี่เท่าทันที นางพยักหน้าอย่างไม่กระโตกกระตาก บอกว่าจะไปพบคนต่อไป รอจนเลือกคนได้แล้วค่อยเจรจากันอย่างละเอียดอีกทีนางรู้จากข้อมูลที่ไปสืบหามาแต่แรกว่า คนเหล่านี้นัดแนะกันไว้ว่าจะลดราคาลงเหลือสี่เท่า ทำเช่นนี้จึงสามารถทำกำไรได้มากที่สุดน่าเสียดายที่ทุกคนล้วนอยากได้เงินก้อนนี้ ดังนั้นทุกคนจึงลดราคาลงเป็นสามเท่าสุดท้าย ซ่งรั่วเจินก็ซื้อข้าวสารจากเถ้าแก่อวี๋และเถ้าแก่จินที่โจวหลี่แนะนำมาในราคาสองเท่า แต่ยื่นเงื่อนไขไปหนึ่งข้อให้พวกเขาบอกคนอื่นว่าขายออกในราคาสี่เท่าเดิมคนทั้งสองก็กังวลว่าหากเรื่องราคาสองเท่าลือออกไป คนอื่นๆ จะกีดกันพวกเขา ด้วยเหตุนี้ หลังจากได้ยินเงื่อนไขของซ่งรั่วเจินจึงเลิกคิ้วด้วยความดีใจแล้วตอบรับทันทีหลังจากคนอื่นๆ ทราบข่าวนี้ สีหน้าก็ปั้นยากอย่างมาก แต่พวกเขาก็รู้ว่าสองคนนี้สนิทก
ในที่สุดพวกเขาก็ได้กินอิ่มเสียที นอกจากนี้ การมาถึงของฉู่อ๋องและราชครูกู้ยังทำให้ทุกคนมองเห็นความหวังที่จะได้สร้างบ้านขึ้นมาใหม่อีกครั้งหลังจากซ่งจิ่งเซินมาถึงแล้วก็นำเสบียงอาหารที่จำเป็นมาด้วยเต็มลำเรือ ฉู่จวินถิงรับซื้อในราคาสูง หลังจากนั้นก็มีเสบียงอาหารทยอยมาถึงมากกว่าเดิม เสบียงในเมืองจึงไม่ขาดแคลนอีกต่อไปพ่อค้าร่ำรวยในเมืองผิงหยางเห็นตระกูลสือประสบเคราะห์ ตระกูลเฉากับตระกูลเหยาก็ทยอยได้รับผลกระทบ ไม่ว่าใครล้วนไม่กล้ากักตุนเสบียง ทยอยนำออกมาลดราคาขายซ่งรั่วเจินมองดูฉู่จวินถิงหาคนจำนวนหนึ่งมาหารือกันว่าจะสร้างสะพานขึ้นใหม่ได้อย่างไรเนื่องจากอุทกภัยก่อนหน้านี้ไม่เพียงทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนไร่นา สะพานก็ยังถูกน้ำซัดจนถล่มแม้ซ่งรั่วเจินจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องด้านนี้นัก แต่ดีชั่วอย่างไรนางก็เป็นคนที่ทะลุมิติมา ไม่เคยกินหมูก็ต้องเคยเห็นหมูวิ่งมาก่อนจึงเสนอความรู้เชิงทฤษฎีบางอย่างออกมาภายหลังยังนำกระดาษและพู่กันมาวาดภาพร่างสะพานลงไปจำต้องยอมรับว่าคนที่ฉู่จวินถิงหามาล้วนแต่ร้ายกาจ หลังจากนางวาดภาพร่างเสร็จ คนอื่นๆ ก็มองเห็นจุดที่เป็นข้อดีได้ในทันที“คิดไม่ถึงว่าแม่นางซ่งจะมีคว
เพียงเอ่ยปาก โทสะทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมาแล้วความเจ็บปวดและอึดอัดใจที่สั่งสมอยู่ภายในใจล้วนระเบิดออกมาในเวลานี้อวิ๋นเฉิงเจ๋อได้ยินอวิ๋นเนี่ยนชูพูดเช่นนี้เป็นครั้งแรก มองนางตวาดถามไล่เรียงตนเอง ภายในใจเปี่ยมความรู้สึกผิด“ขอโทษ ล้วนเป็นความผิดของข้า”เห็นสายตาเปี่ยมความรู้สึกผิดของฝ่ายชาย อวิ๋นเนี่ยนชูตาแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “เดิมทีทั้งหมดนี้ก็เป็นความผิดของท่านอยู่แล้ว! เหตุใดท่านไม่บอกข้าเร็วสักหน่อย ท่านรู้ว่าหลายปีมานี้ข้าฝืนได้ลำบากมากเพียงใดหรือไม่?”“ในเมื่อท่านไม่พูดมาโดยตลอด เหตุใดไม่เก็บเอาไว้ชั่วชีวิตเล่า?”น้ำตานางไหลลงมา ตลอดหลายปีมานี้ไม่ตอบรับความรู้สึกนาง นี่ทุกข์ใจมากเพียงใด?