ครั้นเช่ออ๋องได้ยินว่าฉู่จวินถิงเชิญเขาไปที่สกุลเฉียนก็มีสีหน้ากังขา“เจ้าฟังผิดไปหรือเปล่า? ฉู่อ๋องให้ข้าไปที่สกุลเฉียน? สกุลเฉียนบ้านเฉียนหย่าหลินน่ะรึ?”“ใช่แล้ว ท่านอ๋อง ตอนนี้ฉู่อ๋องรวมถึงอวิ๋นอ๋องล้วนอยู่ที่สกุลเฉียน ส่วนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นนั้นกลับไม่กระจ่างนัก”“คนที่มาแจ้งข่าวเมื่อครู่คืออวิ๋นหยางคนสนิทข้างกายฉู่อ๋อง เพียงแจ้งว่าท่านไปแล้วก็จะทราบเอง”ฉู่เทียนเช่อขมวดคิ้วมุ่น เฉียนหย่าหลินเดิมก็เป็นตัวปัญหา เรื่องนี้เขารู้ดียิ่งแล้ว แต่เรื่องนี้เหตุใดจึงไปเกี่ยวข้องกับสกุลเฉียนด้วยเล่า?หรือว่า...เฉียนหย่าหลินจะวางอำนาจบาตรใหญ่ไปรังแกซ่งรั่วเจินอีกแล้ว?“บัดซบ นางคนชั้นต่ำนี่อยู่เฉยๆ บ้างไม่เป็นหรือไร?”ฉู่เทียนเช่อตีหน้าเย็นชา ในใจเริ่มบังเกิดความไม่พอใจต่อซ่งรั่วเจินด้วยเช่นกัน ถึงเฉียนหย่าหลินจะมีนิสัยป่าเถื่อน แต่ก็ไม่ถึงกับไปหาเรื่องซ่งรั่วเจินซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดว่าตัวซ่งรั่วเจินเองก็คงมีปัญหาเหมือนกันวันนี้พอไปแล้ว เขาจะต้องพูดจาให้รู้เรื่องเสียหน่อยแล้ว!ระหว่างที่รอฉู่เทียนเช่อ นายหญิงเฉียนก็ขอขมาต่อคนสกุลจ้าวอย่างจริงจัง แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ได้สำคัญสำหรับส
ซ่งรั่วเจินที่ถูกด่าไปยกหนึ่งอย่างปุบปับเลิกคิ้วขึ้น “ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ทั้งหมด คนที่เหมาะสมกับคำว่าเดรัจฉานมากที่สุดควรเป็นชายารองของเช่ออ๋องมากกว่ากระมัง?”“เจ้าไม่สำนึกเลยสักนิดอย่างนั้นรึ?”ฉู่เทียนเช่อเห็นว่าซ่งรั่วเจินยังกล้าตีฝีปากกับตนเองอีกก็ยิ่งโมโหกว่าเดิม “น้องสาม เจ้ากับซ่งรั่วเจินยังไม่แต่งงานกัน เจ้าจะให้ท้ายนางจนไม่เห็นกฎเกณฑ์อยู่ในสายตาเลยงั้นรึ?”“คนในครอบครัวชายารองของข้า จะปล่อยให้พวกเจ้ามารังแกเช่นนี้ได้อย่างไร?”“ถ้าวันนี้พวกเจ้าไม่มอบคำอธิบายที่สมเหตุสมผลให้ข้า ข้าไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ แน่!”ฉู่เทียนเช่อเดิมก็เป็นเชื้อพระวงศ์ แม้ยามปกติจะค่อนข้างสงวนท่าทียามต่อหน้าฉู่จวินถิง แต่เมื่อเดือดดาลขึ้นมาเช่นนี้ก็ต้องยอมรับว่ามีอำนาจน่าเกรงขามไม่เบาเลยทีเดียวทว่าในชั่วขณะนี้สีหน้าของทุกคนในบริเวณนั้นกลับแลดูแปลกประหลาดอยู่บ้างยามนี้กำลังจ้องมองเช่ออ๋องด้วยสายตาแปลกประหลาด ตนเองควบคุมคนในบ้านไม่ได้เองจนกระทำเรื่องเหลวไหลพวกนี้ลงไป แต่กลับชิงเป็นฝ่ายตำหนิแม่นางซ่งก่อนเสียอย่างนั้น?“เสด็จพี่ ไม่ถามหาต้นสายปลายเหตุก็มาตำหนิคนเช่นนี้ คนที่ควรขอโทษคือท่านต่างหา
