นางผล็อยหลับไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงแม่นางเฉียวฉู่โวยวายเรื่องอาหารไม่ถูกปาก นางจำใจต้องลุกขึ้นมาเข้าครัวด้วยตนเอง หลังจากนั้น แม่นางเฉียวฉู่ก็มีเรื่องมาให้นางต้องยื่นมือเข้าไปจัดการเอง แม่ทัพใหญ่ฝึกซ้อมทหารอย่างสม่ำเสมอ กลับมาก็ไม่ได้เรียกหานาง นางก็ไม่ได้หน้าหนาจะเข้าไปหา เขาเพียงกำชับให้ดูแลแม่นางเฉียวฉู่ให้ดี
ตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพที่ได้มา ช่างดูว่างเปล่าเสียจริง
จ้าวจื่อรั่วเดินมาถึงแปลงผักด้านหลัง เจ้าแพะน้อยร่าเริงที่ได้เห็นผักงามๆ น่ากิน ก็ทำท่าจะกระโจนเข้าใส่ หญิงสาวคว้าสายจูงที่ตนเองใช้เศษผ้าถักเป็นเชือกทำสายจูงให้มันไว้ได้ทัน
“ไม่ได้นะ เจ้าจะกินผักทั้งแปลงไม่ได้” จ้าวจื่อรั่วดุแพะน้อย แต่ดวงตากลมใสไร้เดียงสาทำให้นางหัวเราะออกมา แล้วจูงมันไปผูกไว้ที่ต้นไม้ไม่ไกลนัก
“รอที่นี่ ข้าจะเก็บถั่วฝักยาวให้” หญิงสาวลูบหูเล็กๆ ที่กระดิกไปมาแล้วเดินไปเด็ดถั่วฝักยาวอวบๆ หลายฝัก ความจริง นางก็แค่อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ หากเป็นตอนที่อยู่จวนสกุลจ้าว นางคงกำลังทำอาหารให้น้องชายทั้งสองและช่วยทบทวนตำราเรียนให้พวกเขา ยังดีที่นางได้เรียนหนังสือฝึกเขียนอักษร เหตุเพราะบิดาเชิญอาจารย์มาสอนบุตรสาวคนโต นางจึงได้เข้าเรียนด้วย ทำให้ตนเองอ่านออกเขียนได้ ไม่เช่นนั้นคงกลายเป็นคนโง่เขลา...
อันที่จริง นางก็เป็นคนโง่เขลาจริงๆนั้นแหละ นางยังไม่เคยเข้าใจ ต้องทำอย่างไรในฐานะฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่
“เปาเป่า! เจ้าค่อยๆกินหน่อยสิ” จ้าวจื่อรั่วยื้อแย่งถั่วฝักยาวกับแพะน้อย “เจ้าตะกละเสียเหลือเกิน ข้าแบ่งขนมน้ำตาลให้กินไปคำหนึ่งแล้วนะ”
เจ้าแพะน้อยไม่พอใจ มันใช้หัวดันๆ ขาของจ้าวจื่อรั่ว หญิงสาวหัวเราะเสียงใส นางหมุนตัวหลบเจ้าจอมตะกละ กระโปรงสีเขียวอ่อนพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้เบ่งบาน ภายแสงอาทิตย์ยามเย็นดูงดงามราวภาพวาดจับตา บุรุษผู้หนึ่งยืนมองจนแทบลืมหายใจ จ้าวจื่อรั่วหยอกล้อกับแพะน้อยอย่างสนุกสนานไม่รู้ว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ จนเท้าของนางไปสะดุดกับก้อนหินเข้าให้ทำให้เสียหลักล้มลง ทว่ามือใหญ่คู่หนึ่งประคองไว้ได้ทัน หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นมอง รอยยิ้มพลันหายไปทันที ท่าทางตื่นตระหนกของนางทำให้ชายหนุ่มได้สติ เมื่อเห็นว่านางยืนได้มั่นคงแล้วจึงปล่อยมือออกจากไหล่ของนาง
“ขออภัยที่ล่วงเกิน ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่จะช่วยแม่นางเท่านั้น”
จ้าวจื่อรั่วพยักหน้ารับขยับตัวถอยห่างพลางพูดเสียงแผ่ว “ขอบคุณท่าน”
“ข้าชื่ออ้ายเสิน” เขารีบแนะนำตัวก่อนหญิงสาวจะจูงแพะน้อยหนีไป “ข้าเป็นคนของแม่ทัพกู้”
จ้าวจื่อรั่วชะงักไป “ท่าน...เป็นทหารรึ”
“ข้าเป็นทหารของท่านแม่ทัพ ข้ารีบเดินทางกลับจึงใช้เส้นทางลัดและมาทางนี้”
ชายที่ชื่ออ้ายเสินพูดขึ้น รูปร่างของสูงหนาราวกับหมี เขากลัวนางจะหวาดกลัวจึงไม่ขยับไปใกล้อีก แต่ก็ดีใจที่นางไม่หวีดร้องเช่นสตรีอื่น
“เจ้าเป็นสาวใช้คนใหม่รึ สามเดือนก่อนออกเดินทางข้ายังไม่เห็นเจ้าเลย”
‘สาวใช้? เหตุใดใครก็เห็นนางเป็นสาวใช้ หรือนางอัปลักษณ์จนไม่มีใครคิดว่าคู่ควรกับตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพกู้’
“ข้าต้องไปแล้ว”
นางไม่ได้เอ่ยแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ ขนาดแม่นางเฉียวฉู่พูดต่อหน้าแม่ทัพกู้คิดว่านางเป็นสาวใช้ เขายังไม่แก้ต่างให้เลยสักนิด ชายผู้นี้เป็นทหารของเขา เขาคงไม่ต้องการให้ใครรู้กระมังว่ามีภรรยาอัปลักษณ์เช่นนาง
“แม่นาง...”
อ้ายเสินก้าวเท้าตามร่างบางที่เดินจูงแพะน้อยกลับไปทางเรือน เขาเห็นนางพยายามเดินเร็วๆ หนีเขาแล้วก็อดยิ้มขำไม่ได้ เขาผ่อนฝีเท้าลงให้นางเดินนำหน้าไปก่อน หากเป็นคนในจวนท่านแม่ทัพอย่างไรก็ต้องได้รู้จักกันอย่างแน่นอน
จ้าวจื่อรั่วรู้สึกกลัวชายแปลกหน้าผู้นั้น แม้เขาไม่ได้แสดงกิริยากักขฬะหรือหยาบคายใดๆ แต่นางก็ไม่สามารถจะแย้มยิ้มต้อนรับบุรุษตามลำพังสองคนได้ นางจึงเร่งเดินกลับไปที่โรงครัวเพราะอยู่ใกล้แปลงผัก ระยะเวลาเพียงหนึ่งเค่อ หญิงสาวก็เดินมาถึง เสี่ยวฉู่กำลังจะไปตามฮูหยินเพราะเกรงว่าจะเย็นค่ำเกินไปแล้วก็เห็นร่างอรชรของฮูหยินเดินกลับมาแล้ว
“เสี่ยวฉู่ ข้าจะกลับเรือน”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้พยักหน้ารับ แต่มองไปด้านหลังเห็นร่างใหญ่โตคุ้นตาเดินเข้ามาใกล้ นางก็ร้องทักด้วยความตื่นเต้นยินดี
“อ้ายเสิ่นกลับมาแล้ว!”