นางอยากบริภาษเขาแรงๆ อยากทุบตีเขา ชนิดที่ว่าอยากไม่สนใจเขาอีก ทำให้เขาเสียใจภายหลังไปชั่วชีวิตเพียงแต่ ยามได้เห็นของเหล่านั้นที่เขาซ่อนไว้ภายในห้อง รวมถึงภาพเหมือนของนางที่วาดไว้นับไม่ถ้วนยามค่ำคืน นางก็อยากร้องให้อย่างอดไม่ได้...“เป็นความผิดของข้าเอง ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า เจ้าตีข้าด่าข้าโทษข้า ล้วนสมควรทั้งสิ้น”อวิ๋นเฉิงเจ๋อสืบเท้าขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ภายในสายตาเปี่ยมความเอ็
“อะไรนะ?” อวิ๋นเนี่ยนชูชะงัก ภายในสายตาสะท้อนความตกตะลึงทั้งๆ ที่ตลอดมาล้วนเป็นนางตอแยญาติผู้พี่หากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้นางทำเช่นนี้มาโดยตลอด คาดว่าญาติผู้พี่ก็คงไม่ชอบนาง ทว่าได้ยินคำพูดของมารดาแล้ว เหตุใดญาติผู้พี่ถึงผลักทั้งหมดนี้ลงบนศีรษะของเขาเล่า?“เฉิงเจ๋อพูดว่าเขาพยายามสอบสร้างผลงานก็เพื่อจะได้คู่ควรกับเจ้า จะได้มีโอกาสสู่ขอเจ้า”“หากเปลี่ยนเป็นในอดีต ข้าจะต้องไม่เห็นด้วยที่พวกเจ้าคบหากัน บัดนี้ผ่านเรื่องมามากถึงเพียงนี้ ความคิดของแม่ก็เปลี่ยนไปไม่น้อย”“หากเจ้าชอบเฉิงเจ๋อจริง ข้าเองก็ไม่คัดค้าน แต่หากเจ้าไม่ชอบ...”สีหน้าจางเหวินสับสน ก่อนหน้านี้เคยเห็นท่าทางของเด็กทั้งสอง ไม่ว่ามองอย่างไรเนี่ยนชูก็ไม่คล้ายไม่ชอบเฉิงเจ๋อ“ข้าชอบญาติผู้พี่เจ้าค่ะ” อวิ๋นเนี่ยนชูตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าชอบญาติผู้พี่มาโดยตลอด”มองเห็นท่าทางมุ่งมั่นของลูกสาว จางเหวินรู้สึกเอือมระอาระคนโชคดีอยู่บ้าง “ช่างแล้วๆ น้ากู้ของเจ้าพูดถูกแล้ว ลูกหลานมีความสุขของลูกหลาน พวกเจ้าคบหากันก็เป็นพวกเจ้าสร้างขึ้น”“แม้ว่าปีนั้นเฉิงเจ๋อทำไม่ถูก ไม่สมควรเกิดความคิดต่อเจ้า แต่ข้าล้วนเห็นความพยายามของเขาตลอดหลา
ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงเขาพยายาม เขาเชื่อว่าตนเองจะต้องมีอนาคตแน่ตระกูลตกต่ำ บิดามารดาจากไปก่อนวัยอันควร เดิมทีเขาก็เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจตายที่ข้างถนนตั้งนานแล้ว บัดนี้ไม่เพียงมีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ ท่านน้ายังเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือเขา เขาไม่มีวันอกตัญญูเขาคิด...รออีกหน่อย รอจนเขามีความสามารถ รอจนเขาฉายแววโดดเด่น บางทีอาจมีโอกาสขอท่านน้าแต่งงานกับเนี่ยนชูทว่า ขณะเขากำลังตรากตรำร่ำเรียนอยู่นั้น ในที่สุดก็ได้รับคำชมจากอาจารย์ ได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง อาจารย์ของสำนักศึกษาหลวงเองก็ชื่นชมว่าเขาจะต้องมีโอกาสสอบผ่านขุนนางแน่ ตอนเขาคิดว่าตนเองอาจจะสามารถตอบรับความรู้สึกของเนี่ยนชูได้ กลับได้ยินท่านน้าและแม่นมพูดสนทนากันที่แท้...เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของบิดามารดาลูกของมารดาตายไปตั้งนานแล้ว ส่วนเขาคือเด็กที่วันนั้นถูกทิ้งไว้หน้าประตูเรือนด้านหลังของมารดาเดิมทีมารดาก็ยากจะยอมรับความเจ็บปวดได้ อีกทั้งยังสงสารเขา หมอพูดว่าร่างกายนางเสียหาย ภายภาคหน้ายากจะมีลูกได้อีก นี่ถึงรับอุปการะเขา ประกาศต่อโลกภายนอกว่าเขาเป็นลูกของตนเขาเป็นแค่เด็กถูกทิ้งคนหนึ่ง เศษสวะที่ไม่ยอมหนาว
ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “ข้าเคยไม่สนับสนุนเจ้าตั้งแต่ยามใด? แต่ไหนแต่ไรมาข้าล้วนสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า”ก่อนหน้านี้นางทำนายมาก่อนแล้ว ภายในเรื่องนี้มีเงื่อนงำซ่อนอยู่มากมาย อวิ๋นเฉิงเจ๋ออ่อนแอเกินไปสำหรับเรื่องนี้ ไม่มีความรับผิดชอบมากเพียงพอเพียงแต่ หากไม่เคยผ่านความทุกข์ของผู้อื่น ก็ไม่สามารถตัดสินตามใจได้อวิ๋นเฉิงเจ๋อกลายเป็นเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นประสบการณ์ที่เขาเคยเจอมาในช่วงหลายปีมานี้เรื่องเดียวกัน บางคนมีความรับผิดชอบที่แข็งแกร่งมาก ไม่ได้รับผลกระทบใด แต่บางคนคิดอ่านอย่างละเอียด ยากจะสามารถรับได้ใต้หล้ากว้างใหญ่ รวมทุกสรรพสิ่งไว้แล้ว ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะตนเอง นางย่อมไม่วู่วามสอดมือเข้าไปอวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มกว้าง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไรข้าก็ไม่ใส่ใจแล้ว หากไม่พูดเรื่องนี้ออกมา ข้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่”“ตอนนี้ท่านป้าจ้างกำลังอยู่กับท่านแม่ข้า รอกลับไปแล้วค่อยหาโอกาสพูดเถอะ”ซ่งรั่วเจินจิกนิ้วทำนาย ภายในสายตาเผยแววประหลาดใจ เปลี่ยนคำพูด “ดูท่าแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดออกจากปากของตนแล้วล่ะ”อวิ๋นเนี่ยนชูสงสัย “หมายความว่าอะไร?”“ญาติผู้พี่เจ้าพูด
ตอนนั้นสมองของนางขาวโพลน ชนิดที่ว่ายังเจือความขุ่นเคืองระคนเขินอายอีกด้วย คิดว่าญาติผู้พี่จำคนผิดไปจนกระทั่งได้ยินเขาพูดพึมพำชื่อของนางไม่หยุด ได้เห็นน้ำตาเจืออยู่ในสายตาของเขา ความรู้สึกของนางก็ซับซ้อนขึ้นมาจากนั้น นางประคองญาติผู้พี่เข้าห้อง ได้ยินเขาพูดพึมพำภายในความฝัน เรียกชื่อของนางเบาๆตอนจากมา นางชนเข้ากับหนังสือบนโต๊ะของเขาโดยไม่ทันระวัง ตอนหยิบของขึ้นมา จู่ๆ ก็ได้พบภาพวาดของตนถูกซ่อนไว้ด้านในบนภาพวาดนั้นเป็นนางสวมใส่ชุดที่ไปฟังเรื่องเล่านางเปิดลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้นออกดู พบว่าภายในล้วนเป็นภาพวาดของนางไม่เพียงแค่นางในตอนนี้ ยังมีนางในอดีต ทั้งหมดล้วนวาดเองกับมือของญาติผู้พี่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตอนเด็กนางยังเคยไปที่ห้องของญาติผู้พี่ ต่อมาหลังความรักผลิบานในหัวใจก็ชอบไปหาญาติผู้พี่เพียงแต่จู่ๆ อยู่มาวันหนึ่ง ญาติผู้พี่บอกนางด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างมาก นางเป็นหญิงสาวแล้ว ไม่สามารถเข้าห้องผู้ชายตามสะดวกได้ นางถึงเข้ามาน้อยครั้งทว่าชั่วขณะได้เห็นภาพวาดมากมายนี้ นางถึงเข้าใจอย่างชัดเจน เหตุใดญาติผู้พี่ไม่ให้นางเข้าห้องเพราะภายในห้องของเขามีของมากมายที
