“แต่แม่ครับ...”
สิบทิศกำลังจะค้านด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ถูกนางขัดขึ้นเสียก่อน
“ทำไมจ๊ะตาสิบ มีปัญหาอะไรหรือ”
“เปล่าครับ คุณแม่อยากจะชวนใครไป ก็แล้วแต่คุณแม่เถอะครับ ผมจะไปรอที่รถก่อน จะไปก็เร็ว ๆ ผมไม่ชอบรอใครนาน ๆ”
ร่างสูงยอมจำนนทั้งที่ปากก็พูดกระแทกแดกดันหญิงสาวไปด้วย นัยน์ตาสีนิลปรายมองสาวสวยอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหมุนตัวเดินปึงปังไปรอที่รถด้วยความขัดใจ
คำกระแทกกระทั้นของสิบทิศ ทำเอาหน้าสวยสลดวูบลงทันควัน เมื่อรู้ว่าเขาไม่พอใจและไม่ต้องการให้เธอไปด้วย เหมือนเขาเกลียดเธอ ทั้งที่เธอยังไม่เคยไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจเลยด้วยซ้ำ แต่คุณหญิงสิรินดาเอ่ยชวนเธอแล้ว ผู้ใหญ่ออกปากชวนขนาดนี้ เธอก็ไม่อยากจะเสียมารยาท แล้วอีกอย่างนี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่เธอจะได้อยู่ใกล้ชิดกับเขา เธอจะปฏิเสธได้อย่างไรกันเล่า
“ไม่เป็นไรนะหนูผิง ตาสิบจะพูดยังไงก็ช่าง ไม่ต้องไปฟังมันหรอก ไอ้ลูกคนนี้ ป้ารู้นะว่าหนูคิดยังไงกับลูกชายป้า อย่าเพิ่งท้อนะลูก ยังไงป้าก็เชียร์หนูเต็มที่ ถ้าหนูชอบตาสิบจริง ๆ ป้าก็ไม่ขัด”
คุณหญิงสิรินดายิ้มละมุน บีบมือบางของตรีชฎาเพื่อให้กำลังใจ
“เอ่อ ไม่ใช่...”
ยังไม่ทันจะปฏิเสธ เธอก็ถูกนางแทรกขึ้นก่อน
“อย่ามาปฏิเสธเลยจ้ะ ป้าอาบน้ำร้อนมาก่อน ทำไมป้าจะดูไม่ออก ว่าสายตาของหนูน่ะ เวลามองตาสิบ มันเต็มไปด้วยความรักมากมายขนาดไหน ไม่ต้องอายหรอก สมัยนี้จีบผู้ชายก่อนก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”
ใบหน้าสวยแดงระเรื่อขึ้นทันตา เพราะเขินอายที่คุณหญิงสิรินดาล่วงรู้ความรู้สึกของเธอที่มีให้กับสิบทิศ แต่ยังไงซะเธอก็ยังโชคดีที่คุณหญิงสิรินดาไม่รังเกียจเธอ และไม่กีดกันความรักของเธอ กลับสนับสนุนเธอเต็มที่ขนาดนี้ เธอก็ควรจะเดินหน้าให้ถึงที่สุด ต้องท่องไว้
‘ด้านได้อายอด’
ตรีชฎาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกความมั่นใจให้กับตัวเอง ก่อนจะรีบไปหยิบกระเป๋าสะพายของตน แล้วเดินตามคุณหญิงสิรินดาออกไปทันที เพื่อไม่ให้สิบทิศรอนาน เดี๋ยวเขาจะหาว่าเธอช้าอีก
ร้านอาหารริมน้ำ ถูกตกแต่งให้กลมกลืนกับบรรยากาศได้อย่างเป็นธรรมชาติ ด้านหน้าของร้านมีดอกไม้นานาพันธุ์ปลูกไว้ในกระถางอย่างสวยงาม ส่วนทางเข้านั้นเป็นซุ้มที่ประดับประดาไปด้วยแสงไฟหลากหลายสีสัน ตลอดทางเดินก็มีดอกแก้วสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว ยิ่งเข้ากับบรรยากาศยามค่ำคืนเสียจริง