“เจ้าทำเรื่องชั่วช้าเลวทรามเช่นนี้ลงไปได้อย่างไร?”ฉู่เทียนเช่ออับอายกลายเป็นโทสะ จ้องมองเฉียนหย่าหลินด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาต้องเสียหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้ยังมาทำเรื่องพรรค์นี้อีก ทำให้จวนเช่ออ๋องขายหน้าไม่เหลือชิ้นดี!ทันทีที่ลือไปถึงพระกรรณเสด็จพ่อ เขาจะต้องถูกตำหนิอย่างหนักแน่นอน“แม่นางซ่ง เมื่อครู่ข้าไม่รู้สถานการณ์ หุนหันพลันแล่นเกินไป หวังว่าเจ้าจะไม่ถือโทษโกรธเคือง”ฉู่เทียนเช่อยืดได้หดได้ ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา ตอนนี้เฉียนหย่าหลินไม่อาจเก็บไว้ได้อีกแล้ว แต่ชื่อเสียงของเขายังต้องรักษาเอาไว้เท่าที่จะสามารถทำได้“เช่ออ๋อง ตอนแรกหม่อมฉันก็ไม่รู้เช่นกันว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชายารองเฉียน เพียงอยากรักษาชีวิตของคุณชายจ้าวไว้เท่านั้น ต่อมาถึงรู้ว่าทุกอย่างเป็นการกระทำของสกุลเฉียน”“ส่วนเรื่องคุกเข่าเมื่อครู่ หม่อมฉันก็ไม่ได้เป็นคนสั่งให้เฉียนฮูหยินคุกเข่า”ซ่งรั่วเจินน้ำเสียงราบเรียบ น้ำเสียงเฉยเมยประหนึ่งกำลังบอกเล่าความจริงอย่างสงบ แต่ยิ่งคนที่ได้รับความอยุติธรรมอย่างนางแสดงออกอย่างสงบมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้พฤติกรรมบันดาลโทสะโดยไม่พูดพร่ำของฉู่เทียนเช่อ
อาศัยจังหวะที่คนยังไม่เคยชิม พวกเขาชิงไปชิมก่อนสักหน่อย ถึงตอนนั้นพูดออกไปจะต้องทำให้คนอิจฉาแน่นอนด้วยเหตุนี้ ขณะที่คนสกุลซ่งยังถกกันว่าร้านปิ้งย่างที่คุณหนูของพวกตนผลักดันออกมาครานี้ไม่รู้ว่าจะขายดีหรือไม่ ก็ได้เห็นภาพที่คุ้นเคยอย่างยิ่งภาพนั้น“คุณพระคุณเจ้าช่วย ร้านนี้เพิ่งเปิดกิจการ เหตุใดจึงมีคนมากมายขนาดนี้เล่า?”“พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้างในขายสิ่งของอะไร แค่เข้าไปชมความครึกครื้นกันหรือเปล่านะ?” มีคนอดไม่ไหวคาดเดาออกมาทว่า เวลาเพียงครู่เดียวก็มีคนรีบรุดมา “เร็วเข้า เข้าไปช่วยพวกนั้นเร็วเข้า ทำกันไม่ทันแล้ว ขายดีเกินไป”ทุกคน “...”บนท้องถนนในเมืองหลวง ทุกคนล้วนกำลังถกกันว่าอาหารที่สกุลซ่งทำนั้นช่างยอดเยี่ยมจริงๆ รสชาติวิเศษสุดๆ!ร้านค้าที่เปิดช่วงนี้ รสชาติดีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงมีรสเค็มกับรสเผ็ดที่ผู้ใหญ่ชอบกิน แม้แต่รสหวานที่เด็กๆ ชอบกินก็ยังมี“ต่อไปขอแค่เป็นอาหารที่สกุลซ่งทำขาย ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยว่าจะไม่อร่อย แค่ตรงเข้าไปซื้อก็พอ โชคดีที่ข้าเร็วพอ ไม่อย่างนั้นหากไปตอนนี้ไม่รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหน”“เมื่อก่อนก็เคยย่างของกินเหมือนกัน แต่ไม่เคยกินที่อร่อยขนาดนี้มา
ลู่หมิ่นฮุ่ยได้ยินคำชมของฮองเฮา รอยยิ้มวาบผ่านดวงตา“นี่มาจากร้านปิ้งย่างเปิดใหม่ของสกุลซ่งเจ้าค่ะ ตอนนี้โด่งดังไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ขายดียิ่งนัก ได้ยินว่าเป็นความคิดของแม่นางซ่ง”“เมื่อก่อนข้าไม่รู้จริงๆ ว่าแม่นางซ่งมีความสามารถเช่นนี้อยู่ด้วย ได้ยินว่านางมีฝีมือทำอาหารยิ่งนัก ตอนนี้ของอร่อยพวกนี้ล้วนเป็นนางที่คิดค้นออกมา”“วิชาคุณไสยของนางเก่งกาจปานนั้น