เมื่อเห็นกู้ฮวนเอ๋อร์ภาคภูมิใจเช่นนี้ ซ่งรั่วเจินและคนอื่น ๆ ก็อดมิได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ ว่าของล้ำค่าที่ว่าคือสิ่งใดกันแน่? “ผ่าม!” กู้ฮวนเอ๋อร์เปิดกล่องผ้าไหมออกด้วยความตื่นเต้นยิ่ง แต่ทว่าหลังจากที่ทุกคนในงานเห็นของในกล่องผ้าไหมแล้ว ล้วนนิ่งงันไปทันที เนื่องด้วยในกล่องนั้นมีเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรอยู่องค์หนึ่ง! “แค่กๆ” ฉู่อวิ๋นกุยกระแอมครั้งหนึ่ง แต่ใบหน้ากลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ สตรีที่เขาชอบนั้น ช่างเป็นคนที่ชาญฉลาดนัก! ซ่งรั่วเจินพลันมองไปทางฉู่จวินถิงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้ากลับเห่อแดงขึ้นมา แววตาของฉู่จวินถิงปรากฏแววขบขันวาบผ่าน ของขวัญชิ้นนี้ช่างมีความหมายยิ่งนัก กู้ฮวนเอ๋อร์เห็นว่าหลังจากที่ตนหยิบของขวัญออกมาแล้ว ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น ”นี่มันสีหน้าอะไรของพวกเจ้ากัน? หรือว่าไม่ดีงั้นหรือ?“ “เจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรองค์นี้ ข้าไปกราบขอมาโดยเฉพาะ ผ่านพิธีปลุกเสก ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก!” ซ่งรั่วเจิน “...” หลายครั้งนางเองก็นับถือกู้ฮวนเอ๋อร์จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่อายุน้อยขนาดนี้ แต่ความคิดที่จะมอบของขวัญให้กลับเหมือนค
ณ เวลาเดียวกันนั้น อวิ๋นเนี่ยนชูก็ได้มาหาซ่งรั่วเจินเช่นกัน “รั่วเจิน ยินดีกับเจ้าด้วยนะ ข้าเองก็เห็นเหตุการณ์ในงานเทศกาลโคมไฟแล้ว เดิมทีอยากจะไปแสดงความยินดีกับเจ้าอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นเกิดเรื่องบางอย่างทำให้ล่าช้าไป จึงต้องมามอบของขวัญแสดงความยินดีในวันนี้” อวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มพลางยื่นของขวัญแสดงความยินดีไปให้ “นี่คือของสิ่งนี้ข้าเตรียมไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ฉู่อ๋องเป็นคนดีจริง ๆ เมื่อพวกเจ้าได้แต่งงานกันแล้วจักต้องครองรักกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข จนผู้คนรอบข้างพากันริษยาแน่นอน” ซ่งรั่วเจินมองดูอวิ๋นเนี่ยนชูเปิดกล่องผ้าไหมออก ภายในบรรจุเครื่องประดับศีรษะของสตรีครบชุด เครื่องตกแต่งอื่น ๆ ไปจนถึงเครื่องประทินโฉม ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด “ของมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ดูแล้วครบชุดเลย เจ้าให้จัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะหรือ?” “ใช่แล้ว!” อวิ๋นเนี่ยนชูพยักหน้าพลางยิ้ม “แต่ก่อนข้าครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าควรจะมอบสิ่งใดให้เจ้าเป็นของขวัญดี แต่คิดไปคิดมาก็ยังไม่มีสิ่งที่เหมาะสมที่สุดได้เลย” “หลังจากนั้น ข้าก็คิดว่า สิ่งที่สตรีมักจะใช้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันก็มิพ้นเคร
