"แม่บ้านลี่เราต้องไปตักน้ำเช่นนี้ตลอดเลยหรือ" ซ่งซูหลานเอ่ยถาม เสียงหอบหายใจดังเป็นระยะ พวกนางกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวซึ่งตักน้ำมาเกินครึ่งเพื่อเติมให้เต็มอ่างของที่บ้านในทุก ๆ วัน หนำซ้ำระยะทางก็สุดแสนทรหด
"เจ้าค่ะ...คุณหนู หากท่านไม่ไหวก็ไปพักเถิด ที่เหลือข้าทำเอง"
นับตั้งแต่พวกนางได้เปิดใจคุยกันครั้งแรก นิสัยและอารมณ์ของลี่ถังก็เปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือราวแผ่นฟ้าพลิกกลับ
"เอ่อ...ไม่ดีกว่า ไหน ๆ ก็อาศัยชายคาเดียวกันอยู่ จะให้ท่านทำคนเดียวได้อย่างไร" ซ่งซูหลานส่งยิ้มละไม
ความรู้สึกกระดากอายพลันโหมกระหน่ำเข้ามากระทบจิตใจของลี่ถังดุจเกลียวคลื่น นางเคี่ยวเข็ญซ่งซูหลานให้โหมงานอย่างหนักมาโดยตลอด แม้แต่ความห่วงใยก็ยังมิเคยปริปากถามไถ่อีกฝ่ายด้วยซ้ำ ดีแต่พูดจากระทบกระเทียบอีกทั้งยังให้นางกินอาหารคุณภาพต่ำ อยู่ห้องแสนอับชื้นขณะที่บ้านหลังนี้ออกจะใหญ่โต
ทว่าลี่ถังจำใจต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ หาไม่แล้วหากฮูหยินรองจับได้ขึ้นมา เงินสักอีแปะนางก็คงไม่ได้รับแน่แท้ ยามนี้ลี่ถังมิสนใจแล้ว ต่อให้ต้องกัดก้อนเกลือกินก็ตาม นางจะไม่ยินยอมกลับไปเป็นพวกไร้มโนธรรมนั่นอีกเป็นอันขาด นางเลี้ยงดูซ่งซูหลานมากับมือ มีหรือจะแสร้งใจจืดใจดำได้ตลอด ทุกอย่างเป็นเพียงเปลือกนอกที่ใช้ปกป้องตนเองก็เท่านั้น
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านไปพักเถิด"
ซ่งซูหลานส่ายหน้า "ข้าจะช่วย"
ลี่ถังไม่อาจขัดน้ำใจอีกฝ่าย พวกนางจึงช่วยกันแบกถังไม้เทียวไปเทียวมานับสิบรอบ และแล้วก็ได้ปริมาณน้ำที่เพียงพอ หยางเชาวิ่งเตาะแตะเข้ามาพร้อมถ้วยชาในมือ
"พี่ฉาว ท่านแม่ พวกท่านดื่มน้ำก่อนเถิด คงเหนื่อยแย่เลยใช่หรือไม่ขอรับ หากหยางเชาโตเมื่อไหร่จะทำเรื่องพวกนี้เอง"
ลี่ถังรับไว้จากนั้นเดินไปหาเจ้าตัวเล็กที่นอนเอกเขนกอยู่ในเปล
ซ่งซูหลานคลี่ยิ้มอบอุ่น "ไม่เหนื่อยเลยสักนิด หยางเชาช่างรู้จักคิดและเป็นเด็กกตัญญูยิ่ง ทว่าพวกข้าได้ทำแบบนี้บ่อย ๆ ก็ดีเช่นกัน เหมือนได้ออกกำลังกายไปในตัว ยามปกติข้ามักนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ อยู่ห้องแล็บเพื่อทดลองจนพุงย้วยสวมแว่นหนาเตอะ ได้มาสัมผัสวิถีชีวิตแบบธรรมชาติและอบอุ่นเช่นนี้ก็ไม่เลวทีเดียว"
"ข้าดีใจที่เห็นท่านแม่คุยกับพี่ฉาวแบบเฉียงเบาได้แล้ว ยามปกติข้ามักเห็นท่านแม่ขึ้นเฉียงกับท่าน จากนั้นก็ลามมาถึงข้า ราวกับนางยักษ์" หยางเชาทำท่าแยกเขี้ยว