ทั้งเชี่ยวชาญวิชาแพทย์และยังทำอาหารเก่งปานนี้ ข้าคิดว่าทั่วทั้งเมืองหลวงไม่มีแม่นางคนไหนสู้นางได้เลยนะเจ้าคะ”“ยามนี้แม่ทัพซ่งกลับมาแล้ว ใครๆ ล้วนชมเชยว่าสกุลซ่งยอดเยี่ยมยิ่ง ต่อไปจะต้องก้าวหน้าไปอีกแน่นอน”หลังจากลู่หมิ่นฮุ่ยตั้งครรภ์ก็ยิ่งมีแต่ความรู้สึกซาบซึ้งใจต่อซ่งรั่วเจิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคราวก่อนที่ทวดมาเข้าฝันนางยิ่งทำให้นางตกใจจนเอาแต่นอนไม่หลับโชคดีที่มีซ่งรั่วเจินชี้แนะ หลังจากนั้นยังฝันว่าได้รับคำชมจากท่านทวด ถ้าไม่ได้ซ่งรั่วเจิน เกรงว่าตอนนี้นางก็คงยังไม่ตั้งครรภ์ ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรแอบหัวเราะเยาะนางลับหลัง รอให้ถึงวันที่นางถูกหย่าหลังจากนางตั้งครรภ์ก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้หญิงปากมากพวกนั้นได
มิหนำซ้ำเจ้าสี่สกุลซ่งแม้จะไม่ได้เข้ามาอยู่ในราชสำนัก แต่กลับค้าขายเก่งกาจยิ่ง ส่วนตัวซ่งรั่วเจินเอง นอกจากเคยถอนหมั้นและอายุมากไปหน่อยแล้ว กลับไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะสมแต่ว่า เพียงคิดว่าลูกชายของตนเองห่างเหินกับนางเพราะผู้หญิงคนหนึ่งก็รู้สึกหนาวเยือกในอก“ข้าได้ยินท่านอ๋องบ้านข้าพูดว่า หลังจากแม่ทัพซ่งกลับมา เรื่องที่เมืองผิงหยางก็ปิดบังไม่ได้อีกแล้ว”“เรื่องทางนั้นไม่น้อย นอกจากนี้ สาเหตุที่แม่ทัพซ่งได้รับบาดเจ็บหนักก็เป็นเพราะมีคนลอบส่งข่าว จงใจวางกับดัก แต่คนสกุลหลิงกลับรุดมาถึงได้บังเอิญปานนั้นจนสร้างความชอบไปได้”“พี่หญิง ท่านปราดเปรื่องมาโดยตลอด เรื่องในราชสำนักก็เข้าใจมากกว่าข้า ไม่คิดว่ามีปัญหาในเรื่องนี้บ้างหรือเจ้าคะ?”ลู่หมิ่นฮุ่ยแววตาหนักอึ้ง ความจริงนางเข้าวังมาวันนี้ เรื่องสำคัญที่สุดก็คือเรื่องนี้ยามปกติท่านอ๋องไม่มีทางพูดถึงเรื่องนี้กับนาง แต่เมื่อวานกลับบังเอิญพูดพอดี นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่านอ๋องดื่มสุรามากไปด้วยความยินดีหรือว่าเจตนาเตือนนางกันแน่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พี่หญิงล้วนสมควรได้รู้เรื่องนี้ อีกทั้งยังไม่ควรไปมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสกุลหลิงเมื่อวาจานั้น
เมื่อฮองเฮาได้ยินคำพูดของลู่หมิ่นฮุ่ย ก็ย่อมเข้าใจความนัยลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในนั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นบุญคุณในการช่วยชีวิต เพียงแค่เอ่ยปาก ตราบใดที่อีกฝ่ายสามารถทำได้ ก็ย่อมไม่มีทางปฏิเสธ เมื่อนึกถึงตอนที่ข่าวการตายของแม่ทัพซ่งถูกส่งกลับมา สถานการณ์ของสกุลซ่งก็ย่ำแย่ลงในทันที ทุกคนต่างคิดว่าไม่นานสกุลซ่งคงจะเลือนหายไปจากเมืองหลวง เพราะอย่างไรเสีย ไร้ซึ่งอำนาจหนุนหลัง อีกทั้งพวกเขายังเป็นตระกูลใหญ่โตที่มีทรัพย์สมบัติมากมาย