หลังเลิกงานปณิชาก็พาอารดาน้องผู้ช่วยพยาบาลและพาขวัญเพื่อนสนิทมายังคอนโดมิเนียมที่เธอย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว
“น่าอยู่มากเลยเหมยคงแพงน่าดูใช่ไหม”
“นั่นสิคะห้องนี้ราคาเท่าไหร่คะพี่เหมย” อารดาที่เดินสำรวจไปทั่วห้องก็ถามขึ้น
“พี่ไม่รู้ราคาหรอก พอดีว่ามันเป็นห้องของพ่อเลี้ยงน่ะ พอหมดสัญญาเช่าลุงเขาก็เลยให้เหมยเข้ามาอยู่ ถ้าจะให้เหมยซื้อหรือเช่าเองก็คงไม่ไหว” ปณิชาหมายถึงลุงสุพจน์นักธุรกิจส่งออกที่แต่งงานกับมารดาของเธอหลังจากที่บิดาเธอเสียชีวิตไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน
“พ่อเลี้ยงของพี่เหมยคงรวยมากๆ นะคะ”
“ก็คงรวยประมาณหนึ่งแหละเขาทำธุรกิจหลายอย่างพี่เองก็ไม่ค่อยสนิทกับเขาเท่าไหร่หรอกนะ เพราะตอนที่แม่แต่งงานใหม่พี่ก็ออกมาอยู่หอพักที่มหาวิทยาลัยแล้ว” ปณิชาอธิบายให้เพื่อนรุ่นน้องฟัง
“แต่ก็ดีนะคะมาอยู่ที่นี่อรว่าสะดวกสบายเยอะเลยค่ะ ห้องก็กว้างกว่าหอพักข้างโรงพยาบาลเยอะเลย”
“ถ้าได้หยุดตรงกันเรามานอนดูซีรีส์ก็ได้นะ”
“พูดง่ายแต่ทำยากมากเลยนะเหมย”
คำพูดของพาขวัญทำให้หญิงสาวทั้งสามคนหัวเราะเพราะพยาบาลแผนกเดียวกันจะได้หยุดพร้อมกันสองคนมันค่อนข้างยาก
“งั้นก็เอาเป็นวันที่เราลงเวรเช้าพร้อมกันก็ได้นะ”
“แบบนี้ค่อยเป็นไปได้หน่อย”
แผนกผู้ป่วยนอกที่พวกเธอทำงานอยู่นั้นจะเปิดบริการทุกวันตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงสองทุ่ม แต่พยาบาลที่ขึ้นโอทีระหว่างสี่โมงเย็นถึงสองทุ่มนั้นจะลดลงเหลือแค่ครึ่งหนึ่งของทั้งหมด
ระหว่างคุยกันทั้งสามคนก็ช่วยเอาของออกกล่องและจัดวางจนทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยในเวลาไม่นาน
“จัดของเสร็จแล้วพี่เหมยอย่าลืมสัญญานะคะ”
“สัญญาอะไรพี่ลืมไปแล้วนะอร”
“พี่ขวัญคะ ดูพี่เหมยสิหลอกให้อรใช่วยจัดของแล้วก็ทำเป็นลืม”
“พี่ก็นึกว่าอรจะลืมไง ส่วนพี่น่ะจำได้อยู่แล้ว” ปณิชาพูดแล้วก็หัวเราะก่อนจะเดินไปหยิบน้ำอัดลมในตู้มาส่งให้กับพาขวัญและอารดาส่วนตัวเองนั้นเลือกดื่มน้ำเปล่าเพราะเคยป่วยด้วยอาการปวดท้องจากแผลในกระเพาะ
“เล่ามาเลยค่ะพี่เหมย เล่ามาให้หมดว่าทำไมถึงไม่ชอบหมอ”
“พี่ไม่ได้ไม่ชอบหมอพี่แค่ไม่อยากจะเกี่ยวข้องเท่านั้นเอง”
“มันก็ต่างกันเลยนะคะพี่เหมยแล้วสาเหตุที่พี่ไม่อยากจะเกี่ยวข้องด้วยเพราะอะไรคะ”