ซ่งซูหลานหัวเราะขัน นางยกกายเด็กน้อยขึ้นนั่งบนตักพลางเขี่ยปลายจมูกเล็ก ๆ เล่นด้วยความเอ็นดู "นี่แน่ะ เจ้าเด็กแสบ จุ๊ ๆ ไว้"
มือน้อย ๆ ยกขึ้นจุ๊ปากตามที่ซ่งซูหลานทำ พลางเอียงคอมองด้วยความฉงน "จุ๊แบบนี้หมายถึงอันใดขอรับ"
"เงียบไว้อย่างไรเล่า ก่อนที่ท่านแม่ของเจ้าจะกลับมาแยกเขี้ยวจริง ๆ"
หยางเชาทำท่าขนลุกเกรียว พลางยกมือขึ้นปิดหน้า "ฮื่อ...ไม่เอาขอรับ เป็นเช่นนี้ข้ามีความฉุกที่ฉุดแล้ว ต่อไปหากหยางเชาเติบโตจะต้องช่วยงานพี่ฉาวได้แน่ ๆ"
"เอาสิ ข้าจะรอวันที่เจ้าโตทันข้านะ เพียงแต่หากอาเชาโตแล้ว พี่สาวก็คงกลายเป็นยายแก่หงำเหงือก"
มือน้อย ๆ ยกขึ้นประคองใบหน้างามไว้ทั้งสองแขน "พี่ฉาวแก่ยังไงก็ฉวยเหมือนเดิม"
"ฮ่า ฮ่า ตัวแค่เนี่ยปากหวานจริงเชียว เอาไว้ฟันหน้างอกแล้วมาพูดใหม่นะ"
ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุข ลี่ถังไม่เคยได้เห็นภาพเช่นนี้มาก่อน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด ไยนางจำต้องทารุณเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้ถึงเพียงนั้นกันนะ
ลี่ถังนั่งให้นมหยางหยางลูกน้อยของตนไปพลาง สายตาก็เมียงมองภาพทั้งสองหัวเราะเริงร่าไปพลาง รอยยิ้มที่ไม่เคยมีมาก่อนจึงปรากฏขึ้น ซ่งซูหลานทันได้หันหน้ามาประสานสายตากับอีกฝ่ายเข้าพอดี ลี่ถังจึงหลุบตาลงด้วยความเก้อกระดาก
แม่บ้านลี่เดิมทีท่านเองก็จิตใจงามไม่น้อย ใครเสี้ยมให้ท่านต้องทำตัวแบบนี้กัน หรือว่าชีวิตของคุณหนูรองซ่งยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกเล่า
ซ่งซูหลานครุ่นคิด นางละสายตาจากลี่ถังพลางมองนกมองไม้และบรรยากาศรอบด้านไปเรื่อย สายลมที่ปลิวไสวโบกสะบัดยามอาทิตย์อัสดงช่างงดงามยิ่ง ต้นไผ่สูงชะลูดเอนไหวล้อสายลมส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดประสานกันดุจดั่งทำนองแสนเสนาะ นัยน์ตาดอกท้อหลับพริ้ม ฝ่ามือเรียวค่อย ๆ ตีเปาะแปะบริเวณบ่าเล็กของเด็กในอ้อมแขน หยางเชาถูกกล่อมพร้อมกับอากาศเย็นฉ่ำก็พลอยรู้สึกหนังตาหย่อนขึ้นฉับพลัน
ซ่งซูหลานร้องเพลงด้วยท่วงทำนองไพเราะ ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่ตนมิได้ผ่อนคลายเช่นนี้ เด็กน้อยในอ้อมแขนเงียบเสียงลงแล้ว นัยน์ตาดอกท้อลดมองอีกฝ่าย รอยยิ้มละไมปรากฏบนใบหน้าเกลี้ยงเกลา
"อาเชา หลับแล้วหรือ พี่สาวร้องเพลงเพราะใช่หรือไม่" เสียงใสกระซิบแผ่ว