ย่อมต้องกลายเป็นเป้าหมายที่ทุกคนจ้องตาเป็นมันโดยไม่ต้องสงสัย หากมิใช่เพราะซ่งหลินไม่อยู่ สกุลหลินก็คงไม่กล้าดูแคลนซ่งรั่วเจิน เกรงว่านางคงได้เป็นฮูหยินหลินโหวไปตั้งนานแล้ว และเรื่องราวในภายหลังก็คงไม่เกิดขึ้น ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น ฉู่มู่เหยาก็มาถึง “เสด็จแม่ ข้าก็ว่าอยู่ ไฉนกลางวันแสก ๆ ถึงให้ทุกคนออกไปที่ด้านนอก ที่แท้เป็นเพราะท่านน้ามาเยือนนี่เอง” เมื่อฉู่มู่เหยาก้าวเข้ามาก็ได้กลิ่นหอมฉุยระลอกหนึ่ง สายตาของนางจับจ้องไปที่ปิ้งย่างบนโต๊ะ กลิ่นหอมลอยออกมาจากสิ่งนี้ ทว่านางยังคงกล้าวทักทายอย่างสุภาพ “ข้าเห็นว่าพอเจ้าเข้ามา สา
ใต้เท้าจ้าวมีสีหน้าจริงจัง ซวี่ไป๋เป็นบุตรชายที่เขารักมากที่สุด และยังเป็นผู้ที่มีอนาคตไกลที่สุด บัดนี้ หลังจากเดินผ่านประตูผีมาแล้วครั้งหนึ่ง อีกทั้งยังสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้ แม้แต่ความอยุติธรรมที่เคยได้รับในอดีตก็ถูกลบล้างจนหมดสิ้นแล้วในตอนนี้ ผู้ที่เป็นบิดาเช่นเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดในใจยิ่งนัก เรื่องในปีนั้นมิได้สืบสวนให้กระจ่าง จึงทำให้บุตรชายผู้นี้ต้องได้รับความอยุติธรรมมากมายเช่นนี้ “ใต้เท้าจ้าว ท่านเกรงใจกันเกินไปแล้ว บุตรสาวของข้าสามารถช่วยพวกท่านได้ ก็เป็นวาสนาของนางเช่นกัน” รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งหลินกว้างจนแทบจะบานสะพรั่งบนใบหน้า นับตั้งแต่กลับมา กู้หรูเยียนก็เล่าเรื่องที่รั่วเจินเคยช่วยสกุลสวีและสกุลต่งให้ฟัง เขาถึงได้รู้ว่าบุตรสาวของตนมีความสามารถ และได้ทำอะไรมากมายถึงขนาดนี้ แต่น่าเสียดายที่เวลานั้นเขามิได้อยู่ด้วย จึงมิอาจมีส่วนร่วมด้วยตนเอง คาดไม่ถึงว่าโอกาสจะมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ เขาเพิ่งกลับมาเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่วัน บุตรสาวของเขาก็ช่วยชีวิตผู้คนได้อีกหนึ่งชีวิต! “เร็วเข้าเถิด เข้ามาดื่มน้ำชาสักถ้วยก่อน” ซ่งหลินกล่าว กู้หรูเย
เพียงเอ่ยปาก โทสะทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมาแล้วความเจ็บปวดและอึดอัดใจที่สั่งสมอยู่ภายในใจล้วนระเบิดออกมาในเวลานี้อวิ๋นเฉิงเจ๋อได้ยินอวิ๋นเนี่ยนชูพูดเช่นนี้เป็นครั้งแรก มองนางตวาดถามไล่เรียงตนเอง ภายในใจเปี่ยมความรู้สึกผิด“ขอโทษ ล้วนเป็นความผิดของข้า”เห็นสายตาเปี่ยมความรู้สึกผิดของฝ่ายชาย อวิ๋นเนี่ยนชูตาแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “เดิมทีทั้งหมดนี้ก็เป็นความผิดของท่านอยู่แล้ว! เหตุใดท่านไม่บอกข้าเร็วสักหน่อย ท่านรู้ว่าหลายปีมานี้ข้าฝืนได้ลำบากมากเพียงใดหรือไม่?”“ในเมื่อท่านไม่พูดมาโดยตลอด เหตุใดไม่เก็บเอาไว้ชั่วชีวิตเล่า?”น้ำตานางไหลลงมา ตลอดหลายปีมานี้ไม่ตอบรับความรู้สึกนาง นี่ทุกข์ใจมากเพียงใด?