กว่าหานไท่หยางจะปล่อยให้นางพัก นางก็หมดแรงพอดี บุรุษประสาใดกันเรี่ยวแรงราวกับม้าศึก! เคี่ยวกรำนางมาทั้งคืนยังมิพอ ยังมารังแกนางต่อในห้องสรงน้ำอีก! นางส่งสายตาเขียวปั๊ดให้หานไท่หยางอย่างขุ่นข้องใจ แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด
“เจ้าแกล้งข้าถึงขนาดนี้ ไม่คิดจะขอโทษข้าเลยหรือไร” นางตะโกนถามอย่างไม่พอใจ ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดนักที่ปล่อยให้เขารังแกนางได้ตามอำเภอใจเช่นนี้ “แถมท่าน ท่าน ท่านยังปล่อยในอีก! เจ้าคนบ้า!” นางชี้หน้าต่อว่าเขาด้วยความเขินอาย ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่ที่เขารังแกนางในอ่างไม้ นางยิ่งเขินอาย ใบหน้านั้นแดงราวกับผลตำลึงสุก นางได้แต่โกรธจนไม่ทันสังเกตใบหน้าหล่อเหลาที่ลอบยิ้มออกมาด้วยความพอใจ หานไท่หยางกำลังมองนางซึ่งกำลังโกรธเขาตัวสั่นเทิ้มภายในอ่างไม้ นางตะโกนเรียกหรูหรง “หรูหรงๆ” นางตะโกนเรียกนางกำนัลสาวเสียงดัง “เพคะ พระชายา” หรูหรงกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย นางไม่คุ้นชินกับสภาพวังของหานไท่หยางนัก ยิ่งมีเขามานั่งคุมพระชายาของนางนางยิ่งหวาดกลัวสายตาอำมหิตบนใบหน้าหล่อเหลานั่น “ไปเตรียมยาคุมกำเนิดมาให้เราเดี๋ยวนี้เลย!” หญิงสาวสั่งเสียงดัง “ยะ...ยาคุมหรือเพคะ” หรูหรงหันมามองหานไท่หยางสลับพระพักตร์ของพระชายาผู้เป็นนาย ในใจอึดอัดกระอักกระอ่วนนัก นางอยากไปสมทบกับหลินกงกงเต็มแก่แล้ว! “ใช่ รีบไปเอามาเลยนะ” นางได้ทีก็รีบสั่งผู้เป็นบ่าว ไม่สนใจสีหน้าถมึงทึงของอีกฝ่ายที่มองนางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “หากเจ้าไปเอามาแม้แต่หยดเดียว ข้าจะสั่งตัดมือเจ้า!” หานไท่หยางมองหรูหรงตาเขียวเชิงขู่ “อุ้ย” หรูหรงอุทานเสียงอ่อน ข้างหนึ่งก็เจ้านายที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ อีกคนก็คือเจ้าของวัง เป็นเจ้าชีวิตของทุกคนที่นี่ ตอนนี้นางตัดสินใจไม่ถูกจริงๆ “ข้าเป็นพระชายานะ กล้าขัดคำสั่งข้าหรือ?” นางสั่งหรูหรงที่ยืนนิ่งตัวสั่น หากตอนนี้สภาพนางไม่เปลือยเปล่า นางจะรีบลุกไปดื่มน้ำแกงยาคุมกำเนิดเอง แต่ติดที่รอยแดงบนตัวมากมายทำให้นางไม่กล้าออกนอกตำหนักใหญ่แม้แต่ก้าวเดียว! “ข้าเป็นเจ้าของวัง เป็นสามีของนายเจ้า เจ้ากล้าขัดคำข้าหรือ” หานไท่หยางถามเสียงเย็น ตอนนี้คนที่น่าสงสารที่สุดคือหรูหรง นางเลือกตัดสินใจไม่ถูก สุดท้ายจึงรีบก้าวเดินออกจากห้อง ท่ามกลางความพอใจของอ๋องหนุ่ม แต่เป็นความไม่พอใจของพระชายาจางนัก อะไรกัน! นี่บ่าวของนางฟังคำสั่งใครกันแน่ “บ่าวของเจ้า