บทที่ 3 /1 มหาธาตุหยินหยาง
เสียงเจื้อยแจ้วของเสี่ยวหลานช่วยเรียกสติหวังลี่ถิงให้กลับมา ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ จ้องมองไฟธาตุสีทองและสีดำที่เพิ่งเรียกขึ้นมาในมือด้วยแววตาใคร่รู้ จนแทบมองเห็นเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นเหนือศีรษะเล็กๆ ของนาง "เสี่ยวหลาน ท่านปู่นกฮูกได้บอกหรือไม่ ว่าไฟธาตุพิเศษมีสีอะไรบ้าง ธาตุปกติข้าพอรู้ ธาตุพิเศษอย่างสายฟ้ากับน้ำแข็งก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่ธาตุแสงกับธาตุมืดนี่สิ ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน" นกกระเต็นที่ดื่มน้ำจนหายคอแห้ง รีบยืดอกของตนก่อนเอ่ยตอบเด็กหญิง ด้วยท่าทางคล้ายผู้คงแก่เรียน "อ่ะ แฮ่ม นี่ใคร นี่เสี่ยวหลานนะ เรื่องรอบคอบขอให้บอกนกกระเต็นแสนสวยอย่างข้า ไฟธาตุต้นกำเนิดในมือของถิงเอ๋อร์ก็คือธาตุแสงและธาตุมืดอย่างไรล่ะ เห็นชัดออกขนาดนี้ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ข้าไม่ได้บอกเรื่องของเจ้ากับท่านปู่นกฮูกหรือใครๆทั้งสิ้น" "ธาตุแสงและธาตุมืดอย่างนั้นหรือ?" หวังลี่พึมพำเสียงแผ่วก่อนที่… "ว้ายยย ถิงเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไรไป! จวี๋จื่อช่วยที" เสี่ยวหลานร้องเสียงหลง ยามเห็นสหายมนุษย์ตัวน้อยของมันลมจับหงายท้องตึง ลงไปกองอยู่บนตั่งจากอารามตกใจเรื่องธาตุสุดพิเศษของตน แมวส้มหน้าหวานเปลี่ยนเป็นแมวส้มหน้าเหวอ เดินวนไปวนมารอบเจ้าตัวน้อยที่พึ่งลมจับ "ทำอย่างไรดีๆๆ เสี่ยวหลานบอกข้าที ต้องทำอย่างไรถิงเอ๋อร์ถึงจะฟื้น?!" "กดจุดๆๆ" เสี่ยวหลานกระโดดไปมาอยู่ข้างตัวเด็กหญิง ส่งเสียงจิ๊บๆๆบอกให้จวี๋จื่อกดจุด "จุดอะไร? จุดไหน? ข้าไม่เคยกดจุดให้มนุษย์มาก่อนจะรู้ได้ยังไง!" จวี๋จื่อร้องถามเสียงสูงดัง เมี้ยว เมี้ยว "ตรงนี้ๆๆ จวี๋จื่อ กดเลย เร็วๆเข้า" นกกระเต็นจิ้มปลายปีกของมันไปยังร่องปากใต้จมูกของหวังลี่ถิง ตรงจุดที่เรียกว่า จุดเหยินจง* ในเวลานี้ทั้งนกทั้งแมวต่างประสาทกินไม่แพ้กัน ความสับสนอลม่านบังเกิดขึ้นอยู่พักหนึ่ง เสียงแมวร้อง เสียงนกขับขานดังสลับไปมาอยู่ในห้องนอนของหวังลี่ถิง เจ้าแมวส้มจวี๋จื่อทำหน้าตาชอบกล ค่อยๆหย่งปลายอุ้งเท้าของมันลงบนจุดเหยินจงอย่างระแวดระวัง "ตรงนี้ใช่ไหมเสี่ยวหลาน" เสี่ยวหลานกระโดดขึ้นไปยืนบนบ่าเล็กของหวังลี่ถิง ชะโงกหน้าเข้าไปดูปลายนิ้วของจวี๋จื่อใกล้ๆก่อนขานรับ "ใช่ๆ ตรงนั้นแหละ เจ้าช่วยออกแรงคลึงเบาๆด้วยนะ" จวี๋จื่อรีบตามคำแนะนำของเสี่ยวหลาน หลังจากทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดหวังลี่ถิงก็ฟื้นคืนสติ เฮ้ออออ เสียงถอนหายใจยาวเหยียดของทั้งแมวและนกดังขึ้นพร้อมกัน "ฟื้นได้เสียที" หวังลี่ถิงลุกขึ้นมานั่งด้วยสีหน้ามึนงง ใต้จมูกเป็นแดงจ้ำเล็กๆจากนิ้วเท้าแมว เนื่องจากจวี๋จื่อไม่เคยปฐมพยาบาลมนุษย์คนใดมาก่อน น้ำหนักที่ใช้กดจุดในช่วงแรกๆ เลยหนักมือไปบ้าง "เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ" เด็กหญิงเอ่ยถามสหายตัวน้อยทั้งสองข้างกาย "เจ้าตกใจจนเป็นลมไปน่ะสิ จะอะไรเสียอีก" จวี๋จื่อที่ลงไปนอนหงายท้องเพราะเมื่อยเท้าข้างที่ใช้กดจุดเอ่ยบอก "ถิงเอ๋อร์ข้าคิดว่าเจ้าควรบอกแม่นมและพี่ชุนอิ่งให้รับรู้ไว้นะ โดยเฉพาะกับแม่นม นางเองก็มีพลังธาตุน่าจะช่วยชี้แนะวิธีฝึกพลังให้เจ้าได้" เสี่ยวหลานลองเสนอความเห็น ในเมื่อพลังธาตุในกายตื่นขึ้นทั้งที แถมมีตั้งสาม! หากปล่อยไว้ไม่ฝึกฝนก็นับว่าเสียของ เด็กหญิงพยักหน้าเห็นด้วย ลุกขึ้นจากตั่งข้างหน้าต่าง หันไปถามจวี๋จื่อว่ามันจะมาด้วยหรือไม่ เพราะเห็นว่ากำลังอยู่ในท่าที่สบายนางเลยไม่อยากกวน "ข้าไปด้วยยย แต่ช่วยอุ้มข้าไปที" จวี๋จื๋อยกหัวขึ้นมาตอบ "ได้แน่นอน ขอบใจพวกเจ้าทั้งสองมากนะที่คอยช่วยเหลือถิงเอ๋อร์" มือเล็กช้อนตัวแมวส้มมาพาดไว้บนบ่า ก่อนแบมือให้นกกระเต็นขึ้นมายืนและเดินตรงไปเปิดประตู ในโถงพักผ่อนแม่นมนามว่าชุนหง กำลังรดน้ำไม้ประดับด้วยพลังธาตุ สาวใช้ชุนอิ่งกำลังนั่งเย็บชุดใหม่ให้คุณหนูของตน ร่างเล็กก้าวไปหาผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยท่าทางค่อนไปทางประหม่า "แม่นม พี่ชุนอิ่ง ถิงเอ๋อร์มีเรื่องจะบอกเจ้าค่ะ" "เรื่องอะไรหรือเจ้าคะคุณหนู" ชุนอิ่งละมือจากผ้าที่กำลังเย็บหันมาหาเจ้านายตัวด้วยสีหน้าอบอุ่น นางวางผ้าลงบนตะกร้าที่ตั้งอยู่ข้างตัว คิ้วหัวขมวดเข้าหากันยามสังเกตเห็นบางอย่างแปลกไปในตัวคุณหนูของนาง แม่นมชุนหงหยุดรดน้ำ ก้าวมาหาหวังลี่ถิง พิศมองใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือกอบอย่างตกตะลึง "คุณหนู!! ปานแดงบนหน้าของท่าน" "ใช่เจ้าค่ะ ปานแดงหายไปแล้ว ไม่ใช่แค่นั้นนะเจ้าคะ แต่ยังมีอีกเรื่องที่ถิงเอ๋อร์อยากบอกให้รู้…" เนื่องจากเมื่อตอนที่หวังลี่ถิงออกมากินมื้อเช้า แม่นมและสาวใช้ได้ออกไปให้อาหารหมู และรดน้ำแปลงผักที่หลังบ้าน จึงยังไม่มีใครได้เห็นใบหน้าของนาง "เรื่องอะไรหรือเจ้าคะคุณหนู บอกแม่นมเร็วเข้า" เสียงของแม่นมแสดงถึงความตื่นเต้น นางเอียงซ้ายเอียงขวาสังเกตใบหน้าของหวังลี่ถิงอย่างใกล้ชิดขณะเอ่ยถาม "พลังธาตุของถิงเอ๋อร์ตื่นแล้วนะเจ้าค่ะ" กล่าวจบก็เรียกธาตุลมออกมาให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนดูตอนพิเศษ 2/2 กระต่ายน้อยของข้า ราวกับสวรรค์เป็นใจ จึงได้ดลบันดาลให้ค่ำคืนนั้น ท้องนภาสีหมึกพร่างพราวไปด้วยหมู่มวลดารา คล้ายช่วยสนับสนุนให้กลยุทธ์มัดใจสาวประสบผลสำเร็จ อวี้เหวินอิงเอ๋อร์ดวงตาทอประกายระยับ งดงามมิต่างจากดวงดาวบนท้องฟ้า ร่างบางแย้มยิ้มจนตาโค้ง ขณะมานั่งเล่นที่หัวเรือหลังกินมื้อเย็นเสร็จ “องค์ชายใหญ่ ขอบคุณท่านมากนะ ข้ามีความสุขมากเลย ท่านใจดีมากจริงๆ ไม่ได้หน้ายู่เลยสักนิดเดียว” “…” หวงฝู่ฮ่าวอวี่มุมปากกระตุก ‘หน้ายู่อะไรกันอีกกระต่ายน้อยจอมซน’ แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้อ้าปากถาม กระต่ายน้อยจอมซนพลันขยับมือ ปลดหยกสีม่วงเข้มประจำตัวของนาง มอบให้ชายหนุ่มแทนคำขอบคุณเสียก่อน “นี่คือหยกอินทนิลของข้า ข้าขอมอบให้ท่านแทนคำขอบคุณนะหวงฝู่ฮ่าวอวี่ อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องกลับภูผาหยินซานแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้มีโอกาสมาเมืองหลวงอีก ข้าต้องคิดถึงท่านมากแน่ๆเลย ฮึก อยู่ที่นู่นไม่มีใครเล่นกับข้าเลย ฮึก ท่านเป็นสหายคนแรกที่ยอมไปเที่ยวกับข้า ฮึก” เสียงของอวี้เหวินอิงเอ๋อร์สั่นเครือเจือสะอื้น ขอบตารื้นน้ำ เด็กสาวดูบอบบางราวตุ๊กตากระเบื้อง ที่หากไม่ระวังก็อาจแตกสลายได้ทุกเมื่อ ร
ตอนพิเศษ 2/1 กระต่ายน้อยของข้า เมื่อเอ่ยนามองค์หญิงห้า อวี้เหวินอิงเอ๋อร์ขึ้นมา สิ่งที่ทุกคน ณ ตำหนักเทวาอนธการนึกถึงคือ หน้าตาน่ารักพริ้มเพราราวกระต่ายน้อย นิสัยสดใสร่าเริง ขี้เล่น ดื้อรั้นซุกซน ตามประสาองค์หญิงองค์เล็ก และ… “องค์ชายสามพะย่ะค่ะ รีบแอบเร็วเข้า องค์หญิงห้าหิ้วกล่องใส่อาหารเดินขึ้นบันไดหอตำรามาแล้วพะย่ะค่ะ!” เสียงองครักษ์ส่วนตัวของอวี้เหวินเจาเจวี๋ยดังขึ้นเตือนนายของและศิษย์คนอื่นๆไปในตัว หากไม่อยากเป็นหนูทดลองสูตรยาพิศดารขององค์หญิงห้่า อย่าได้เสี่ยงรับอาหารหรือยาบำรุงร่างกายที่นางปรุงขึ้นเด็ดขาด! บรรดาศิษย์ฝ่ายในที่กำลังรวมตัวแลกเปลี่ยนความรู้กันอยู่ในหอตำรา หรือที่ทุกคนเรียกกันว่า เรือนต้นสนแดง ต่างรีบแยกย้ายกันไปคนละทิศทาง ดูราวผึ้งแตกรังก็มิปาน! เหลือเพียงผู้อาวุโสสองที่เพิ่งเดินเข้าไปหยิบม้วนตำรายังส่วนในของเรือนต้นสนแดง อวี้เหวินอิงเอ๋อร์ก้าวมาหยุดอยู่หน้าประตูทางเข้า หน้าตาบูดบึ้งอมลมแก้มป่องอย่างขัดใจ นางอุตส่าห์ลุกขึ้นมาทำขนมอบตั้งแต่เช้า ตั้งใจเอามาแบ่งศิษย์คนอื่นๆ ให้ลองชิมกันดูเสียหน่อย แต่เมื่อไม่เห็นเงาใครสักคนร่างบางจึงหมุนตัวเตรียมจากไป ทว่าเผ