นางอยากบริภาษเขาแรงๆ อยากทุบตีเขา ชนิดที่ว่าอยากไม่สนใจเขาอีก ทำให้เขาเสียใจภายหลังไปชั่วชีวิตเพียงแต่ ยามได้เห็นของเหล่านั้นที่เขาซ่อนไว้ภายในห้อง รวมถึงภาพเหมือนของนางที่วาดไว้นับไม่ถ้วนยามค่ำคืน นางก็อยากร้องให้อย่างอดไม่ได้...“เป็นความผิดของข้าเอง ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า เจ้าตีข้าด่าข้าโทษข้า ล้วนสมควรทั้งสิ้น”อวิ๋นเฉิงเจ๋อสืบเท้าขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ภายในสายตาเปี่ยมความเอ็
“อะไรนะ?” อวิ๋นเนี่ยนชูชะงัก ภายในสายตาสะท้อนความตกตะลึงทั้งๆ ที่ตลอดมาล้วนเป็นนางตอแยญาติผู้พี่หากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้นางทำเช่นนี้มาโดยตลอด คาดว่าญาติผู้พี่ก็คงไม่ชอบนาง ทว่าได้ยินคำพูดของมารดาแล้ว เหตุใดญาติผู้พี่ถึงผลักทั้งหมดนี้ลงบนศีรษะของเขาเล่า?“เฉิงเจ๋อพูดว่าเขาพยายามสอบสร้างผลงานก็เพื่อจะได้คู่ควรกับเจ้า จะได้มีโอกาสสู่ขอเจ้า”“หากเปลี่ยนเป็นในอดีต ข้าจะต้องไม่เห็นด้วยที่พวกเจ้าคบหากัน บัดนี้ผ่านเรื่องมามากถึงเพียงนี้ ความคิดของแม่ก็เปลี่ยนไปไม่น้อย”“หากเจ้าชอบเฉิงเจ๋อจริง ข้าเองก็ไม่คัดค้าน แต่หากเจ้าไม่ชอบ...”สีหน้าจางเหวินสับสน ก่อนหน้านี้เคยเห็นท่าทางของเด็กทั้งสอง ไม่ว่ามองอย่างไรเนี่ยนชูก็ไม่คล้ายไม่ชอบเฉิงเจ๋อ“ข้าชอบญาติผู้พี่เจ้าค่ะ” อวิ๋นเนี่ยนชูตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าชอบญาติผู้พี่มาโดยตลอด”มองเห็นท่าทางมุ่งมั่นของลูกสาว จางเหวินรู้สึกเอือมระอาระคนโชคดีอยู่บ้าง “ช่างแล้วๆ น้ากู้ของเจ้าพูดถูกแล้ว ลูกหลานมีความสุขของลูกหลาน พวกเจ้าคบหากันก็เป็นพวกเจ้าสร้างขึ้น”“แม้ว่าปีนั้นเฉิงเจ๋อทำไม่ถูก ไม่สมควรเกิดความคิดต่อเจ้า แต่ข้าล้วนเห็นความพยายามของเขาตลอดหลา
ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงเขาพยายาม เขาเชื่อว่าตนเองจะต้องมีอนาคตแน่ตระกูลตกต่ำ บิดามารดาจากไปก่อนวัยอันควร เดิมทีเขาก็เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจตายที่ข้างถนนตั้งนานแล้ว บัดนี้ไม่เพียงมีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ ท่านน้ายังเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือเขา เขาไม่มีวันอกตัญญูเขาคิด...รออีกหน่อย รอจนเขามีความสามารถ รอจนเขาฉายแววโดดเด่น บางทีอาจมีโอกาสขอท่านน้าแต่งงานกับเนี่ยนชูทว่า ขณะเขากำลังตรากตรำร่ำเรียนอยู่นั้น ในที่สุดก็ได้รับคำชมจากอาจารย์ ได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง อาจารย์ของสำนักศึกษาหลวงเองก็ชื่นชมว่าเขาจะต้องมีโอกาสสอบผ่านขุนนางแน่ ตอนเขาคิดว่าตนเองอาจจะสามารถตอบรับความรู้สึกของเนี่ยนชูได้ กลับได้ยินท่านน้าและแม่นมพูดสนทนากันที่แท้...เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของบิดามารดาลูกของมารดาตายไปตั้งนานแล้ว ส่วนเขาคือเด็กที่วันนั้นถูกทิ้งไว้หน้าประตูเรือนด้านหลังของมารดาเดิมทีมารดาก็ยากจะยอมรับความเจ็บปวดได้ อีกทั้งยังสงสารเขา หมอพูดว่าร่างกายนางเสียหาย ภายภาคหน้ายากจะมีลูกได้อีก นี่ถึงรับอุปการะเขา ประกาศต่อโลกภายนอกว่าเขาเป็นลูกของตนเขาเป็นแค่เด็กถูกทิ้งคนหนึ่ง เศษสวะที่ไม่ยอมหนาว
ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “ข้าเคยไม่สนับสนุนเจ้าตั้งแต่ยามใด? แต่ไหนแต่ไรมาข้าล้วนสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า”ก่อนหน้านี้นางทำนายมาก่อนแล้ว ภายในเรื่องนี้มีเงื่อนงำซ่อนอยู่มากมาย อวิ๋นเฉิงเจ๋ออ่อนแอเกินไปสำหรับเรื่องนี้ ไม่มีความรับผิดชอบมากเพียงพอเพียงแต่ หากไม่เคยผ่านความทุกข์ของผู้อื่น ก็ไม่สามารถตัดสินตามใจได้อวิ๋นเฉิงเจ๋อกลายเป็นเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นประสบการณ์ที่เขาเคยเจอมาในช่วงหลายปีมานี้เรื่องเดียวกัน บางคนมีความรับผิดชอบที่แข็งแกร่งมาก ไม่ได้รับผลกระทบใด แต่บางคนคิดอ่านอย่างละเอียด ยากจะสามารถรับได้ใต้หล้ากว้างใหญ่ รวมทุกสรรพสิ่งไว้แล้ว ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะตนเอง นางย่อมไม่วู่วามสอดมือเข้าไปอวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มกว้าง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไรข้าก็ไม่ใส่ใจแล้ว หากไม่พูดเรื่องนี้ออกมา ข้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่”“ตอนนี้ท่านป้าจ้างกำลังอยู่กับท่านแม่ข้า รอกลับไปแล้วค่อยหาโอกาสพูดเถอะ”ซ่งรั่วเจินจิกนิ้วทำนาย ภายในสายตาเผยแววประหลาดใจ เปลี่ยนคำพูด “ดูท่าแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดออกจากปากของตนแล้วล่ะ”อวิ๋นเนี่ยนชูสงสัย “หมายความว่าอะไร?”“ญาติผู้พี่เจ้าพูด
ตอนนั้นสมองของนางขาวโพลน ชนิดที่ว่ายังเจือความขุ่นเคืองระคนเขินอายอีกด้วย คิดว่าญาติผู้พี่จำคนผิดไปจนกระทั่งได้ยินเขาพูดพึมพำชื่อของนางไม่หยุด ได้เห็นน้ำตาเจืออยู่ในสายตาของเขา ความรู้สึกของนางก็ซับซ้อนขึ้นมาจากนั้น นางประคองญาติผู้พี่เข้าห้อง ได้ยินเขาพูดพึมพำภายในความฝัน เรียกชื่อของนางเบาๆตอนจากมา นางชนเข้ากับหนังสือบนโต๊ะของเขาโดยไม่ทันระวัง ตอนหยิบของขึ้นมา จู่ๆ ก็ได้พบภาพวาดของตนถูกซ่อนไว้ด้านในบนภาพวาดนั้นเป็นนางสวมใส่ชุดที่ไปฟังเรื่องเล่านางเปิดลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้นออกดู พบว่าภายในล้วนเป็นภาพวาดของนางไม่เพียงแค่นางในตอนนี้ ยังมีนางในอดีต ทั้งหมดล้วนวาดเองกับมือของญาติผู้พี่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตอนเด็กนางยังเคยไปที่ห้องของญาติผู้พี่ ต่อมาหลังความรักผลิบานในหัวใจก็ชอบไปหาญาติผู้พี่เพียงแต่จู่ๆ อยู่มาวันหนึ่ง ญาติผู้พี่บอกนางด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างมาก นางเป็นหญิงสาวแล้ว ไม่สามารถเข้าห้องผู้ชายตามสะดวกได้ นางถึงเข้ามาน้อยครั้งทว่าชั่วขณะได้เห็นภาพวาดมากมายนี้ นางถึงเข้าใจอย่างชัดเจน เหตุใดญาติผู้พี่ไม่ให้นางเข้าห้องเพราะภายในห้องของเขามีของมากมายที