นางรู้อยู่รู้เป็น เจ้าหัดทำตัวเช่นนาง เชื่อฟังข้าบ้างก็คงดี” หานไท่หยางกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมให้นางเอาน้ำแกงคุมกำเนิดมาก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าไปเอาเองก็ได้ ข้าไม่อยากท้องกับคนที่ข้าไม่ได้รัก” หญิงสาวกำลังลุกขึ้นจากอ่างไม้ แต่ทว่าหานไท่หยางนั้นว่องไวกว่า เขาก้าวกระโดดลงมาในอ่างไม้จนน้ำสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นห้องสรง พื้นรายรอบนั้นเปียกลื่นจนแฉะไปหมด “นี่เจ้าทำอะไรของเจ้า!” นางสะบัดผมไล่หยดน้ำที่เกาะตามเรือนผมและใบหน้าออกไป หยดน้ำที่กระเซ็นเปรอะเปื้อนใบหน้านั้นทำให้นางสายตาพร่ามัวไปหมด กว่าจะรู้ตัวอีกทีนางก็ถูกบุรุษกักขฬะแสนโหดร้ายกักขังเอาไว้ในอ้อมแขนแล้ว “เมื่อสักครู่เจ้ากล่าวสิ่งใด” หานไท่หยางถามเสียงเยือกเย็น แววตาของเขาตอนนี้แฝงประกายอำมหิตน่ากลัว “ข้าไม่อยากท้องกับคนที่ข้าไม่ได้รัก!” นางตอบขณะที่หยดน้ำยังคงเกาะติดใบหน้าอยู่ ทำให้ไม่สามารถเห็นได้เลยว่าตอนนี้อ๋องหนุ่มผู้เป็นสามีทั้งโกรธและน้อยใจเพียงใด หานไท่หยางไม่อยากฟังวาจาทำร้ายน้ำใจจากนางอีกแล้ว เขาเดินขึ้นจากอ่างไม้ พร้อมกับส่งผ้าซับให้กับนาง “เช็ดตัวให้เรียบร้อย แล้วนับจากนี้ไปเจ้าถูกลดสถานะเป็นแค่ทาสรับใช้เท่านั้น!” หานไท่หยางประกาศเสียงดังกร้าว เขาปรายหาตามองจางอวิ๋นซีที่นั่งแน่นิ่งในอ่างไม้อย่างไม่ใส่ใจ “ก็ช่างสิ ใครอยากแต่งเป็นชายาคนโหดร้ายเช่นท่านกัน!” นางตะโกนตามหลังพลางสะบัดฝ่ามือใส่น้ำในอ่างจนกระเซ็นไปทั่วห้องสรง ก่อนรีบขึ้นจากอ่างไม้เพื่อไปแต่งตัว“ท่านอ๋อง ทรงทำเช่นนี้จะดีหรือพะยะค่ะ หากพระมารดากับเสด็จย่าทรงทราบเข้า...” หลินกงกงกล่าวด้วยความเห็นใจต่อพระชายาเอกจาง จริงอยู่ที่เจ้านายของเขานั้นอาจอารมณ์รุนแรงไปบ้าง แต่ก็ไม่ควรทำเช่นนี้โดยการปลดพระชายาออกจากตำแหน่งไปเป็นนางกำนัล
“ในเมื่อนางเข้ามาอยู่ในจวนของข้าแล้ว นางย่อมเป็นสิทธิ์ขาดของข้า เสด็จแม่กับเสด็จย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวไม่ได้เด็ดขาด” อ๋องหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ เขาหันไปกำชับหลินกงกง “ส่วนเจ้า ไปเตรียมชุดนางกำนัลให้นางเสีย แล้วให้นางไปพักอยู่ในเรือนทาส อย่าได้เข้ามาตำหนักใหญ่หากข้าไม่สั่ง” หลินกงกงจนปัญญาจะวิงวอนต่ออ๋องหนุ่ม เขารู้จักอุปนิสัยของหานไท่หยางดี ว่าหากอีกฝ่ายตัดสินใจอะไรไปแล้วก็ย่อมยากที่จะคืนคำ จึงทำได้เพียงแค่สงบปากสงบคำแล้วทำตามที่รับสั่งเท่านั้น ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย ปราศจากความรู้สึกใดบนใบหน้า แต่ทว่าภายในใจของอ๋องหนุ่มนั้นกลับรู้สึกราวกับมีบางสิ่งบางอย่างทับอยู่ในใจ เป็นความรู้สึกหนักหน่วงยิ่งนักยามปลดนางเป็นทาสรับใช้ ทั้งๆ ที่นางเป็นพระชายาเอกที่ถูกต้องตามประเพณีของเขา “เฉินหรง เข้ามาหาข้า” อ๋องหนุ่มรับสั่งถึงองครักษ์คนสนิทเสียงดัง เฉินหรงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักจึงเดินเข้ามา “ทรงมีสิ่งใดให้กระหม่อมรับใช้หรือพะยะค่ะ” เฉินหรงประสานมือถาม หานไท่หยางทราบดีว่ามีสตรีอีกมากมายในจวนที่ไม่ประสงค์ดีต่อจางอวิ๋นซี การที่เขาปลดนางด้วยอารมณ์ชั่ววูบแบบนี้อาจทำให้นางโดนรังแกโดนกลั่นแกล้งได้ ต่อให้เขาจะแต่งงานกับนางด้วยเหตุผลทางการเมือง แต่นางเป็นพระชายาเอกที่ถูกต้องอยู่ดี “นับแต่นี้ต่อไป ให้เจ้าจับตาดูพวกนางกำนัลที่เรือนหลังให้ดี หากมีผู้ใดคิดร้ายต่อพระชายาหรือรังแกพระชายา ให้รีบมารายงานข้า” อ๋องหนุ่มรับสั่งสิ่งที่ทำให้เฉินหรงต้องยิ้มออกมา องครักษ์หนุ่มลอบยิ้มกับท่าทีของผู้เป็นนาย “พะยะค่ะ” หานไท่หยางถอนหายใจเมื่อเฉินหรงเดินออกไปพร้อมกับรอยยิ้มแปลกๆ พิกล อ๋องหนุ่มพยายามลบล้างความรู้สึกผิดในใจที่ปลดนางด้วยโทสะ เขาหยิบดาบยาวที่วางอยู่บนแท่นภายในห้องพระบรรทมขึ้นมาขัดเพื่อลบเลือนความรู้สึกผิดที่มีต่อนางไป แต่ว่าขัดดาบไปได้ไม่เท่าไหร่ อ๋องหนุ่มใช้มือลูบสัมผัสหมอนหนุนของนางที่นางนอนร่วมเตียงเดียวกับเขา ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่ร่วมรักกันยังติดตาตรึงใจอ๋องหนุ่มยิ่งนัก ทุกสัมผัสที่เขามอบให้นางเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยมอบให้สตรีคนใดมาก่อน แต่นางเป็นสตรีคนแรกที่เขายอมเป็นฝ่ายปลุกเร้านาง เป็นสตรีที่เขาตัดสินใจแต่งงานด้วยแม้จะเป็นเหตุผลที่มีเรื่องการเมืองเคลือบแคลงด้วยก็ตาม รอยเลือดที่เปรอะเปื้อนบนผ้าปูที่นอนนั้นเป็นสิ่งบ่งบอกได้อย่างดีว่าเขาเป็นบุรุษคนแรกของนาง และนางเป็นภรรยาของเขาโดยสมบูรณ์ หากนางไม่คิดดื้อดึงต่อเขา เขาคงไม่ลงโทษนางเช่นนี้จางอวิ๋นซีรับห่อเสื้อสำหรับนางกำนัลมาสวมใส่จากหลินกงกง หรูหรงมองผู้เป็นนายอย่างสงสาร ในใจของนางนั้นนึกโทษหานไท่หยางที่ใช้อารมณ์ชั่ววูบและความไร้เหตุผลมาลงโทษพระชายาของนางเสียดื้อๆ
