วันนี้ปณิชาเลิกงานในเวลาสองทุ่ม หญิงสาวขับรถกลับมายังคอนโดมิเนียมโดยที่ยังไม่ได้ทานอาหารและคิดว่าจะเอาอาหารกล่องแช่แข็งที่ซื้อมาตุนทานเป็นมื้อค่ำ
“อ้าว เหมยคุณพักที่นี่เหรอ”
เสียงทักทายทำให้คนที่กำลังจะเดินเข้าไปในตัวอาคารต้องหยุกชะงักแล้วหันกลับมามองว่าใครกันนะทักทายเธอเพราะตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เธอก็ยังไม่รู้จักเพื่อนร่วมคอนโดเลยสักคน
“สวัสดีค่ะหมอตุลย์คุณก็พักที่นี่เหรอคะ”
“ครับ ผมพักที่นี่แต่ผมไม่เคยเจอคุณมาก่อน บังเอิญจังเลยนะครับที่เราพักที่เดียวกัน”
“เหมยเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ค่ะ คุณพักอยู่ชั้นไหนคะ เหมยอยู่ชั้น 4 ค่ะ”
“ผมอยู่ชั้น 6 ครับ คุณเพิ่งเลิกงานเหรอครับ”
“ค่ะ คุณหมอล่ะคะ วันนี้ออกตรวจที่ไหน”
“ช่วงเย็นถึงสองทุ่มผมเปิดคลินิกครับ เหมยเพิ่งเลิกงานมาใช่ไหม กินข้าวเย็นมาหรือยังครับ”
“ยังเลยค่ะ เหมยกะว่าจะเวปอาหารกล่องกินค่ะ” ปณิชาตอบไปตามความจริงเพราะถ้าบอกเขาว่าทานอาหารมาแล้วมันก็ดูจะไม่จริงเท่าไหร่เพราะถ้าเลิกงานและทานข้าวก่อนกลับมาที่นี่เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงคงไม่น่าทัน
“ผมก็ยังไม่ได้กินเลยเราไปหาอะไรกินกันดีไหม แถวนี้มีร้านอร่อยเยอะเลย เดี๋ยวผมจะพาไป”
“ไม่เป็นไรค่ะเหมยว่าหมอกลับมาเหนื่อยๆ น่าจะอยากพักนะคะ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ยิ่งทำงานเหนื่อยก็ต้องยิ่งกินให้มากครับ ถือว่าผมเลี้ยงต้อนรับสมาชิกใหม่ของคอนโดก็แล้วกันนะครับ อีกอย่างผมก็ไม่ค่อยอยากกินข้าวคนเดียวเท่าไหร่”
“แล้วปกติหมอตุลย์กินข้าวกับใครเหรอคะ”
“ส่วนใหญ่ก็จะกินข้าวที่คลินิกครับ แต่วันนี้คนไข้เยอะมากก็เลยไม่ได้กิน เหมยล่ะปกติกินที่ไหน”
“แต่ก่อนเหมยจะกินที่โรงอาหารของโรงพยาบาลค่ะ แต่พอย้ายมาอยู่ที่นี่ก็จะซื้อข้าวกล่องขึ้นไปกินบนห้องหรือบางครั้งก็จะเวปอาหารแช่แข็งเอาค่ะ”
“อาหารพวกนั้นกินบ่อยๆ มันก็ไม่ดีนะครับ ผมว่าวันนี้ไปหาอะไรกินกันดีกว่า เหมยจะได้รู้จักร้านแถวนี้ด้วยวันนี้ผมเป็นเจ้ามือเอง”
“ก็ได้ค่ะ”
เพราะได้ร่วมงานกันมาสองอาทิตย์แล้วปณิชาก็เลยยอมจะไปทานข้าวกับเขาทั้งที่ปกติแล้วเธอเป็นคนไม่ค่อยจะออกไปไหนกับผู้ชายโดยเฉพาะผู้ชายที่เป็นหมอ
“จอดรถไว้ตรงนี้แหละครับเดี๋ยวเราเดินลัดออกไปทางด้านหลังก็จะถึงร้านที่ผมบอก”
“ค่ะ” ปณิชาล็อกรถจากนั้นก็เดินคู่ไปกับหมอตุลธร