ตอนพิเศษ 1/2 เมื่อมหาเทพอยากเลี้ยงเด็ก “กร๊ากกกก ฮ่าๆๆ ชิงหลง เอ้ย ชิงหลง ในที่สุดเจ้าก็มีวันนี้เหมือนกัน” เสียงหัวเราะเย้ยหยันด้วยความชอบใจของมหาเทพหวงหลงดังขึ้น การได้เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนเพราะทำสิ่งใดไม่ถูกของสหายรักคือความบันเทิงอย่างหนึ่ง ทว่าคำกล่าวที่ว่า ความสุขนั้นมักสั้นเสมอคือสัจจะธรรมอันแท้จริง ในขณะที่กำลังเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะโดยมีฮั่วฮ่าวหยางนั่งอยู่บนตัก ความอุ่นวาบเปียกชื้นพลันเกิดขึ้น มหาเทพหวงหลงชะงักค้างหลุบตาร่างเล็กบนตักด้วยสายตาเหลือเชื่อ เจ้าตัวน้อยเงยหน้ามองมหาเทพหวงหลง ที่จู่ๆก็หยุดหัวเราะในบัดดลด้วยแววตาใสซื่อกลับมา “คิกๆๆ เอิ๊กๆๆ” เจ้าก้อนแป้งขาวผ่องอวบอัด ระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจเลียนแบบบ้าง เผยให้เห็นฟันน้ำนมด้านหน้าสี่ซี่ น่ารักน่าเอ็นดูราวกระต่ายอ้วนตัวน้อย สีหน้ารื่นเริงของมหาเทพหวงหลงก่อนหน้านี้ แปรเปลี่ยนเป็นเหยเกจนดูไม่ได้แทน “อ๊าาาา หยางเอ๋อร์เจ้าจะฉี่ทำไมไม่บอกข้า เมียจ๋าาาา มาเอาหยางเอ๋อร์ไปเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ที” “กร๊ากกกก ฮ่าๆๆๆๆๆ” คราวนี้เป็นมหาเทวีเฟิ่งหนี่ว์ที่ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น “…” มหาเทพทั้งสอง หัวเราะทีหลังดังกว่าเ
ตอนพิเศษ 1/1 เมื่อมหาเทพอยากเลี้ยงเด็ก ผ่านมาสามเดือนแล้วหลังรวี่เยว่คลอดแฝดมังกรหงส์ มหาเทพทั้งสามคล้ายได้ของเล่นชิ้นใหม่ พวกเขาต่างรอเวลาให้ฮั่วเฮ่อฉีออกไปข้างนอก หรือนอนหลับสนิท จากนั้นถึงจะแอบทอดเงาออกมาเชยชมเจ้าตัวน้อยทั้งสอง หากคืนไหนองค์ไท่จื่อจู๋จี๋กับภรรยานานหน่อย มหาเทพทั้งสามจะขัดใจมาก เพราะคืนนั้นพวกเขามิอาจปรากฏกายออกมาเยี่ยมหลานศิษย์ทั้งสองได้ แต่ก็มีบางครั้งเช่นกัน ที่มหาเทพหวงหลงคิดถึงหลานจนขี้เกียจรอ เขาเลยส่งเมฆนิทราออกมาจากแดนปราณ สะกดจิตฮั่วเฮ่อฉีจนหลับกลางอากาศก็มี บางครั้งชายหนุ่มนั่งกินข้าวเย็นอยู่ดีๆ หัวทิ่มคาโต๊ะก็เกิดขึ้นมาแล้ว ธรรมดาเสียที่ไหนท่านอาจารย์ของรวี่เยว่! คราแรกรวี่เยว่เองก็ตกใจไม่น้อย ทว่าเมื่อทราบความจริง นางถึงกับหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ท่านอาจารย์ของนางก็มีมุมแสบสันเอาแต่ใจกับเขาเป็นด้วย รวี่เยว่เลยต้องเฉไฉยกข้ออ้างมาบอกสวามีว่า "น้องคิดว่าวันนี้ท่านพี่คงเหนื่อยเกินไปเลยหลับกลางอากาศเจ้าค่ะ" จะให้บอกความจริงว่าโดนมหาเทพเล่นกลก็ไม่ได้เสียด้วย เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ “มหาเทพวางยาองค์ไท่จื่อเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ เหตุผลเพียงเพราะคิ