“สวัสดีค่ะ ร้านดอกแก้วริมน้ำ ยินดีต้อนรับค่ะ”
พนักงานต้อนรับในชุดไทยประยุกต์คนหนึ่งกล่าว ยามเห็นลูกค้าเดินเข้ามาด้วยกิริยาอ่อนช้อย
“ไม่ทราบว่ามากี่ท่านคะ” พนักงานสาวเอ่ยถามต่อ
“สามคนจ้ะ” คุณหญิงสิรินดาตอบด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้น เชิญที่โต๊ะด้านในเลยค่ะ”
พนักงานต้อนรับผายมือ แล้วค้อมตัวลงเล็กน้อย เชิญลูกค้าทั้งสาม ก่อนจะเดินนำหน้าพาลูกค้าไป
โต๊ะอาหารที่พนักงานต้อนรับได้พาคุณหญิงสิรินดา สิบทิศ และตรีชฎามานั้น เป็นโต๊ะที่อยู่ด้านในสุดและติดกับริมแม่น้ำ ซึ่งสามารถชมวิวทิวทัศน์ที่เป็นธรรมชาติได้อีกด้วย บวกกับบรรยากาศที่เย็นสบายโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศนั้น ช่างเป็นอะไรที่ลงตัวกันจริง ๆ
คุณหญิงสิรินดาจัดแจงนั่งที่เรียบร้อย เอากระเป๋าที่นางหิ้วมาด้วยวางไว้บนเก้าอี้ข้าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครมานั่งคู่กับนาง โดยเฉพาะพ่อลูกชายตัวดี แต่มีหรือที่สิบทิศจะสน มือหนาหยิบกระเป๋าของมารดาขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เอ๊ะ! ตาสิบ ทำไมไม่ไปนั่งฝั่งโน้นกับหนูผิงล่ะ ตรงนั้นก็ว่าง จะมาแย่งที่วางกระเป๋าของแม่ทำไม”
คุณหญิงสิรินดาแสร้งว่าชายหนุ่มด้วยความไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุก
“คุณแม่ก็เอากระเป๋าวางไว้บนโต๊ะสิครับ ผมจะนั่งตรงนี้”
สิบทิศเถียงกลับ เรื่องอะไรที่เขาจะต้องไปนั่งฝั่งโน้นกับตรีชฎาด้วย
“แม่จะวางกระเป๋าตรงนี้ มีอะไรไหม ไปนั่งฝั่งโน้นกับหนูผิงไป”
นางพูดเสียงแข็งอย่างไม่ยอมท่าเดียว ออกแรงผลักสิบทิศให้ลุกขึ้นโดยแรง ก่อนจะยึดเก้าอี้ไว้ไม่ให้เขานั่ง
ดวงตาคมมองผู้เป็นมารดาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามารดาจงใจอยากให้เขานั่งคู่กับตรีชฎา เขาถึงได้ดื้อดึงไม่ยอมง่าย ๆ
“เอ๊ะ! ไปสิ ยังจะยืนอยู่อีก จะได้สั่งอาหารมาทานกันสักที”
เมื่อโดนมารดาไล่ซึ่ง ๆ หน้า สิบทิศจึงต้องเดินไปนั่งข้างตรีชฎาด้วยความขัดใจ ผิดกับสาวสวยที่แอบอมยิ้มดีใจเมื่อเขามานั่งข้างเธอ
เมื่อทุกอย่างลงตัว คุณหญิงสิรินดาจึงสั่งอาหารกับพนักงานที่มารับออร์เดอร์ พลางถามหญิงสาวอย่างเอาอกเอาใจ ทำให้ตรีชฎารู้สึกเกรงใจนางยิ่งนัก จึงตามใจคุณหญิงสิรินดาด้วยคำพูด
‘แล้วแต่คุณป้าค่ะ’
จนคนที่นั่งข้าง ๆ นึกหมั่นไส้นักหนากับกิริยาเจี๋ยมเจี้ยมของเธอ ที่ดูยังไงก็ช่างขัดกับนางยั่วอย่างเธอเสียจริง
‘หึ มารยาชัด ๆ’
มารดาของเขาก็ช่างกระไร เอาใจใส่ตรีชฎาอย่างกับเธอเป็นลูกในไส้อย่างนั้นแหละ ทีเขาเป็นลูกชายแท้ ๆ ไม่เห็นนางจะถามเขาบ้างเลย ว่าเขาอยากกินอะไร