“ข้ากลับมาแล้ว” อ้ายเสิ่นร้องทักโบกไม้โบกมือให้ทุกคน แต่สายตายังคงมองร่างหญิงสาวในชุดสีเขียวอ่อนผู้นั้น
“เดินทางราบรื่นหรือไม่” พ่อบ้านเอ่ยทักอ้ายเสิน
“ราบรื่นดี” เขาหัวเราะ “ข้าหิวมากแต่ขอไปพบท่านแม่ทัพกู้ก่อนนะ”
“ได้ๆ ข้าจะเตรียมกับข้าวไว้ให้”
แม่ครัวพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ดูเหมือนทุกคนลืมฮูหยินไปหมดสิ้น จ้าวจื่อรั่วไม่หันกลับมามอง สองเท้าเร่งเดินกลับไปที่เรือนของตนทันที นางพาแพะน้อยเข้าคอกแล้วกลับเข้าเรือน นางจุดเทียนในห้องแล้วก็มองกระดาษที่ว่างเปล่า เมื่อไหร่น้องชายทั้งสองจะส่งจดหมายมาหานางนะ หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจเบาๆ แล้วหยิบตะกร้าปักผ้าออกมานั่งทำงานที่ค้างไว้
อ้ายเสิ่นเดินตรงไปยังเรือนของท่านแม่ทัพตามคำบอกของพ่อบ้าน ท่านแม่ทัพกลับจากค่ายทหารแล้ว เมื่อเห็นทหารคนสนิทที่ส่งไปสืบข่าวกลับมาก็พลันโล่งใจ
“ลำบากเจ้าแล้ว”
“ทุกอย่างราบรื่นดีขอรับ” อ้ายเสิ่นรีบรายงานข่าวให้ท่านแม่ทัพใหญ่ทราบ เขาเป็นสายลับสอดแนมความเคลื่อนไหวของแคว้นเหลียง บางเรื่องไม่สามารถเขียนจดหมายรายงานได้
“ข้าเข้าใจแล้ว เดินทางไกลเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เจ้าไปพักผ่อนเถิด”
“ขอรับ”
แม่ทัพกู้เดินออกมาจากห้องหนังสือพร้อมพลทหารอ้ายเสิ่น พลันหญิงสาวในชุดแดงสดใสก็ปราดเข้ามาเกาะแขนกู้ตงหยาง
“ท่านแม่ทัพกู้ ข้ารอกินข้าวเย็นพร้อมท่าน!”
อ้ายเสิ่นเห็นท่าทางสนิทสนมอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็นึกถึงข่าวที่ตนได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพแต่งงานแล้ว เขาจึงประสานมือคารวะหญิงสาวอย่างนอบน้อม
“ข้าอ้ายเสิ่นขอคารวะฮูหยิน”
เฉียวฉู่ได้ยินก็หัวเราะคิกคัก แต่กู้ตงหยางสีหน้าดุดัน อ้ายเสิ่นผู้โง่เขลาไม่เข้าใจสีหน้าของแม่ทัพใหญ่ หรือท่านแม่ทัพคิดว่าเขาคิดล่วงเกินภรรยาของท่าน ด้วยเกรงว่าจะยิ่งทำให้ไม่พอใจ เขาจึงรีบขอตัวลาทันที แม่ทัพกู้แกะมือของเฉียวฉู่ออกจากท่อนแขนของตน ใบหน้าหวานหุบยิ้มไปทันที
“อย่าทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดเช่นนี้อีก”
“ท่านก็เห็น ข้าไม่ได้พูดอะไรสักคำ” นางแสร้งทำตาเศร้า “ท่านไม่สงสารข้าหรือ ข้าถูกโจรชั่วจับตัวไป ชื่อเสียงไม่เหลือแล้ว หากท่านไม่รับข้าไว้ เกรงว่ากลับบ้านไปคงมีแพรขาวสามฉื่อรอ อยู่”
กู้ตงหยางได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วงสะบัดจากหญิงสาวแล้วเดินกลับเข้าห้องหนังสือ เพราะหันให้ เขาจึงไม่เห็นรอยยิ้มของหญิงสาวในชุดแดง