นางไม่ได้คาดหวังคำตอบแต่อย่างใด เพียงได้มองดูใบหน้าเล็ก ๆ หลับพริ้มอย่างมีความสุขก็เพียงพอ ยิ่งเป็นเช่นนี้ซ่งซูหลานก็ยิ่งคิดถึงโลกอีกด้านที่ตนจากมา นางเคยมีน้องชายเช่นเดียวกัน หากอีกฝ่ายมีโอกาสเติบโตก็อาจมีนิสัยเฉกเช่นหยางเชา น่าเสียดายที่ไม่มีวันนั้น อย่างน้อย ๆ การทะลุมิติครั้งนี้ก็ดุจดั่งได้น้องชายกลับสู่อ้อมแขน ช่วยเติมเต็มชีวิตอันไร้ค่าให้สุขสมมากขึ้น
ครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยอยู่ ๆ นางก็ตระหนักนึกบางอย่างขึ้นได้ "จริงสิ คิดออกแล้ว"
ร่างสูงเดินวนไปมาอยู่หน้าตำหนัก มือแกร่งไพล่หลังเคร่งขรึม เหล่านางกำนัลและองครักษ์มองตามก็พลอยปวดเศียรเวียนเกล้าไปเสียด้วย"เอ่อ...รัชทายาท พระทัยเย็น ๆ พ่ะย่ะค่ะ อีกไม่นาน ไม่นานเกินรอ" เย่จงเทียนเอ่ยปลอบประโลมทว่ากู้หย่งเฟิงกลับหน้านิ่วคิ้วขมวด "จงเทียน ข้าเป็นห่วงนาง เหตุใดจึงนานนัก หมอทำเป็นหรือไม่"เย่จงเทียนยกมือเกาแก้ม เอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม"องค์รัชทายาท นี่ผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งเค่อ [1] เลยนะพ่ะย่ะค่ะ"กู้หย่งเฟิงตวัดสายตามองฉับ เย่จงเทียนหน้าหงอทันควัน "หนึ่งหรือสองเค่อก็นานทั้งนั้น ข้าเป็นห่วงนางใจแทบขาดแล้ว"..ภายในตำหนัก"เบ่งเพคะ เอ้า หนึ่ง สอง..." มือเหี่ยวย่นช่วยประคองครรภ์กลมโตพลางทำปากพองลมตาม"อื้อ..." ซ่งซูหลานพยายามออกแรงเบ่งเสียจนเหงื่อกาฬแตกพลั่กลี่ถังและเฉินซู่คอยซับเหงื่อให้ผู้เป็นนายอยู่ไม่ห่าง ขณะที่พระชายาเบ่งพวกนางก็ออกแรงเฉกเช่นตนจะคลอดด้วยเสียเอง"พระชายา อีกนิดเท่านั้นท่านอดทน
ซ่งหยวนหมิงได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ให้ตรวจสอบเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวงของขุนนางที่ตำบลเลี่ยงหลินอย่างลับ ๆ เขาระแคะระคายมาสักพักแล้วว่ากงเจิ้งจงกำลังคิดกระทำการบางอย่าง คาดไม่ถึงว่านอกจากไม่ส่งความช่วยเหลือมายังราษฎร กลับอ้างชื่อของรัชทายาทเพื่อทำเรื่องต่ำช้าสร้างความเข้าใจผิดให้ใต้หล้า ซ้ำยังลอบทำร้ายรัชทายาทในพิธีล่าสัตว์ฮ่องเต้กู้ฮ่าวเทียนทราบดีว่าเขามิอาจกักบริเวณรัชทายาทได้จริงดังว่า จึงให้ใต้เท้าซ่งรวบรวมกำลังทหารไปสมทบ นอกจากจับได้ทั้งคนพร้อมหลักฐานแล้ว สิ่งที่ลำบากใจที่สุดยามนี้ก็คือ กงเจิ้งจงคือบิดาของกงกุ้ยเฟย ซ้ำร้ายกงกุ้ยเฟยยังเคยวางยาห้ามครรภ์ให้บรรดาสนมคนอื่น ๆ รวมถึงฮองเฮาด้วย