‘โอ๊ย! หมั่นไส้โว้ย’
แววตาอิจฉาปนรังเกียจเดียดฉันท์เหลือบมองหญิงสาวข้างกาย
“เอ่อ คุณสิบจะทานอะไรคะ นี่ค่ะเมนู”
มือบางยื่นเมนูให้คนที่ทำหน้าหงิกหน้างออยู่ข้าง ๆ ซึ่งคนหน้างอก็รับมาแบบกระชาก แล้วหลุบตาลงดูเมนูอาหาร ก่อนจะสั่งให้พนักงานจดออร์เดอร์
จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากบางเฉียบ ซุกไซ้ซอกคอขาวเนียน สูดดมความหอมละมุนจากกลิ่นกายของภรรยาสาว ยิ่งได้กลิ่นก็ยิ่งคลั่งไคล้ในตัวเธอ ลิ้นอุ่นชื้นไล้เลียละเลียดไปตามผิวเนื้อนวลลออราวกับกำลังกินเค้กหน้านิ่มก็ไม่ปาน“เมียผมหอมจังเลย”เขาค่อย ๆ แทะเล็มขบเม้มทั่วลำคอระหง ใช้ปากร้อนงับติ่งหูของเธอสลับกับไล้ปลายลิ้นไปตามใบหูช้า ๆ จนตรีชฎาต้องหลับตาพริ้ม เบี่ยงหน้าไปอีกทาง เพราะความสยิวลามไปทั่วกลางหลัง ก่อนที่เขาจะจูบพรมไล่ตามซอกคอลงมาถึงเนินอกอวบอิ่มสิบทิศดึงเชือกคล้องคอชุดของขวัญวาบหวิว จับรั้งโบตรงช่วงอกลงมาให้เต้าทรวงหลุดออกจากพันธนาการฝ่ามือหนากอบกุมข้างหนึ่ง เคล้นคลึงเบา ๆ ก่อนใช้ปลายนิ้วสะกิดยอดอก อีกข้างก็ใช้ริมฝีปากครอบครอง ดูดดื่มปทุมถันอย่างหิวกระหาย“นมผิงอร่อยที่สุดเลย”เสียงทุ้มพร่าเอ่ยชม ลิ้นหนาตวัดเลียเม็ดบัวสีหวาน ซึ่งเป็นจุดกระตุ้นอารมณ์ของเมียรักได้เป็นอย่างดี“คุณสิบขา”ดวงตากลมโตหยาดเยิ้มปรือมองดูสามีกำลังดูดเลียปลายถันที่แข่งกันชูชันทั้งสองข้างของเธออย่างเมามัน เขาปลุกเร้าเธอจนเสียวซ่าน เสียงหวานครางเบา ๆ แอ่นอกประเคนตัวเองอยากให้เขาใช้ปากอันร้อนรุ่มสัมผัสปทุมถันของเธอซ้
‘อย่าลืมนะครับ คืนนี้เรามีนัดแกะของขวัญกัน’ตรีชฎานึกถึงประโยคที่สามีย้ำเตือน ก่อนที่เธอจะเข้ามาอาบน้ำ หญิงสาวมองดูตัวเองในกระจกแล้วก็ต้องอมยิ้มให้กับชุดของตัวเองของขวัญที่สิบทิศพูดถึงหมายถึงตัวเธอ เป็นของขวัญวาเลนไทน์ที่เขาควรจะได้เมื่อวานแต่ก็ไม่ได้ เพราะติดที่ลูก ๆ มานอนด้วย เธอเลยต้องเลื่อนวันมาให้เขาในคืนนี้แทน“ผลัวะ” เสียงเปิดประตูห้องน้ำ ทำให้ร่างสูงที่สวมชุดนอนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงกว้างต้องหันมามองโดยอัตโนมัติภาพที่ปรากฏในดวงตาคมกริบ สิบทิศถึงกับคำรามในลำคอทันที ร่างบางระหงในชุดผูกคอ ช่วงอกแต่งเป็นโบขนาดใหญ่ทำด้วยผ้าสีแดง ปล่อยห้อยชายผ้าลงมาตรงหน้าท้องแบนราบ มีสายเส้นเล็กสองเส้นแนบขนาบลำตัว เชื่อมโยงกับกางเกงชั้นในที่เป็นแค่ผ้าสามเหลี่ยมเล็ก ๆ ปกปิดจุดสงวน กำลังเยื้องกรายมาหาเขาแค่เห็นเลือดในกายก็พุ่งพล่าน ปลุกให้ความเป็นชายแข็งผงาด ทั้งที่ยังไม่ได้สัมผัสร่างกายกันด้วยซ้ำ ให้ตายเถอะนี่เขากำลังจะได้เมียผูกโบของแท้“ชุดอะไรของผิงเนี่ย”สิบทิศดีดตัวลุกนั่งทันทีที่ภรรยาสาวก้าวขึ้นเตียงมานั่งใกล้ ๆ ไล่มองชุดตั้งแต่บนลงล่างไม่วางตา ก่อนจะรั้งตัวเธอให้มานั่งคร่อมตักแกร่ง“ก็