“เอ่อ คือพระชายา กระหม่อมพยายามเต็มที่แล้ว แต่ว่า...” หลินกงกงเอ่ยด้วยความสงสารพระชายาจับใจ จางอวิ๋นซีตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจนัก “จะปลดข้า หรือจะทำอะไรกับข้าก็แล้วแต่เขาเลย ใช่ว่าข้าจะใส่ใจเสียหน่อย” “แต่ท่านอ๋องเป็นพระสวามีนะเพคะ” หรูหรงเอ่ยเตือน “แล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อเขาปลดข้าแบบไร้เหตุผล ข้าก็จะทำเป็นไม่ใส่ใจเขาบ้างเหมือนกัน” นางกล่าวพลางหมุนรอบตัวเองหลังจากแต่งชุดนางกำนัลเสร็จ แม้ว่าชุดนางกำนัลจะดูซอมซ่อมากเพียงใด แต่ไม่อาจบดบังความงดงามของพระชายาจางอวิ๋นซีได้จริงๆ หลินกงกงพาจางอวิ๋นซีมาที่เรือนหลังท้ายวังอ๋อง แม้ว่าหานไท่หยางจะสั่งให้เขาจัดหาที่พักแบบซอมซ่อให้อีกฝ่าย แต่ทว่าหลินกงกงไม่อาจทำเช่นนั้นได้ พระชายาเป็นภรรยาสมรสตามขนบธรรมเนียม อีกทั้งเป็นสตรีที่ฮองเฮากับไทเฮาทรงโปรดปรานมาก ดังนั้นขันทีอาวุโสจึงจัดที่พักที่สะอาดสะอ้าน ผ่านการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วให้กับนายหญิงของวัง “ตอนนี้ข้าเองก็ไม่ได้เป็นพระชายาอะไรแล้ว ท่านกงกงก็เรียกข้าว่าคุณหนูเหมือนเดิมก็ได้” จางอวิ๋นซีกล่าวกับขันทีอาวุโส หญิงสาวกวาดสายตามองรอบๆ เรือนพักที่หลินกงกงจัดเอาไว้ให้เป็นเรือนพักนางกำนัลที่ดีที่สุดยิ่งนัก “มิได้พะยะค่ะ หากยังไม่มีการหย่าอย่างเป็นทางการ ท่านก็คือพระชายาเอกอยู่ ข้าไม่อาจเรียกท่านว่าคุณหนูได้” หลินกงกงกล่าว “กระหม่อมคงต้องขอตัวก่อน หากพระชายาต้องการสิ่งใด แจ้งกระหม่อมได้เลยพะยะค่ะ” “รบกวนท่านกงกงแล้วล่ะ” นางย่อตัวให้กับหลินกงกง หลังจากนั้นจึงเดินเข้าไปในเรือนเก็บข้าวของของตนเองให้เรียบร้อย หยางกูกูจึงพานางไปแนะนำต่อนางกำนัลเรือนหลัง ในฐานะบ่าวรับใช้คนใหม่ของวัง“นางเป็นบ่าวรับใช้คนใหม่ของวัง ต่อไปนี้หน้าที่ในเรือนหลัง รวมถึงงานทุกอย่างพวกเจ้าจะต้องสอนนาง” หยางกูกูกล่าวแนะนำจางอวิ๋นซีต่อหน้านางกำนัลรุ่นเยาว์ทุกคนที่มองนางด้วยความหมันไส้ระคนอิจฉาริษยา
“เจ้าค่ะ” พวกนางกำนัลทุกคนต่างน้อมรับต่อหยางกูกู คล้อยหลังหยางกูกู นางกำนัลคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาอย่างกระแนะกระแหน “อย่างนี้ล่ะสินะ เป็นพระชายาเพียงข้ามคืน ก็ถูกเขี่ยลงมาจนไม่มีชิ้นดี” นางกำนัลสาวรุ่นผู้หนึ่งกอดอกกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างชอบใจ นางทำงานรับใช้หานไท่หยางมานาน แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสที่จะได้ร่วมเตียงกับเขาเลยสักครั้ง แต่คุณหนูสกุลจางผู้นี้กลับมาช่วงชิงตำแหน่งพระชายาเอกไปเพราะเป็นพระญาติสนิทของฮองเฮา “จูเอ๋อร์ อย่าเสียงดังไปสิ นางเป็นหลานของฮองเฮาเชียวนะ หากเรื่องนี้รู้ถึงฮองเฮาพวกเราได้แย่กันหมดแน่” นางกำนัลอีกคนหนึ่งเตือน “เจ้าชื่อจูเอ๋อร์สินะ” จางอวิ๋นซีเดินเข้ามาหยุดตรงหน้านางกำนัลที่ชื่อจูเอ๋อร์ “ข้าจะจดจำเจ้าเอาไว้ให้ขึ้นใจแล้วกัน” นางกำนัลที่ชื่อจูเอ๋อร์ถามเสียงสั่น “จำข้าไว้ทำไม เจ้าเป็นแค่ชายาที่ตกกระป๋องแล้วตอนนี้!” จางอวิ๋นซีกระตุกยิ้มมุมปาก “ข้าก็จะจำเอาไว้ ว่าคนไม่มีการศึกษามันเป็นแบบเจ้านี่เอง” “กรี๊ดดดด!” นางกำนัลชื่อจูเอ๋อร์กรีดร้องเบาๆ นางชี้นิ้วใส่จางอวิ๋นซีพลางกระโดดเต้นเร่าๆ อย่างโกรธจัด “ตอนนี้ท่านอ๋องก็ไม่สนใจเจ้าแล้ว ดูเสียเถิดว่าเจ้าจะปากดีไปได้สักเท่าใดกัน!” จางอวิ๋นซีไม่อยากเสียเวลากับคนเหล่านี้ให้มาก นางเดินเข้าไปที่โรงครัว ซึ่งมีเหล่านางครัวที่ยิ้มให้กับนางกำลังเดินเข้ามา “พระชายานี่ร้ายเหลือมากเลยนะ ตอกกลับจูเอ๋อร์ได้เจ็บแสบจริงๆ” แม่ครัวสาวคนหนึ่งกล่าวกับหัวหน้าแม่ครัว “ตอนนี้พวกเจ้ากำลังทำอาหารให้กับหานอ๋องอยู่หรือ” จางอวิ๋นซีถาม นางมองซาลาเปาและเซ่าปิ่งที่กำลังถูกนึ่งอยู่บนหม้อ โดยมีผ้าขาวรองอยู่ “อะ เอ่อ เพคะพระชายา” หัวหน้าแม่ครัวกล่าวตอบอย่างตะกุกตะกัก ด้วยกลัวว่าตนเองอาจพูดจาอันใดไม่เข้าหูและโดนตอกกลับอย่างจูเอ๋อร์เป็นแน่ นางเดินเข้ามาใกล้ๆ ด้วยความตัวสั่น จางอวิ๋นซีมองท่าทีหวาดกลัวของหัวหน้าแม่ครัวกับบรรดาลูกสมุนอย่างรำคาญใจ “ข้าไม่ใช่สุนัขนะ ข้าไม่กัดเจ้าหรอก!” “เพคะ” เหล่านางครัวกล่าวตอบอย่างเกรงใจตามที่หานไท่หยางรับสั่งให้เฉินหรงคอยดูแลเรือนหลังและพระชายาเอก เขาเห็นท่าทีของพวกนางกำนัลเหล่านั้นที่เป็นปรปักษ์ต่อพระชายา กล่าววาจาต่อว่าพระชายาให้เสียหายจึงรีบกลับมาทูลต่อหานไท่หยาง พลางสังเกตปฏิกิริยาของอ๋องหนุ่มที่กำลังขัดดาบ
หานไท่หยางวางดาบลงข้างๆ กาย แววตาแปรเปลี่ยนเป็นประกายอำมหิต “ข้าปลดนางเป็นนางกำนัลก็จริง แต่ตามธรรมเนียมราชวงศ์นางก็ยังเป็นชายาเอกของข้าอยู่...” เฉินหรงลอบกระตุกยิ้มอีกครั้งหนึ่ง “แล้วจะให้กระหม่อมทำเช่นไรกับนางกำนัลผู้นั้นพะยะค่ะ” เฉินหรงถาม “ให้หยางกูกูขับนางออกจากวัง...” หานไท่หยางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “แต่ว่าทำเช่นนั้นจะไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือพะยะค่ะ” องครักษ์หนุ่มถาม ในใจรู้สึกสงสารนางกำนัลผู้นั้นนัก หานไท่หยางทำเพียงมองด้วยแววตาประกายอำมหิต เฉินหรงจึงเข้าใจได้ทันทีว่าไม่อาจขัดรับสั่งได้ “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพะยะค่ะ” เฉินหรงประสานมือโค้งรับพระ บัญชา ก่อนจะเดินออกจากตำหนักใหญ่ไป เพลานี้ใบหน้าและแววตาของหานไท่หยางยากที่จะอธิบายทุกความรู้สึก ‘นี่เขาลงโทษนางเกินไปหรือเปล่านะ’ อ๋องหนุ่มถามตนเอง ในใจเต็มไปด้วยหลายล้านความรู้สึกยากจะบรรยายสมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