“แต่ก่อนตอนพี่เรียนจบใหม่ๆ พี่คบกับหมออยู่คนหนึ่งเขามาเป็นอินเทิร์นในโรงพยาบาลที่พี่ทำงานอยู่ เขากับพี่สนิทกันมาก จากความสัมพันธ์แบบเพื่อนร่วมงานก็กลายมาเป็นแฟน ช่วงนั้นพี่มีความสุขมากเลยนะ อยากมาทำงานทุกวันเพื่อจะได้เจอหน้าเขา แต่การคบกันของเราคนอื่นจะไม่รู้นะ เพราะเราทั้งสองเพิ่งเริ่มทำงาน ในที่ทำงานเราก็จะเป็นเหมือนเพื่อนร่วมงานแต่พอเลิกงานเราก็จะโทรคุยกันบางครั้งก็ไปดูหนังไปทานข้าวด้วยกันบ้าน”
“แล้วคนอื่นไม่รู้เหรอคะ”
“ไม่หรอกเพราะวันที่เราไปคนอื่นเขาก็ทำงานกันไงล่ะ”
“อ๋อ” อารดาพยักหน้าเข้าใจ
“เราได้ใกล้ชิดกันหลายเดือน จากนั้นเขาก็วนไปทำงานที่แผนกอื่นแต่ก็ยังคุยกันตลอด”
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นคะ พี่กับเขาทะเลาะกันเหรอ”
“เปล่าเลย เราไม่เคยทะเลาะกันสักครั้ง เขาเป็นคนสุภาพใจเย็นมาก”
“พี่เหมยคงรักเขามาก”
“อย่าเรียกว่ารักเลยอร พี่ว่าตอนนั้นพี่เหมยของอรน่ะหลงเขามากกว่า” พาขวัญที่รู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกพูดเสริมขึ้น
“เขาหล่อมากไหมคะ”
“หล่อสิ ถ้าไม่หล่อพี่จะหลงเขาเหรอ พี่ยอมรับเลยว่าหลงทั้งหน้าตาและคารมของเขา”
“แล้วพี่เลิกกันเพราะอะไรคะ”
“จนถึงวันนี้พี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าเราเลิกกันเพราะอะไร
“จู่ๆ เขาก็ติดต่อไม่ได้จากที่เคยโทรหาวันละครั้งก็ไม่ติดต่อ พอเวลานานไปเราสองคนก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ถึงตอนนี้พี่ก็ยังสงสัยอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างพี่กับเขา”
“พี่ก็รู้ว่าเขาทำงานที่ไปแล้วทำไมไม่ไปถามล่ะคะ”
“ใครว่าพี่ไปถามล่ะ พี่ไปแล้วนะแต่เขาทำเหมือนไม่เคยรู้จักพี่มาก่อน เขาเดินผ่านพี่ไปโดยไม่มองแม้แต่หางตา”
“ใจร้ายละเย็นชามาก”
“พี่ก็คิดว่าอย่างนั้น เขาบล็อกเบอร์โทรศัพท์ของพี่ พอพี่เอาเบอร์คนอื่นไปเขาก็รับนะแต่พอรู้ว่าเป็นพี่ที่โทรไปเขาก็เงียบ ตอนนั้นพี่เหมือนคนบ้าเลยนะ โทรหาเขาแล้วพูดคนเดียว”
“ตอนนั้นสภาพของเหมยดูแย่มาก หน้าตาอิดโรยมาทำงานทุกวัน แต่ที่แย่กว่านั้นคือเขากลับมาที่แผนกอีกครั้งแต่ดูเหมือนเขาจะลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น”
“เขาเลือดเย็นเกินไปแล้วนะ”
“ใช่ เลือดเย็นมาก เขามาที่วอร์ดและทักทายทุกคนยกเว้นพี่ เขามองผ่านไปเหมือนพี่ไม่เคยมีตัวตนในสายตาของเขาเลย พี่ทนสภาพแบบนั้นประมาณหนึ่งเดือนก็ขอลาออก” ปณิชาเล่าด้วยเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้