ทางที่เขาพาไปเป็นทางเล็กๆ แต่ก็มีไฟส่องสว่างทั่วบริเวณ ใช้เวลาเดินไม่นานก็ถึงร้านอาหารเล็กๆ ที่อยู่ในตึกแถวสองคูหา เวลาสองทุ่มแบบนี้ลูกค้าเกือบติดลูกค้าเต็มเกือบทุกโต๊ะแต่ยังโชคดีว่าทั้งมีคนมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งลุกขึ้นทั้งสองจึงรีบเดินมารอขณะที่พนักงานกำลังทำความสะอาด
“รอสักครู่นะคะคุณหมอ” น้องพนักงานบอกขณะที่มือก็เช็ดทำความสะอาดโต๊ะไปด้วย
“หมอมากินข้าวที่นี่บ่อยเหรอคะ” ปณิชาเห็นว่าเขาสนิทกับพนักงานที่นี่ก็อดจะถามไม่ได้
“ก็บ่อยพอสมควรครับ”
ตุลธรตอบขณะที่เลื่อนเก้าอี้มาให้กับปณิชาเมื่อตอนนี้พนักงานทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“มีเมนูอะไรแนะนำบ้างคะ” เมื่อเขาบอกว่ามาทานเป็นจำปณิชาเลยขอคำแนะนำจากเขา
“ร้านนี้อาหารอร่อยทุกอย่างครับ ที่ผมชอบกินก็จะเป็นพะแนงไก่ กะเพราหมูกรอบ คะน้าหมูกรอบอะไรประเภทนี้ครับ เหมยลองดูเมนูก่อนก็ได้”
ตุลธรหยิบกระดาษA4ที่เคลือบพลาสติกพิมพ์รายการอาหารส่งให้กับปณิชา
เธอรับมาดูรายการอาหารไม่นานก็ตัดสินใจได้ว่าจะทานอะไรเป็นมื้อค่ำ
“เหมยว่าผัดผงกะหรี่ทะเลก็น่าสนใจดีนะคะ แล้วหมอล่ะคะ”
“ผมอยากให้คุณลองพะแนงไก่ แล้วก็สั่งต้มยำกับผัดอีกอย่างดีไหม”
“เรามาแค่สองคนจะกินหมดเหรอคะ”
“หมดครับ วันนี้ทั้งวันผมกินข้าวไปนิดเดียวเองรับรองได้เลยว่าอาหารที่สั่งมาผมกินไม่เหลือแน่ๆ”
“งั้นก็ตามใจหมอเถอะค่ะ”
“เหมยกินเผ็ดได้ไหม”
“พอได้ค่ะ”
“งั้นเอาไม่ค่อยเผ็ดมาแล้วกันนะครับ ผมเองก็กินเผ็ดไม่ค่อยได้เหมือนกันแต่จะกินจืดๆ เลยก็ไม่อร่อย”
เมื่อตกลงกันได้แล้วตุลธรก็เรียกพนักงานมารับออเดอร์แล้วก็สั่งน้ำอัดลมสำหรับตัวเองก่อนจะหันมาถามปณิชา
“เหมยเอาน้ำอะไรดีครับ”
“ขอน้ำเปล่าดีกว่าค่ะ”
“คุณนี่รักสุขภาพเหมือนกันนะครับ”
“ไม่ได้รักสุขภาพอะไรหรอกคะหมอ แต่ก่อนเหมยก็ชอบกินเป๊ปซี่มากๆ แต่ที่ต้องเปลี่ยนมากินน้ำเปล่าเพราะเป็นโรคกระเพาะค่ะ”
“ปกติแล้วผมก็ไม่ค่อยกินน้ำอัดลมหรอกครับแต่วันนี้มันเหนื่อยจริงๆ ก็เลยต้องแหกกฎตัวเองหนึ่งวัน”
“ถือว่าเป็นการให้รางวัลตัวเองก็ได้นะคะ”
“ผมก็คิดแบบนั้นครับ แต่งไม่กล้าให้รางวัลตัวเองบ่อยๆ เพราะเราก็รู้กันอยู่ว่าน้ำหวานอัดแก๊สพวกนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่เวลากินข้าวจะให้เรากินนมมันก็ดูไม่เข้าท่าเท่าไหร่”
“แต่เวลากินน้ำพวกนี้หมอก็ต้องระวังตัวด้วยนะคะเดี๋ยวจะมีคนเห็น”
“ทำไมล่ะครับ”
“ก็หมอบอกคนไข้ของหมอว่าน้ำอัดลมไม่ดีต่อสุขภาพแล้วถ้าเด็กมาเห็นหมอกินน้ำอัดลมพวกเขาก็คงจะไม่เชื่อหมออีกต่อไป”
“จริงสิ ผมลืมคิดข้อนี้ไปเลยนะ ขอบคุณนะที่ช่วยเตือนครั้งหน้าผมจะได้ระวังตัวมากขึ้น แต่วันนี้คงไม่เป็นไรหรอกเพราะตอนนี้ในร้านไม่มีเด็กอยู่สักคน” ตุลธรมองไปรอบๆ ร้านซึ่งนับว่าโชคดีที่ตอนนี้ทั้งร้านมีแต่ลูกค้าผู้ใหญ่ทุกโต๊ะ