บทที่ 69/2 ครอบครัวที่สมบูรณ์ “เสด็จแม่โตแล้ว ไม่ดื้อแล้ว ไม่โดนเสด็จพ่อหวดก้นแน่นอนเพคะเสด็จลุง” เสียงเล็กของฮั่วเยว่ฉีดังขึ้น ร่างเล็กเอื้อมไปกุมมือผู้เป็นลุงเพื่อขอให้เขาอุ้ม ร่างสูงโน้มตัวช้อนเจ้าตัวน้อยขึ้นมา หอมแก้มป่องขาวกลมไปฟอดใหญ่ ฟ้อดดด “จริงรึ?” ฮั่วเยว่ฉีหยักหน้าหงึกๆ “เช่นนั้น ลุงเชื่อเจ้าก็ได้” เช้าวันนี้ ตำหนักหย่งเทียนครึกครื้นเป็นพิเศษ บรรดาแขกเหรื่อคนสำคัญ ที่มาร่วมงานวันเกิดธิดาเทพรวี่เยว่ ต่างหอบหิ้วของฝากมากมายมาให้เจ้าของวันเกิด หวงฝู่ฮ่าวอวี่ที่สมรสกับอวี้เหวินอิงเอ๋อร์ไปเมื่อห้าปีก่อน อุ้มโอรสองค์โตวัยสามหนาวเดินตามชายารัก ที่เลิกล้มความคิดเรื่องการเป็นนักปรุงโอสถ แต่หันมาเอาดีทางด้านค้าขายผ้าและเครื่องประดับแทน องค์หญิงจอมซนเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ รูปแบบเครื่องประดับและลายผ้าที่นางออกแบบ จึงงดงามแปลกตาไม่เหมือนใคร เป็นที่นิยมชมชอบของสตรีในเมืองหลวงและเมืองใหญ่หลายเมือง “รวี่เยว่ สุขสันต์วันเกิดนะ พวกเราขอให้เจ้ามีแต่ความสุขในทุกๆวัน” ทักทายเจ้าของวันเกิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตรงไปทำความเคารพองค์ราชาอวี้เหวินเหิง และเชื้อพระวงศ์ของตำหนัก
บทที่ 69/1 ครอบครัวที่สมบูรณ์ เสียงกรีดร้องเบ่งคลอดของรวี่เยว่ที่ดังขึ้นเป็นระยะ บีบรัดหัวใจของฮั่วเฮ่อฉีจนปวดร้าว เขาสงสารชายาจับใจ “หม่าลั่ว ทำไมนานนักล่ะ ทำไมรวี่เยว่ยังไม่คลอดอีก” ร่างสูงมือเย็นเฉียบจากความประหม่าระคนหวาดกลัว สติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้นเรื่อยๆ สุดหล่อเย่หมิงต้องมาพาร่างสูง ที่เดินไปเดินมาจนทำเขาเวียนหัวไปนั่งลง ก่อนยื่นชาให้ดื่มเพื่อสงบสติอารมณ์ “องค์ไท่จื่อ ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็คลอด อย่าวิตกจนเกินเหตุไป” หนึ่งชั่วยามต่อมา อูแว้ๆๆๆๆ ฮั่วเฮ่อฉีที่นั่งกระสับกระส่าย หายใจไม่คล่องอยู่หน้าห้องคลอด ลุกพรวดทันทีเมื่อได้ยินเสียงเด็กร้อง “เป็นองค์ชายน้อยเพคะ” เสียงชุนอิ่งดังมาจากห้องคลอด “ลูกชาย ข้าได้ลูกชาย หม่าลั่ว ท่านเย่หมิง อี้หรง ได้ยินหรือไม่ ข้าได้ลูกชาย ฮ่าๆๆๆ” ครึ่งเค่อต่อมา แว้ๆๆ อุแว้ๆๆๆๆ “เป็นองค์หญิงน้อยเพคะ” คราวนี้เป็นเสียงของจวี๋จื่อ เสียงเฮดังขึ้นหน้าห้องอีกครั้ง ฮั่วเฮ่อฉีกระโดดกอดเย่หมิงและหม่าลั่ว ทั้งสามหัวเราะร่าเสียงดัง “ลูกสาว ข้าได้ลูกสาวอีกคน ฮ่าๆๆ ดี ดียิ่ง หม่าลั่วช่วยแจกรางวัลให้ทุกคนในตำหนัก เปิดโรงทานในเมืองหล