ทว่าจางฮองเฮากลับสามารถให้กำเนิดโอรสได้หนึ่งพระองค์ หลังจากรัชทายาทประสูติไม่นานร่างกายของจางฮองเฮาก็มิสู้ดีมาโดยตลอด กระทั่งกู้หย่งเฟิงรู้ความ นางก็ได้จากไปอย่างสงบกงเจิ้งจงกระทำการอุกอาจเช่นนี้เพียงต้องการให้เปลี่ยนตัวรัชทายาทแห่งแคว้น เพราะตนมิอาจควบคุมกู้หย่งเฟิงได้ ทว่าองค์ชายทั้งสองกลับมิได้รู้เห็นด้วย ฮ่องเต้จึงทำการสำเร็จโทษกงเจิ้งจงด้วยทัณฑ์ของกบฏขั้นสูงส
ซ่งซูหลานตกใจสะดุ้งโหยง บรรดาชายชุดดำด้านหลังต่างวิ่งกรูเข้ามา ซ่งซูหลานล้วงเอาระเบิดปิงปองสามสี่ลูกออกจากกระเป๋า แล้วจึงใช้อุปกรณ์จุดไฟที่ประดิษฐ์ขึ้นจุดชนวนด้านบน โชคดีที่เส้นทางในถ้ำคับแคบ ชายเหล่านั้นเลยไม่อาจดาหน้าเข้ามาในคราวเดียวกันซ่งซูหลานปาระเบิดปิงปองออกไปอย่างรวดเร็ว"วิ่ง!"กู้หย่งเฟิงกุมมือซ่งซูหลานไว้เหนียวแน่น พวกเขาตะบึงอย่างไม่คิดชีวิต ภายในถ้ำเริ่มเกิดการสั่นสะเทือนตู้ม!!แรงระเบิดทำให้หินนับร้อยร่วงกราวลงมาดุจใบไม้แห้ง ที่นี่กำลังจะพังทลาย"บัดซบ! จับพวกมันมาให้ได้" เสียงทุ้มตะโกนไล่หลังฝีเท้านับร้อยคู่วิ่งกรูใกล้เข้ามาทุกขณะ พร้อมกับเสียงโอดโอยร้องดังระงม ถึงแรงระเบิดไม่อาจคร่าชีวิต ทว่าสามารถสร้างรอยบาดแผลเพื่อลดทอนกำลังฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งสองมาถึงทางออกแล้ว แต่วิธีออกไปกลับไม่เหมือนยามที่ตนเข้ามากู้หย่งเฟิงพยายามคลำหาเปะปะ "ตรงไหนกันเล่า"ซ่งซูหลานหายใจหอบเหนื่อย "ข้าหาเอง"ทั้งสองช่วยกันคลำไปทั่วผนัง ทว่าเบื้องหลังกลับถูกอีกฝ่ายล้อมไว้ ชายร่างสูงสวมหน้ากากเยื้องย่างด้วยท่าทีใจเย็น
ซ่งซูหลานหัวใจไหวระทึก ชายฉกรรจ์ทั้งสองเยื้องย่างใกล้เข้ามาทุกขณะ อยู่ ๆ ปากของนางก็ถูกฝ่ามือใครบางคนตะปบปิดเอาไว้"อื้อ..." นัยน์ตาดอกท้อเบิกกว้างตื่นตระหนกผู้ใดกัน!?"ชู่ว..."นางรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดใบหู ซ่งซูหลานมิกล้าขยับส่งเดช มือแกร่งโยนบางอย่างไปอีกฝั่งจี๊ด จี๊ด จี๊ด...บุรุษในชุดสีทะมึนหันตามขวับ"โถ่ บัดซบ! ที่แท้ก็หนูนี่เอง"เท้ากำยำเตะหินก้อนหนึ่งกระทบผนังถ้ำอย่างหัวเสีย"ไปกันเถอะ ลาดตระเวนมานานจนข้าชักเพลียแล้ว วันนี้ใต้เท้าจะลงมาดูงานด้วย"ชายอีกคนพยักหน้าตอบกลับ จากนั้นพวกเขาก็หายลับไปทางแยกด้านซ้าย ซ่งซูหลานมองตามบุรุษทั้งสองตาปริบ ๆ ทว่าเบื้องหลังกลับมีใครบางคนกำลังควบคุมนางเอาไว้ ซ่งซูหลานตัวแข็งทื่อประดุจรูปปั้น นางไม่กล้ากระทั่งหายใจแรงเสียงทุ้มกระซิบแผ่ว "เด็กดื้อ เจ้าทำตัวเช่นนี้ข้าเป็นห่วงมากรู้หรือไม่"สะ...เสียงนี่มัน...ฝ่ามือหยาบระคายลดลงแล้ว เขาจับไหล่บอบบางของคนเบื้องหน้าให้หั