“สิ่งใดที่ข้าอยากได้ก็ต้องได้ ไม่เช่นนั้นอย่าเรียกข้าว่าเฉียวฉู่”
*** แพรขาวสามฉื่อ ผ้าขาวสำหรับผูกคอเพื่อฆ่าตัวตาย ***
รถมาที่เตรียมไว้อบอุ่นและพรั่งพร้อมสำหรับการเดินทาง เนื่องจากกู้ตงหยางต้องการดูแลภรรยาอย่างใกล้ชิดทำให้ไฉ่หงออกมานั่งข้างสารถีซึ่งเด็กสาวก็ยินดี เพราะได้มองทิวทัศน์ระหว่างเดินทางจ้าวจื่อรั่วอยู่ในรถม้าอย่างสุขสำราญ การเดินทางกลับสบายราวกับมาท่องเที่ยวต่างจากยามที่เข้ามามาก จนกระทั่งเดินทางมาถึงชายแดนอี้ซวนมาส่งจะกล่าวคำอำลา“เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป” กู้ตงหยางเอ่ยถาม การเดินทางราบรื่นด้วยเพราะมีทหารลับของซย่าเจียวซิ่งคุ้มกันตลอดเส้นทาง เขาส่งข่าวมาล่วงหน้าแล้ว คนของตนก็รออยู่ที่ชายแดนจึงไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลนัก“ถามข้า...ข้าก็ใช้ชีวิตพรานป่านะสิ” อีซวนหัวเราะเสียงดังตามประสานิสัยของเขา“แล้ว...”“แล้วอะไรกัน?”กู้ตงหยางเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนยิ้มมุมปาก “อย่างไรข้ากับเจ้าก็นับเป็นสหาย เป็นดุจคนในครอบครัว หากอยากให้ข้าช่วยยกสินสอดทองหมั้นก็บอกมา อย่าให้ผู้อื่นดูแคลนฐานะของเจ้าได้”“หากบุรุษแต่งงานมีภรรยาแล้วพูดจาไร้สาระเช่นเจ้า ข้าไม่แต่งดีกว่า” อี้ซวนเบ้ปากแต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักแว่วมาจากในรถตู้ ใครเลยจะคาดคิดว่านักรบปราบศัตรูเช่นกู้ตงหยางจะพ่ายแพ้แก่สตรีตัวเล็กๆไร้วรยุทธ์ผู้หนึ
สองบุรุษหนุ่มนั่งเผชิญหน้ากันโดยมีกาสุราตั้งอยู่บนโต๊ะ กู้ตงหยางมีท่าทีเฉยชาไร้ความวิตกกังวลใดราวกับเตรียมพร้อมรับมือกับทุกเรื่อง “เมื่อฮูหยินของข้าทำตามที่ลั่นวาจาไว้แล้ว ข้าก็จะพานางกลับแคว้นแม้เจ้าจะไม่ไปส่ง ข้าก็หาทางกลับเองได้”ผู้บัญชาการซย่าได้ยินก็กระตุกยิ้มมุมปาก เขารู้ดีว่าฝีมือระดับแม่ทัพกู้ผู้นี้คงเคยเข้าออกแคว้นของเขาเป็นว่าเล่น เช่นเดียวกับตัวเขาเองก็ยังเคยไปสืบข่าวที่แคว้นของอีกฝ่ายเช่นกัน“ถ้าหากข้ารั้งท่านหมอหญิงไว้ให้อยู่ต่อ ดูแลจนหลี่หรูคลอดลูกเล่า”“ไม่มีเหตุผลอันใดที่ต้องอยู่ต่อ การที่ฮูหยินของข้ารักษาคุณหนูหลี่หรูให้แล้วนั้นแล้วก็นับว่าทำตามที่ผู้ลั่นวาจาไว้เรียบร้อยแล้ว แม้เจ้าจะไม่ไปส่งข้าก็ต้องหาทางพาภรรยากลับอยู่ดี เจ้าคิดหรือว่าคนของเจ้าแค่นี้จะสามารถสกัดกั้นข้าได้ หรือเจ้าอยากลองเปิดศึกสองแคว้น”“ท่านอยากฉีดสัญญาสงบศึกหรือ?” ซย่าเจียวซิ่งรินสุราให้ตนเอง“ข้าย่อมไม่ต้องการทำให้ชาวบ้านต้องเดือดร้อน เจ้าก็รู้เหมือนที่ข้ารู้ การศึกคราใดผู้ที่เดือดร้อนที่สุดก็คือชาวบ้านตาดำๆ เพราะฉะนั้นแล้วถ้าไม่จำเป็น ข้าไม่ต้องการให้เกิดศึกสงคราม ไม่ว่ากับผู้ใดก็ตาม