แล้วก็ถึงวันที่ปณิชาจะต้องเดินทางไปเที่ยวคนเดียวตามลำพังเธอตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้มาก ถึงแม้ว่าก่อนการเดินทางเธอจะเตรียมพร้อมเรื่องภาษามาอย่างดีแต่ก็ยังกังวลว่าจะสื่อสารให้คนอื่นฟังไม่รู้เรื่องตั๋วเครื่องบินที่พี่ชายให้มาเป็นตัวบินตรงจากกรุงเทพมายังสนามบินปรากวาคลาฟฮาเวลซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองปรากไม่ถึง 20 กิโลเมตร พี่ชายของเธอบอกว่าพอลงจากเครื่องก็จะมีรถของโรงแรมมารับให้เธอคอยสังเกตเพราะเขาจะถือป้ายชื่อมาคอยต้อนรับปณิชามองหาคนจากโรงแรมที่พี่ชายบอกว่าจะมารัก แต่มองเท่าไหร่ก็ยังไม่เจอป้ายชื่อของตัวเอง หญิงสาวยิ้มกว้างเมื่อเห็นป้ายหนึ่งเขียนว่า Will you marry me? เธอรู้สึกว่าไม่มันเป็นอะไรที่โรแมนติกมากที่ขอแต่งงานกลางสนามบินแบบ ปณิชา รู้สึกอิจฉาผู้หญิงคนนั้นเหลือเกินที่มีคนทำเรื่องเซอร์ไพรซ์แบบนี้หญิงสาวกำลังเดินมาใกล้จุดที่คนถือป้ายเรื่อยๆ และพอเดินเข้าใกล้ด้านหน้าหน้าก็มีอีกป้ายหนึ่งปรากฏขึ้นซึ่งมันเขียนด้วยภาษาไทยตัวโตๆ ว่า “เหมย” หญิงสาวเลยรีบเดินเข้าไปเพราะคิดว่าเป็นคนจากโรงแรมและบังเอิญมายืนผิดตำแหน่ง“เหมยแต่งงานกันนะ” เสียงที่พูดขึ้นมาทำให้หญิงสาวหยุดชะงักแล
ปณิชาไม่ต้องไปทำงานที่คลินิกของหมอตุลธรแล้วเย็นนี้เธอจึงมีเวลาออกมาเดินซื้อของใช้จำเป็นที่ห้างสรรพสินค้า ระหว่างที่ปณิชากำลังเดินเอาของมาเก็บที่รถก็ได้รับสายจากศุภกิจพอดี “สวัสดีค่ะพี่ใหญ่”“สวัสดีจ้ะเหมย ตอนนี้อยู่ที่ไหนทำไมเสียงดังจังเลย”“เหมยออกมาซื้อของที่ห้างค่ะ พี่ใหญ่มีธุระอะไรกับเหมยหรือเปล่าหรืออยากให้เหมยช่วยอะไรไหมคะ”“อยู่ห้างแถวไหนล่ะ”ปณิชาบอกชื่อห้างสรรพสินค้าที่ตนเองกำลังเดินอยู่ให้กับพี่ชายฟังอีกฝ่ายก็ถามกลับ“รีบไปไหนหรือเปล่า”“ไม่หรอกค่ะ พี่ใหญ่จะให้เหมยทำอะไรหรือเปล่า”“เปล่าหรอกพี่เพิ่งเลิกงาน เรานัดเจอกันหน่อยดีไหม พี่กำลังอยากหาเพื่อนกินข้าวอยู่พอดีเลย”“ได้ค่ะเดี๋ยวเหมยเอาของไปเก็บที่รถถ้าพี่ใหญ่มาถึงก็โทรบอกนะคะเดี๋ยวมเหมยจะไปหาพี่เองค่ะ”“ได้ครับ เหมยรอพี่ไม่น่าจะเกิน 20 นาทีนะ”“แล้วพี่ใหญ่จะมายังไงคะ”“พี่นั่งวินหน้าโรงพยาบาลไปก็ได้”“ให้เหมยไปรับดีกว่าไหมคะ”“ไม่เป็นไรหรอกพี่ไปเองแบบนี้มันน่าจะสะดวกกว่า”“ก็ได้ค่ะพี่ใหญ่”ปณิชาเดินเอาของไปเก็บที่รถจากนั้นก็เดินไปเตร็ดเตร่อยู่แถวหน้าห้างพอศุภกิจลงจากวินมอเตอร์ไซด์เธอก็รีบเข้าไปทักทายทั