เสียงบุรุษสองนายสนทนากันดังเป็นระยะ "เจ้าว่าแผนการนี้จะได้ผลหรือ รัชทายาทหาใช่คนโง่เง่า""เอาน่า อย่างน้อย ๆ สร้างชื่อเสียงให้เขาเสื่อมเสียสักหน่อย เมื่อราษฎรไม่ยอมรับเขา ต่อไปแผนการของใต้เท้าก็จะสำเร็จโดยง่าย""นั่นสินะ ข้าล่ะอยากไปร่ำสุราเคล้านารีในวังหลวงเสียจริง คงมีแต่สตรีงามหยดดุจนางฟ้า น่าเสียดายหากวันนั้นหัวหน้าไม่ห้าม รัชทายาทคงไม่รอดจวบจนวันนี้""เอาเถิด อีกไม่นานเกินรอแผนสำรองก็น่าจะสำเร็จ"วาจาคลุมเครือพร้อมท่าทางหยาบโลนของพวกเขาทำให้ซ่งซูหลานขนลุกซู่พวกนี้เองหรือที่ทำร้ายเขาปางตายในป่าไผ่ตอนนั้นทุกอย่างเป็นเช่นที่นางคาดไม่มีผิด กู้หย่งเฟิงมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องสักนิด เขากำลังถูกปรักปรำทว่าใต้เท้าที่พวกเขาเอ่ยถึงคือใต้เท้าใดกัน ในวังหลวงมีตั้งกี่ใต้เท้าเล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดขมับตุ๊บ!จู่ ๆ หินก่อนหนึ่งดันร่วงบริเวณที่นางกำลังซ่อนตัวอยู่ราวจับวาง ซ่งซูหลานตัวแข็งทื่อด้วยความตระหนก"ผู้ใด!?"แย่แล้วซูหลาน ยังไม่ทันได้เรื่องก็ไม่เหลือชีวิตไปต่อแล้ว ฮือ...ปืนกลที่พกขนาบเอ
"คุณหนู ท่านเพิ่งมาถึงมิใช่หรือ นี่ท่านกำลังทำอันใดเจ้าคะ แล้วไยจึงยังแต่งกายเฉกเช่นบุรุษอยู่อีก" ลี่ถังทราบเพียงว่าซ่งซูหลานถูกพาตัวไปอภิเษกกับรัชทายาท แต่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางได้เข้าพิธีอภิเษกจริงหรือไม่ เพราะตั้งแต่พบหน้าซ่งซูหลาน นางก็มิได้เอ่ยถึงเลย ลี่ถังจึงตัดสินใจเรียกอีกฝ่ายในสถานะเดิมซ่งซูหลานยังคงทำโน่นจัดนี่มือเป็นระวิง "แม่บ้านลี่ อยู่เรือนอย่าลืมปิดประตูให้ดี อ้อ...อีกอย่าง อย่าได้ออกไปไกลจากตัวเรือนเกินหนึ่งหลี่ [1] เข้าใจหรือไม่ ข้าทำเส้นกั้นไว้เรียบร้อยแล้ว"ลี่ถังงุนงง "ทำไมหรือเจ้าคะ""ข้าไม่มีเวลาอธิบายแล้ว เอาตามนี้ อย่าพาเด็ก ๆ ออกมาเล่า แล้วข้าจะรีบกลับ" ซ่งซูหลานพกกระเป๋าอุปกรณ์ที่นางตัดเย็บเองยามว่าง จึงสามารถนำมาใส่สัมภาระที่จำเป็นสำหรับภารกิจหนนี้ นางต้องรู้ให้ได้ว่าเรื่องที่ชาวบ้านถูกรีดไถเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ จะใช่คำสั่งของรัชทายาทจริงหรือซ่งซูหลานมุ่งหน้าออกจากเรือนโดยไม่ลืมกำชับลี่ถังอีกหน เพราะนางได้วางกับดักเอาไว้โดยรอบ ทั้งยังมีดินประสิวใ