เพียงริมฝีปากสวยเผยอขึ้น องุ่นปอกเปลือกแล้วก็ถูกส่งเข้าปาก ปลายนิ้วหยาบกระด้างสัมผัสริมฝีปากชุ่มฉ่ำ ชายหนุ่มทอดสายตามองภรรยาสาวที่ช้อนตาขึ้นมองด้วยแววตาทะเล้น บุรุษร่างสูงใหญ่ถึงกับถอนหายใจเบาๆ อาการสิ้นหวังนี้กลับทำให้จ้าวจื่อรั่วหัวเราะเคี้ยวองุ่นด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่” หญิงสาวหยอกเย้าสามี รู้ว่าเขาอดทนอดกลั้นมากเพียงใด แต่เพราะหลายวันก่อนนางถอนพิษให้หลี่หรูจนร่างกายอ่อนเพลียเป็นลมไป กู้ตงหยางคอยดูแลไม่ห่างแม้นางฟื้นขึ้นยืนยันว่าตัวเองปลอดภัยดี เขาก็ยังคงไม่วางใจจึงหักห้ามใจหากจะร่วมรักกับนางในช่วงเวลานี้ “เจ้าแข็งแรงดีเมื่อใด เราจะเดินทางกลับทันที” “อืม ข้าเชื่อฟังท่าน” หญิงสาวเอนหลังพิงหัวเตียง “ข้าทำตามคำพูดตนเองแล้ว รักษาแม่นางหลี่หรูให้ฟื้นได้สำเร็จ ส่วนเรื่องที่เหลือนนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้าอีกแล้ว” สีหน้ากู้ตงหยางค่อยดีขึ้นเมื่อได้ยินภรรยารักพูดเช่นนั้น หากนางยังดื้อดึงจะอยู่ต่อ เห็นทีเขาคงต้องลักพาตัวภรรยากลับบ้านแล้ว “แท้จริงแล้ว เรื่องโลหิตเป็นยาขับพิษนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเจ้าต้องการลองใจรัชทายาท”
“ข้ายินดี ท่านหมอหญิงโปรดใช้เลือดของข้าเถิด” เฉียนฟานกล่าวไร้ความลังเล แววตาที่มองหญิงสาวในวงแขนเต็มไปด้วยความรักและเมื่อเงยหน้าสบตากับหมอหญิง แววตาของเขาก็จริงจังดั่งคำที่กล่าวไป “ดี เช่นนั้นโปรดยื่นแขนของท่านมา” “ได้!” ชายหนุ่มขยับตัวม้วนแขนเสื้อขึ้นยื่นท่อนแขนของตนให้หมอหญิง จ้าวจื่อรั่วโน้มตัวลงมองท่อนแขนกำยำนั้นแล้วพยักหน้ารับ “ท่านยอมรับว่าเด็กในครรภ์แม่นางหลี่หรูเป็นบุตรของท่าน” “นางมีข้าเพียงคนเดียว ข้าเป็นผู้ชั่วช้าที่พรากความบริสุทธิ์ของนาง” เฉียนฟานเอ่ยแล้วสบตากับซยาเจียวซิ่ง “ข้ายอมรับว่าก่อนหน้านี้ข้าตั้งใจเพียงหลอกนาง เพื่อให้เจ้าเจ็บปวดใจ แต่เมื่อได้รู้จักและใกล้ชิดหรูเอ๋อร์ นางทำให้ข้ารู้ว่าความรักที่แท้เป็นเช่นไร ข้าไม่เคยคิดทอดทิ้งนางเพียงแต่เรื่องราวบานปลายมาถึงจุดนี้เพราะข้าสารภาพเรื่องนี้กับเสด็จแม่ คิดว่าท่านจะช่วยส่งเสริมข้า แต่กลับกลายเป็นว่า...หรูเอ๋อร์ต้องมารับเคราะห์กรรมแทนข้า เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว แม้เอาชีวิตข้าไปก็ยังไม่สาสมกับความชั่วช้าที่ได้ทำลงไป” โทสะในอกพลันดับลง บุ