“คุณสิบจะแกะเส้นนี้ออกทำไมคะ” เสียงหวานท้วง“อ้าว ก็นี่มันแค่สร้อยลูกปัดธรรมดา เอาออกเถอะครับ เดี๋ยวผมจะใส่เส้นนี้ให้แทน”“ไม่เอาค่ะ กำไลเส้นนี้เป็นเส้นแรกที่คุณสิบซื้อให้ผิง มันเป็นความประทับใจนะคะ”เขาปลาบปลื้มใจในคำตอบของเธอ จนอยากมอบจูบหวาน ๆ สักจูบสองจูบเพื่อเป็นรางวัล กำไลลูกปัดเส้นนี้ เขาซื้อให้เธอเมื่อครั้งไปฮันนีมูนครั้งแรก แม้เวลาจะผ่านมาหกปีแล้ว เธอก็ยังใส่ติดตัวไว้ตลอด แถมยังรักษาไว้เป็นอย่างดีอีกด้วย“ก็ได้ครับ ไม่ถอดก็ได้ งั้นผมใส่เส้นนี้ให้เลยแล้วกันนะครับที่รัก”ว่าแล้วสิบทิศก็สวมกำไลข้อมือราคาแพงให้ภรรยาคนสวย แล้วยกมือบางขึ้นจูบแผ่วเบา“ขอบคุณค่ะ ผิงก็มีของขวัญให้สามีของผิงเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวนะคะ ขอผิงหยิบก่อน”ตรีชฎาวางช่อดอกกุหลาบ เดินไปหยิบของขวัญที่เตรียมไว้ให้สามีสุดที่รัก ซึ่งเป็นปากกาด้ามทอง สลักชื่อเธอกับเขาไว้ด้วยกัน“ปากกาด้ามนี้ คุณสิบต้องเอาติดตัวตลอดนะคะ ผิงรักสามีที่สุดเลยค่ะ”เธอยื่นปากกาสวยหรูให้เขา โถมตัวกอดเขาด้วยความรักสุดหัวใจ แล้วจูบปลายคางอย่างออดอ้อน“ขอบคุณนะครับที่รัก เอ ผมให้ของขวัญผิงตั้งสองอย่าง แต่ผิงให้ผมแค่อย่างเดียวเองนะครับ”“อ้าว ผิงม
“ฮือ ๆ ฮือ ๆ”ไอ้เสือน้อยที่กำลังยื่นลูกโป่งให้น้องสาว หันไปตามเสียงสะอึกสะอื้น นัยน์ตาสุกใสเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้น ร้องไห้งอแงไม่ยอมหยุด แถมที่หัวเข่าก็ถลอกแดงเหมือนหกล้ม เด็กชายสรวิศจึงรีบเดินเข้าไปหา ซึ่งเด็กหญิงสิราวรรณก็เดินตามไปด้วย“น้องหกล้มเหรอครับ เป็นอะไรมากไหม ขอพี่ผลดูหน่อยนะครับ”มือเล็กของไอ้เสือน้อยจับหัวเข่าของเด็กหญิงเพื่อสำรวจดู แต่ร่างเล็กก็สะดุ้งชักขาออกทันที“เจ็บ ฮือ ๆ ฮือ ๆ”เสียงเล็กใสสะอึกสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บ “พี่ผล เราจะทำยังไงกันดี น้องหกล้มจนหัวเข่าถลอกเลย อ้อ น้องผักบุ้งนึกออกแล้ว เดี๋ยวน้องผักบุ้งไปตามคุณพ่อคุณแม่มาดูน้องนะคะ”ริมฝีปากจิ้มลิ้มเจื้อยแจ้วบอกพี่ชาย ก่อนจะรีบวิ่งไปตามบิดามารดาที่อยู่ในร้านไอศกรีม“ไม่ร้องนะครับคนเก่ง เดี๋ยวก็หายเจ็บแล้วครับ”เด็กชายสรวิศปลอบประโลมเด็กหญิง เหมือนที่คุณพ่อกับคุณแม่ชอบปลอบเวลาเขาหกล้มเสมอ เมื่อเห็นน้ำตาที่เปรอะเปื้อนใบหน้าเล็ก มือน้อยจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อนักเรียน มาเช็ดน้ำตาให้เด็กหญิง“พี่ผล คุณพ่อกับคุณแม่มาแล้วค่ะ”น้องผักบุ้งวิ่