ตุลธรมองนาฬิกาข้อมือซึ่งขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงตรง วันนี้เป็นวันอาทิตย์ซึ่งเขาจะต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนที่ปณิชาทำงานอยู่ ชายหนุ่มไม่อยากไปเลยแต่วันนี้หมอปรียาภัทรไม่ว่างจึงไปออกตรวจแทนเขาไม่ได้ตั้งแต่คุยกับปณิชาเมื่อเย็นวันพุธเขากับเธอก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย และนี่เป็นครั้งแรกที่จะเผชิญหน้ากับหญิงสาว ตุลธรไม่รู้ว่าตัวเองจะมองหน้าเธอได้หรือเปล่าเนื่องจากเขากลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนและกลับไปรักเธออีกครั้งเมื่อมาถึงโรงพยาบาลตุลธรก็เห็นว่าปณิชานั้นยิ้มแย้มแจ่มใสกับคนไข้อย่างเคย หัวใจเขากระตุกวูบและรู้สึกหวั่นไหวจนต้องเบือนหน้าหนี“สวัสดีค่ะหมอตุลย์” ปณิชากล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มอย่างเคย หากแต่แววตาที่มองนั้นมันว่างเปล่าไม่มีความรักหลงเหลืออยู่ในนั้นอีกแล้ว ตุลธรรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เขาเป็นคนตัดสัมพันธ์กับเธอเองแต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าตนเองนั้นทำผิดพลาด“สวัสดีครับ”“หมอมีคนไข้รออยู่ 4 คนนะคะ เดี๋ยวเหมยจะให้แพรวาเรียกไปรอหน้าห้องตรวจค่ะ”“ขอบคุณครับ” ตลอดทั้งบ่ายอาทิตย์ชายหนุ่มมักจะมองออกไปยังห้องตรงข้ามซึ่งเป็นห้องสำหรับฉีดวัคซีนเขาเห็นปณิชาทำงานด้วยรอยยิ้มก็เผลอมองอยู่นาน ตุลธ
ปณิชานั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถจนกระทั่งถึงเวลาสองทุ่ม เมื่อเห็นตุลธรเดินออกมาจากคลินิกเธอก็รีบเปิดประตูออกแล้วเดินเข้าไปหาเขาทันที“หมอตุลย์คะ เหมยว่าเราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”“ผมเหนื่อยมากนะเหมยเอาไว้คุยกันวันหลังได้ไหม”“หมอจะบ่ายเบี่ยงไปถึงไหนมีอะไรก็พูดมาตรงๆ”“คุณอยากให้ผมพูดตรงๆ กับคุณมากใช่ไหม”หญิงสาวรู้สึกแปลกเพราะสรรพนามที่เขาใช้เรียกเธอนั้นมันเปลี่ยนไปแต่ก่อนเขาเรียกชื่อเล่นแต่ตอนนี้เขาแทนชื่อเธอด้วยคำว่าคุณซึ่งมันแสดงออกถึงความห่างเหิน“ค่ะ เหมยอยากรู้ว่าระหว่างเรามันเกิดอะไรขึ้นทำไมหมอถึงเปลี่ยนไปแบบนี้”“ผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ”“แล้วที่ผ่านมาคืออะไรคะ หมอหลอกเหมยมาตลอดเหรอคะว่ารักเหมย”“มันก็แค่คำพูดของผู้ชายน่ะเจ้าชู้” ตุลธรยิ้มมุมปากแววตาที่มองเธอวันนี้มันต่างไป มันไม่หลงเหลือความรู้สึกอะไรในนั้นเลย“เหมยไม่คิดเลยนะคะว่าหมอที่จิตใจดีและอ่อนโยนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแบบนี้”“แล้วคุณคาดหวังจะให้ผมเป็นยังไงล่ะ”“เหมยก็คิดว่าคุณแตกต่างจากผู้ชายคนอื่นแต่จริงๆ แล้วก็ไม่เลยสักนิด”“คุณอย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับคนรักเก่าของคุณ”“ทำไมจะเปรียบเทียบไม่ได้ล่ะคะ ในเมื่อคุณก็ไ