รัชทายาทเฉียนฟานเข้ามาพร้อมกับองครักษ์ข้างกายอีกสองคน แม้ภายนอกดูเป็นบุรุษเสเพลแต่หาใช่อ่อนด้อยเรื่องเพลงยุทธ์ ทหารลับของซย่าเจียวซิ่งแม้ฟังเพียงคำสั่งของผู้เป็นนายแต่ก็ไม่กล้าลงมือรุนแรงกับผู้ที่เป็นรัชทายาทนัก“ช่างกล้านัก มิคิดว่าเจ้าจะกล้ามาเหยียบที่นี้!”ซย่าเจียวซิ่งกัดฟันกรอดแล้วชักกระบี่ออกมาหมายเด็ดชีวิตของเฉียนฟานโทษฐานที่ทำให้หลี่หรูต้องอยู่ในสภาพนี้ มือของเฉียนฟานที่จับกระบี่รับคมกระบี่ของซย่าเจียวซิ่งสั่นระริก เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลซึมบริเวณหน้าผาก เขากัดฟันแน่นไม่ยอมพ่ายแพ้ง่ายๆ รัชทายาทแม้เป็นผู้ฝึกยุทธ์แต่ไม่เคยลงสนามศึกจริง พละกำลังของตนย่อมด้อยกว่าผู้บัญชาผู้กรำศึกอยู่ชายแดน แววตาของซย่าเจียวซิ่งแดงก่ำราวกับสีโลหิตแต่เฉียนฟานก็ไร้ความหวาดกลัวเพราะเวลานี้ หัวใจของเขาร่ำร้องเพียงต้องการพบหลี่หรูเท่านั้นในขณะที่เรี่ยวแรงของเฉียนฟานถดถอยลงทำให้คมกระบี่ของซย่าเจียวซิ่งเข้าใกล้ใบหน้าเขามากยิ่งขึ้น หินก้อนหนึ่งพุ่งมาปะทะกระบี่ของผู้บัญชาการ ความเร็วและแรงที่ส่งมาถึงกับทำให้กระบี่เปลี่ยน ทิศทางคมกระบี่พ้นใบหน้าของรัชทายาท ดวงตาคมปลาบตวัดมองไปทางผู้ที่เดินเข้ามา“กู้-ตง-หยาง!”
เมื่ออยู่ในอ้อมกอดที่คุ้นเคย จ้าวจื่อรั่วก็ปล่อยให้ตัวเองได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ จนเมื่อร่างกายพักผ่อนเต็มอิ่ม ดวงตาที่ปิดสนิทจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือแววตาอ่อนโยนและห่วงใยของสามี “ท่านพี่นั่งเฝ้าข้ามานานเท่าใดแล้ว” หญิงสาวเอ่ยถามน้ำเสียงแหบแห้งแล้วยันกายขึ้นนั่ง กู้ตงหยางเห็นดังนั้นจึงขยับกายเข้าไปประคอง “ทำไมรีบตื่นเช่นนี้ เจ้าเพิ่งกลับไปชั่วยามเดียว” “ตั้งหนึ่งชั่วยาม” หญิงสาวเอนซบแผ่นอกแกร่ง ฝ่ามือหยาบกร้านวางบนหน้าท้องของหญิงสาวนางจึงวางมือของตนบนมือใหญ่โตของเขา “ลูกเป็นเด็กดี ไม่เกเรแม้แต่น้อย” “เจ้าก็ไม่ควรหักโหมเกินไป” “นี่ท่านตำหนิข้ารึ” นางเงยหน้าขึ้นเห็นหนวดเคราของผู้เป็นสามีก็รู้ว่าเขาแทบไม่ได้ดูแลตนเองเลย แต่กระนั้นนางก็ขยับกายเล็กน้อย ยื่นริมฝีปากไปประทบกับริมฝีปากหยักสวยของเขาเบาๆ ถูกนางเอาอกเอาใจเช่นนี้ หัวใจของเขามิใช่ก้อนหินจึงอ่อนยวบลงทันที ทุกวันนี้เขาแทบประคองนางไว้ในอุ้งมือแล้ว “รักษาเสร็จแล้ว เราก็เตรียมตัวกลับกันเลยดีไหม” “คุณหนูหล