“พี่เหมย อรขอโทษนะคะถามเรื่องนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกตอนนี้พี่ทำใจได้แล้ว”
“แต่อรว่าพี่กำลังจะร้องไห้อยู่นะคะ”
“ที่พี่จะร้องไห้ไม่ใช่เพราะเสียใจที่ถูกเขาทิ้งหรอกนะ แต่พี่รู้สึกดีที่ได้ระบายมันออกมาบ้าง”
“ถ้าเลิกกันแบบนี้อรว่าทะเลาะกันแล้วเลิกกันยังจะดีกว่านะคะ”
“พี่ก็เห็นด้วยกับอรนะ แบบนี้มันเหมือนทิ้งปมไว้ในใจ” พาขวัญทั้งสงสารและเห็นใจปณิชามากแต่ก็รู้จะช่วยยังไง
“ใช่ค่ะ แบบนี้หมอคนอื่นอยากจะจีบพี่เหมยก็คงหมดสิทธิ์ แล้วที่พี่นุชบอกว่าพี่เหมยชอบเด็กล่ะคะเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า”
“ไม่เกี่ยวกันหรอกจ้ะ พี่ก็แค่แกล้งบอกพี่นุชไปแบบนั้นเพราะพี่นุชชอบแนะเพื่อนผู้ชายให้พี่รู้จักแล้วพวกเขาก็อายุมากกว่าพี่กันทั้งนั้น พี่ยังไม่อยากมีแฟนก็เลยบอกกับพี่นุชไปว่าพี่ชอบเด็ก” ปณิชาอธิบายเหตุผลให้กับอารดาและพาขวัญ
แล้วก็ถึงวันที่ปณิชาจะต้องเดินทางไปเที่ยวคนเดียวตามลำพังเธอตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้มาก ถึงแม้ว่าก่อนการเดินทางเธอจะเตรียมพร้อมเรื่องภาษามาอย่างดีแต่ก็ยังกังวลว่าจะสื่อสารให้คนอื่นฟังไม่รู้เรื่องตั๋วเครื่องบินที่พี่ชายให้มาเป็นตัวบินตรงจากกรุงเทพมายังสนามบินปรากวาคลาฟฮาเวลซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองปรากไม่ถึง 20 กิโลเมตร พี่ชายของเธอบอกว่าพอลงจากเครื่องก็จะมีรถของโรงแรมมารับให้เธอคอยสังเกตเพราะเขาจะถือป้ายชื่อมาคอยต้อนรับปณิชามองหาคนจากโรงแรมที่พี่ชายบอกว่าจะมารัก แต่มองเท่าไหร่ก็ยังไม่เจอป้ายชื่อของตัวเอง หญิงสาวยิ้มกว้างเมื่อเห็นป้ายหนึ่งเขียนว่า Will you marry me? เธอรู้สึกว่าไม่มันเป็นอะไรที่โรแมนติกมากที่ขอแต่งงานกลางสนามบินแบบ ปณิชา รู้สึกอิจฉาผู้หญิงคนนั้นเหลือเกินที่มีคนทำเรื่องเซอร์ไพรซ์แบบนี้หญิงสาวกำลังเดินมาใกล้จุดที่คนถือป้ายเรื่อยๆ และพอเดินเข้าใกล้ด้านหน้าหน้าก็มีอีกป้ายหนึ่งปรากฏขึ้นซึ่งมันเขียนด้วยภาษาไทยตัวโตๆ ว่า “เหมย” หญิงสาวเลยรีบเดินเข้าไปเพราะคิดว่าเป็นคนจากโรงแรมและบังเอิญมายืนผิดตำแหน่ง“เหมยแต่งงานกันนะ” เสียงที่พูดขึ้นมาทำให้หญิงสาวหยุดชะงักแล