เมื่อเห็นกู้ฮวนเอ๋อร์ภาคภูมิใจเช่นนี้ ซ่งรั่วเจินและคนอื่น ๆ ก็อดมิได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ ว่าของล้ำค่าที่ว่าคือสิ่งใดกันแน่? “ผ่าม!” กู้ฮวนเอ๋อร์เปิดกล่องผ้าไหมออกด้วยความตื่นเต้นยิ่ง แต่ทว่าหลังจากที่ทุกคนในงานเห็นของในกล่องผ้าไหมแล้ว ล้วนนิ่งงันไปทันที เนื่องด้วยในกล่องนั้นมีเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรอยู่องค์หนึ่ง! “แค่กๆ” ฉู่อวิ๋นกุยกระแอมครั้งหนึ่ง แต่ใบหน้ากลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ สตรีที่เขาชอบนั้น ช่างเป็นคนที่ชาญฉลาดนัก! ซ่งรั่วเจินพลันมองไปทางฉู่จวินถิงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้ากลับเห่อแดงขึ้นมา แววตาของฉู่จวินถิงปรากฏแววขบขันวาบผ่าน ของขวัญชิ้นนี้ช่างมีความหมายยิ่งนัก กู้ฮวนเอ๋อร์เห็นว่าหลังจากที่ตนหยิบของขวัญออกมาแล้ว ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น ”นี่มันสีหน้าอะไรของพวกเจ้ากัน? หรือว่าไม่ดีงั้นหรือ?“ “เจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรองค์นี้ ข้าไปกราบขอมาโดยเฉพาะ ผ่านพิธีปลุกเสก ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก!” ซ่งรั่วเจิน “...” หลายครั้งนางเองก็นับถือกู้ฮวนเอ๋อร์จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่อายุน้อยขนาดนี้ แต่ความคิดที่จะมอบของขวัญให้กลับเหมือนค
ณ เวลาเดียวกันนั้น อวิ๋นเนี่ยนชูก็ได้มาหาซ่งรั่วเจินเช่นกัน “รั่วเจิน ยินดีกับเจ้าด้วยนะ ข้าเองก็เห็นเหตุการณ์ในงานเทศกาลโคมไฟแล้ว เดิมทีอยากจะไปแสดงความยินดีกับเจ้าอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นเกิดเรื่องบางอย่างทำให้ล่าช้าไป จึงต้องมามอบของขวัญแสดงความยินดีในวันนี้” อวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มพลางยื่นของขวัญแสดงความยินดีไปให้ “นี่คือของสิ่งนี้ข้าเตรียมไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ฉู่อ๋องเป็นคนดีจริง ๆ เมื่อพวกเจ้าได้แต่งงานกันแล้วจักต้องครองรักกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข จนผู้คนรอบข้างพากันริษยาแน่นอน” ซ่งรั่วเจินมองดูอวิ๋นเนี่ยนชูเปิดกล่องผ้าไหมออก ภายในบรรจุเครื่องประดับศีรษะของสตรีครบชุด เครื่องตกแต่งอื่น ๆ ไปจนถึงเครื่องประทินโฉม ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด “ของมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ดูแล้วครบชุดเลย เจ้าให้จัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะหรือ?” “ใช่แล้ว!” อวิ๋นเนี่ยนชูพยักหน้าพลางยิ้ม “แต่ก่อนข้าครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าควรจะมอบสิ่งใดให้เจ้าเป็นของขวัญดี แต่คิดไปคิดมาก็ยังไม่มีสิ่งที่เหมาะสมที่สุดได้เลย” “หลังจากนั้น ข้าก็คิดว่า สิ่งที่สตรีมักจะใช้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันก็มิพ้นเคร