“รักเหรอครับ เหมือนที่น้องผลกับน้องผักบุ้ง รักคุณพ่อกับคุณแม่ใช่ไหมครับ”ริมฝีปากสีแดงสดคลี่ยิ้มให้บิดามารดาอย่างน่ารัก มือหนาจึงเอื้อมมาลูบศีรษะทุยของลูกชายเบา ๆ“ไม่ใช่ครับลูก มันไม่เหมือนกัน รักของน้องมินที่มีให้น้องผล ก็เหมือนกับที่พ่อมีให้คุณแม่ไงครับ อืม เอาไว้น้องผลโตขึ้น เดี๋ยวน้องผลก็จะเข้าใจเอง หมดข้อสงสัยหรือยังเจ้าตัวแสบ ไปกินไอศกรีมกันดีกว่านะลูก”สิบทิศอุ้มเจ้าตัวแสบที่ยังคงทำหน้าสงสัยขึ้นรถ ตามด้วยลูกสาวคนสวย ก่อนจะเปิดประตูให้ภรรยาสาว ส่วนตัวเขาก็เดินอ้อมไปขึ้นรถทางฝั่งคนขับ แล้วขับรถออกจากโรงเรียนไปยังห้างสรรพสินค้าทันทีครอบครัวธาราธรณ์พากันมาร้านไอศกรีมที่ตกแต่งด้วยสีสันน่ารัก สิบทิศเลือกที่นั่งด้านใน ซึ่งเป็นโต๊ะโซฟายาว น้องผลนั่งฝั่งเดียวกับคุณพ่อสุดหล่อ ส่วนน้องผักบุ้งก็นั่งฝั่งเดียวกับคุณแม่คนสวย“พี่สาวคนสวยครับ น้องผลเอารสช็อกโกแลตนะครับ เอาแบบรูปนี้เลยครับ”เมื่อพนักงานในร้านมารับออร์เดอร์ เด็กชายสรวิศก็สั่งไอศกรีม พร้อมกับชี้รูปในเมนูให้ดู“น้องผักบุ้งจะทานไอศกรีมรสสตรอว์เบอร์รีค่ะ เอาแบบเดียวกับพี่ผลด้วย”นางฟ้าน้อยบอกพนักงานเสิร์ฟเจื้อยแจ้ว“คุณแม่จะทานรสอ
“พี่ผล”เสียงเล็กใสของใครคนหนึ่งเรียกชื่อไอ้เสือน้อย เจ้าตัวเลยต้องหันไปตามเสียง แล้วส่งยิ้มให้คนที่ยืนเหนียมอายอยู่ตรงประตูห้องเรียน“อ้าว น้องมิน ยังไม่เข้าเรียนอีกเหรอ”เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยถามน้องมินที่เรียนอยู่คนละชั้นปีกับตน ก่อนจะเดินไปหาร่างเล็กในชุดกระโปรงแบบเดียวกับน้องสาว เด็กน้อยหางเปียติดกิ๊บรูปกระต่ายสีชมพู ยื่นดอกกุหลาบให้เด็กชายสรวิศ ก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองหน้าเด็กชาย“น้องมินให้พี่ผลค่ะ”ไอ้เสือน้อยเจ้าเสน่ห์ยื่นมือมารับดอกกุหลาบจากมือเล็ก เพียงเท่านั้นเด็กหญิงตัวเล็กก็รีบวิ่งหนีไปอย่างเขินอาย นัยน์ตาสีนิลมองตามหลังเด็กหญิงด้วยความไม่เข้าใจ ว่าทำไมจะต้องวิ่งหนีเขาด้วยเวลาบ่ายสามโมง สิบทิศกับตรีชฎาก็มารับลูกชายลูกสาวเฉกเช่นทุกวัน ทั้งสองจะมารับลูกด้วยตัวเองเสมอ นอกเสียจากว่าวันไหนติดธุระไม่สามารถมารับลูก ๆ ได้ สิบทิศถึงจะส่งบอดี้การ์ดของเขามารับลูก ๆ แทนเจ้าหนูน้อยทั้งสองวิ่งมาหาคุณพ่อคุณแม่พร้อมด้วยของพะรุงพะรัง ไอ้เสือน้อยกับนางฟ้าน้อยหอมแก้มผู้เป็นบิดามารดา ก่อนจะถูกคุณพ่อยังหนุ่มกับคุณแม่ยังสาวหอมแก้มนุ่มนิ่มกลับคืน“น้องผล ของอะไรน่ะลูก ทำไมถือมาเต็มมือไปหมดอย่างนี