ปณิชาไม่ต้องไปทำงานที่คลินิกของหมอตุลธรแล้วเย็นนี้เธอจึงมีเวลาออกมาเดินซื้อของใช้จำเป็นที่ห้างสรรพสินค้า ระหว่างที่ปณิชากำลังเดินเอาของมาเก็บที่รถก็ได้รับสายจากศุภกิจพอดี “สวัสดีค่ะพี่ใหญ่”“สวัสดีจ้ะเหมย ตอนนี้อยู่ที่ไหนทำไมเสียงดังจังเลย”“เหมยออกมาซื้อของที่ห้างค่ะ พี่ใหญ่มีธุระอะไรกับเหมยหรือเปล่าหรืออยากให้เหมยช่วยอะไรไหมคะ”“อยู่ห้างแถวไหนล่ะ”ปณิชาบอกชื่อห้างสรรพสินค้าที่ตนเองกำลังเดินอยู่ให้กับพี่ชายฟังอีกฝ่ายก็ถามกลับ“รีบไปไหนหรือเปล่า”“ไม่หรอกค่ะ พี่ใหญ่จะให้เหมยทำอะไรหรือเปล่า”“เปล่าหรอกพี่เพิ่งเลิกงาน เรานัดเจอกันหน่อยดีไหม พี่กำลังอยากหาเพื่อนกินข้าวอยู่พอดีเลย”“ได้ค่ะเดี๋ยวเหมยเอาของไปเก็บที่รถถ้าพี่ใหญ่มาถึงก็โทรบอกนะคะเดี๋ยวมเหมยจะไปหาพี่เองค่ะ”“ได้ครับ เหมยรอพี่ไม่น่าจะเกิน 20 นาทีนะ”“แล้วพี่ใหญ่จะมายังไงคะ”“พี่นั่งวินหน้าโรงพยาบาลไปก็ได้”“ให้เหมยไปรับดีกว่าไหมคะ”“ไม่เป็นไรหรอกพี่ไปเองแบบนี้มันน่าจะสะดวกกว่า”“ก็ได้ค่ะพี่ใหญ่”ปณิชาเดินเอาของไปเก็บที่รถจากนั้นก็เดินไปเตร็ดเตร่อยู่แถวหน้าห้างพอศุภกิจลงจากวินมอเตอร์ไซด์เธอก็รีบเข้าไปทักทายทั
ตุลธรมองนาฬิกาข้อมือซึ่งขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงตรง วันนี้เป็นวันอาทิตย์ซึ่งเขาจะต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนที่ปณิชาทำงานอยู่ ชายหนุ่มไม่อยากไปเลยแต่วันนี้หมอปรียาภัทรไม่ว่างจึงไปออกตรวจแทนเขาไม่ได้ตั้งแต่คุยกับปณิชาเมื่อเย็นวันพุธเขากับเธอก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย และนี่เป็นครั้งแรกที่จะเผชิญหน้ากับหญิงสาว ตุลธรไม่รู้ว่าตัวเองจะมองหน้าเธอได้หรือเปล่าเนื่องจากเขากลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนและกลับไปรักเธออีกครั้งเมื่อมาถึงโรงพยาบาลตุลธรก็เห็นว่าปณิชานั้นยิ้มแย้มแจ่มใสกับคนไข้อย่างเคย หัวใจเขากระตุกวูบและรู้สึกหวั่นไหวจนต้องเบือนหน้าหนี“สวัสดีค่ะหมอตุลย์” ปณิชากล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มอย่างเคย หากแต่แววตาที่มองนั้นมันว่างเปล่าไม่มีความรักหลงเหลืออยู่ในนั้นอีกแล้ว ตุลธรรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เขาเป็นคนตัดสัมพันธ์กับเธอเองแต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าตนเองนั้นทำผิดพลาด“สวัสดีครับ”“หมอมีคนไข้รออยู่ 4 คนนะคะ เดี๋ยวเหมยจะให้แพรวาเรียกไปรอหน้าห้องตรวจค่ะ”“ขอบคุณครับ” ตลอดทั้งบ่ายอาทิตย์ชายหนุ่มมักจะมองออกไปยังห้องตรงข้ามซึ่งเป็นห้องสำหรับฉีดวัคซีนเขาเห็นปณิชาทำงานด้วยรอยยิ้มก็เผลอมองอยู่นาน ตุลธ