เมื่อได้ฟังสิ่งที่จางเหวินพูด กู้หรูเยียนกับเยี่ยนชิงอวี้ต่างก็อดมิได้ที่จะตกตะลึง ตั้งแต่เมื่อเริ่มรู้จักความรักครั้งแรกก็ชอบพอเฉิงเจ๋อ ถ้าอย่างนั้น ก็ชอบพอหลายปีจริง ๆ พวกเขากลับมิรู้มาโดยตลอด คิดดูแล้ว ในใจเด็กทั้งสองคงมีสิ่งที่เก็บกลั้นไว้อยู่ “จะว่าไป ก็ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ที่ข้ามิได้ใส่ใจให้ดีนัก เอาแต่ให้เฉิงเจ๋อคอยดูแลน้องสาวให้ดี” “เนี่ยนชูชอบตามติดอยู่ข้างกายเฉิงเจ๋อมาตั้งแต่เล็ก ทุกครั้งที่เฉิงเจ๋อกลับจากสำนักศึกษา เป็นเวลาที่นางมักดีใจเป็นที่สุด ข้าก็นึกว่าเป็นเพียงความรักฉันพี่น้องมาโดยตลอด” “มาตรองดูดี ๆ แล้ว ตอนนั้นข้าก็ควรพบความผิดแผกได้ หากเป็นเพียงพี่น้องธรรมดา เหตุใดเด็กทั้งสองจึงมิยอมแต่งงานจนถึงตอนนี้?” จางเหวินยิ่งเอ่ยก็ยิ่งปวดใจ เมื่อนึกถึงคราวก่อนที่อนุอวิ๋นยังหมายจะยกอวิ๋นซีหว่านที่ยังไม่ได้แต่งงานให้แก่เฉิงเจ๋อ เกรงว่าตอนนั้น หัวใจของเด็กทั้งสองคงรวดร้าวมิใช่น้อย ถึงขั้นที่ เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นในตอนนั้น นางยังเคยกล่าวกับเฉิงเจ๋อด้วยว่า เรื่องนี้ช่างน่าขันเสียจริง นางมองเขาเป็นดั่งบุตรชายแท้ ๆ มาโดยตลอด อนาคตจะต้องเลือกคู่ค
“พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้ายังจะเกรงใจข้าอีกหรือ? ที่ข้ามานี้ มิใช่เพียงเพื่อช่วยรั่วเจินเตรียมงานแต่งเท่านั้น อีกทั้งยังได้เห็นหน้าชิงอินด้วย ช่างเป็นเรื่องดีเสียจริง” ขณะที่กู้หรูเยียนและเยี่ยนชิงอวี้กำลังสนทนาหยอกเย้ากันอยู่นั้น ก็พลันสังเกตเห็นว่าจางเหวินราวกับเหม่อลอยอยู่ไม่น้อย “หรือว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงมีท่าทีเหม่อลอยเช่นนี้?” กู้หรูเยียนเอ่ยถาม จางเหวินจึงได้คืนสติ ในใจของนางล้วนมีแต่เรื่องของเนี่ยนชูกับเฉิงเจ๋อ จนเผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัว “ข้า...” นางเหมือนจะเอื้อนเอ่ย แต่กลับชะงักไป เยี่ยนชิงอวี้ขมวดคิ้ว “เจ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถบอกพวกเราได้งั้นหรือ? บอกมาตามตรงเถิด” “ที่อนุอวิ๋นพูดมามิผิดเลย ระหว่างเนี่ยนชูและเฉิงเจ๋อต่างก็มีใจให้กัน” จางเหวินทอดถอนใจครั้งหนี่ง เมื่อนึกถึงภาพที่นางได้เห็นเมื่อวานยามกลับจวน เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเฉิงเจ๋อในสภาพเช่นนั้น บทสนทนาของทั้งสอง นางก็พลอยได้ยินไปด้วย นางจึงได้รู้ว่าที่แท้เนียนชู่ชอบพอเฉิงเจ๋อมาหลายปีเพียงนี้ ในฐานะมารดาเช่นนาง นางคิดว่าตนใส่ใจบุตรเป็นอย่าง