ระหว่างที่ตุลธรไปประชุมที่สิงคโปร์ปณิชาก็มีเรื่องวุ่นเกิดขึ้นเพราะลูกชายของลุงสุพจน์ย้ายมาทำงานที่เมืองไทยเขาอยากได้คอนโดมิเนียมที่เธออาศัยอยู่ในตอนนี้เนื่องจากชายหนุ่มยังไม่ชินกับถนนเมืองไทยจึงอยากย้ายมาอยู่คอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าการเดินทางมาทำงานก็สะดวกกว่าคอนโดมิเนียมของตนเองศุภกิจหรือพี่ใหญ่จึงยื่นข้อเสนอให้ปณิชาย้ายไปอยู่ที่คอนโดมิเนียมของตัวเอง โดยจะซื้อรถยนต์คันใหม่ให้เธอพร้อมกับให้เงินเธออีกก้อนหนึ่งเป็นค่าน้ำมันที่ต้องเพิ่มขึ้นเนื่องจากคอนโดที่จะต้องย้ายไปนั้นอยู่ไกลกว่าที่เดิมประมาณ 5 กิโลเมตรปณิชาคิดว่ามันไม่ได้ลำบากอะไรถ้าหากหญิงสาวจะต้องตื่นเช้าอีกสักนิดเพื่อจะขับรถมาทำงานเพราะเธอเองก็คุ้นเคยกับถนนเส้นนี้ดีต่างจากศุภกิจที่ไปอยู่อเมริกานานนับสิบปี เธอจึงตอบตกลงโดยไม่คิดอะไรมากปณิชาไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับตุลธรเพราะมันเรื่องภายในครอบครัวอีกทั้งตอนนี้เขาก็กำลังยุ่งอยู่กับการประชุมเธอคิดจะบอกคนรักในวันที่เขากลับมาถึงเมืองไทยแล้วปณิชาใช้เวลาไม่นานก็ย้ายของทั้งหมดของตัวเองไปยังคอนโดมิเนียมแห่งใหม่โดยครั้งนี้มีอารดาและพาขวัญมาช่วย“ที่นี่น่าอยู่ไม่แพ้ที่เ
หลังจากส่งคนรักถึงขอบสวรรค์ไปแล้วตุลธรก็พลิกให้เธอลงมาอยู่ด้านล่าง เขามองหน้าเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ก่อนจะบดจูบลงบนริมฝปากบางอยางดูดดื่ม ฝ่ามือร้อนคลึงเคลาสองปทุมอวบอิ่มอย่างมันมือ ปลายนิ้วสะกิดยอดปทุมถันปลุกเร้าจนเสียงหวานครางระงม“อื้อ....หมอตุลย์”จูบจนพอใจเขาก็ลากไล้ความเปียกชื้นไปตามซอกคอหอมกรุ่น ขบเม้มดูดดึงไปตามแรงอารมณ์ที่กำลังพุ่งสูง ผิวเนียนนุ่มขึ้นรอยแดงไปทั่วทุกจุดที่ปากร้อนเลื่อนผ่านและมาหยุดที่ยอดถันสีสวย ตุลธรไม่รอช้าที่จะดูดกินอย่างหิวกระหายขณะที่ท่อนเอ็นร้อนก็กำลังกดเข้าหาความอุ่นของโพรงสวาทอีกครั้ง“อ๊ะ....”“เจ็บเหรอ”ปณิชาส่ายหน้า เธอมองหน้าคนรักแล้วยิ้มยั่วขณะขมิบช่องทางรักทักทายท่อนเอ็นของเขาเป็นจังหวะ“อ้าห์.....จะฆ่าผมให้ตายคาอกเลยใช่ไหม” ตุลธรกัดกรามแน่นแล้วเขาก็เริ่มขยับสะโพกเป็นจังหวะอีกครั้งเพราะถ้ายังอยู่นิ่งปณิชาคงใช้ความอ่อนนุ่มรัดเขาจนแตกเร็วแน่ๆ “อื้ม...หมอขาเหมยเสียว” เธอครางหวานร่างกายสั่นสะท้านเมื่อเขากระแทกกระทั้นตัวเข้าหา ท่อนเอ็นแข็งร้อนเคลื่อนเข้าออกโพรงอุ่นสุดความยาวครั้งแล้วครั้งเล่า เสี