เมื่อได้ฟังสิ่งที่จางเหวินพูด กู้หรูเยียนกับเยี่ยนชิงอวี้ต่างก็อดมิได้ที่จะตกตะลึง ตั้งแต่เมื่อเริ่มรู้จักความรักครั้งแรกก็ชอบพอเฉิงเจ๋อ ถ้าอย่างนั้น ก็ชอบพอหลายปีจริง ๆ พวกเขากลับมิรู้มาโดยตลอด คิดดูแล้ว ในใจเด็กทั้งสองคงมีสิ่งที่เก็บกลั้นไว้อยู่ “จะว่าไป ก็ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ที่ข้ามิได้ใส่ใจให้ดีนัก เอาแต่ให้เฉิงเจ๋อคอยดูแลน้องสาวให้ดี” “เนี่ยนชูชอบตามติดอยู่ข้างกายเฉิงเจ๋อมาตั้งแต่เล็ก ทุกครั้งที่เฉิงเจ๋อกลับจากสำนักศึกษา เป็นเวลาที่นางมักดีใจเป็นที่สุด ข้าก็นึกว่าเป็นเพียงความรักฉันพี่น้องมาโดยตลอด” “มาตรองดูดี ๆ แล้ว ตอนนั้นข้าก็ควรพบความผิดแผกได้ หากเป็นเพียงพี่น้องธรรมดา เหตุใดเด็กทั้งสองจึงมิยอมแต่งงานจนถึงตอนนี้?” จางเหวินยิ่งเอ่ยก็ยิ่งปวดใจ เมื่อนึกถึงคราวก่อนที่อนุอวิ๋นยังหมายจะยกอวิ๋นซีหว่านที่ยังไม่ได้แต่งงานให้แก่เฉิงเจ๋อ เกรงว่าตอนนั้น หัวใจของเด็กทั้งสองคงรวดร้าวมิใช่น้อย ถึงขั้นที่ เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นในตอนนั้น นางยังเคยกล่าวกับเฉิงเจ๋อด้วยว่า เรื่องนี้ช่างน่าขันเสียจริง นางมองเขาเป็นดั่งบุตรชายแท้ ๆ มาโดยตลอด อนาคตจะต้องเลือกคู่ค
“พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้ายังจะเกรงใจข้าอีกหรือ? ที่ข้ามานี้ มิใช่เพียงเพื่อช่วยรั่วเจินเตรียมงานแต่งเท่านั้น อีกทั้งยังได้เห็นหน้าชิงอินด้วย ช่างเป็นเรื่องดีเสียจริง” ขณะที่กู้หรูเยียนและเยี่ยนชิงอวี้กำลังสนทนาหยอกเย้ากันอยู่นั้น ก็พลันสังเกตเห็นว่าจางเหวินราวกับเหม่อลอยอยู่ไม่น้อย “หรือว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงมีท่าทีเหม่อลอยเช่นนี้?” กู้หรูเยียนเอ่ยถาม จางเหวินจึงได้คืนสติ ในใจของนางล้วนมีแต่เรื่องของเนี่ยนชูกับเฉิงเจ๋อ จนเผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัว “ข้า...” นางเหมือนจะเอื้อนเอ่ย แต่กลับชะงักไป เยี่ยนชิงอวี้ขมวดคิ้ว “เจ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถบอกพวกเราได้งั้นหรือ? บอกมาตามตรงเถิด” “ที่อนุอวิ๋นพูดมามิผิดเลย ระหว่างเนี่ยนชูและเฉิงเจ๋อต่างก็มีใจให้กัน” จางเหวินทอดถอนใจครั้งหนี่ง เมื่อนึกถึงภาพที่นางได้เห็นเมื่อวานยามกลับจวน เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเฉิงเจ๋อในสภาพเช่นนั้น บทสนทนาของทั้งสอง นางก็พลอยได้ยินไปด้วย นางจึงได้รู้ว่าที่แท้เนียนชู่ชอบพอเฉิงเจ๋อมาหลายปีเพียงนี้ ในฐานะมารดาเช่นนาง นางคิดว่าตนใส่ใจบุตรเป็นอย่าง