ปณิชานั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถจนกระทั่งถึงเวลาสองทุ่ม เมื่อเห็นตุลธรเดินออกมาจากคลินิกเธอก็รีบเปิดประตูออกแล้วเดินเข้าไปหาเขาทันที“หมอตุลย์คะ เหมยว่าเราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”“ผมเหนื่อยมากนะเหมยเอาไว้คุยกันวันหลังได้ไหม”“หมอจะบ่ายเบี่ยงไปถึงไหนมีอะไรก็พูดมาตรงๆ”“คุณอยากให้ผมพูดตรงๆ กับคุณมากใช่ไหม”หญิงสาวรู้สึกแปลกเพราะสรรพนามที่เขาใช้เรียกเธอนั้นมันเปลี่ยนไปแต่ก่อนเขาเรียกชื่อเล่นแต่ตอนนี้เขาแทนชื่อเธอด้วยคำว่าคุณซึ่งมันแสดงออกถึงความห่างเหิน“ค่ะ เหมยอยากรู้ว่าระหว่างเรามันเกิดอะไรขึ้นทำไมหมอถึงเปลี่ยนไปแบบนี้”“ผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ”“แล้วที่ผ่านมาคืออะไรคะ หมอหลอกเหมยมาตลอดเหรอคะว่ารักเหมย”“มันก็แค่คำพูดของผู้ชายน่ะเจ้าชู้” ตุลธรยิ้มมุมปากแววตาที่มองเธอวันนี้มันต่างไป มันไม่หลงเหลือความรู้สึกอะไรในนั้นเลย“เหมยไม่คิดเลยนะคะว่าหมอที่จิตใจดีและอ่อนโยนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแบบนี้”“แล้วคุณคาดหวังจะให้ผมเป็นยังไงล่ะ”“เหมยก็คิดว่าคุณแตกต่างจากผู้ชายคนอื่นแต่จริงๆ แล้วก็ไม่เลยสักนิด”“คุณอย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับคนรักเก่าของคุณ”“ทำไมจะเปรียบเทียบไม่ได้ล่ะคะ ในเมื่อคุณก็ไ
ระหว่างที่ตุลธรไปประชุมที่สิงคโปร์ปณิชาก็มีเรื่องวุ่นเกิดขึ้นเพราะลูกชายของลุงสุพจน์ย้ายมาทำงานที่เมืองไทยเขาอยากได้คอนโดมิเนียมที่เธออาศัยอยู่ในตอนนี้เนื่องจากชายหนุ่มยังไม่ชินกับถนนเมืองไทยจึงอยากย้ายมาอยู่คอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าการเดินทางมาทำงานก็สะดวกกว่าคอนโดมิเนียมของตนเองศุภกิจหรือพี่ใหญ่จึงยื่นข้อเสนอให้ปณิชาย้ายไปอยู่ที่คอนโดมิเนียมของตัวเอง โดยจะซื้อรถยนต์คันใหม่ให้เธอพร้อมกับให้เงินเธออีกก้อนหนึ่งเป็นค่าน้ำมันที่ต้องเพิ่มขึ้นเนื่องจากคอนโดที่จะต้องย้ายไปนั้นอยู่ไกลกว่าที่เดิมประมาณ 5 กิโลเมตรปณิชาคิดว่ามันไม่ได้ลำบากอะไรถ้าหากหญิงสาวจะต้องตื่นเช้าอีกสักนิดเพื่อจะขับรถมาทำงานเพราะเธอเองก็คุ้นเคยกับถนนเส้นนี้ดีต่างจากศุภกิจที่ไปอยู่อเมริกานานนับสิบปี เธอจึงตอบตกลงโดยไม่คิดอะไรมากปณิชาไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับตุลธรเพราะมันเรื่องภายในครอบครัวอีกทั้งตอนนี้เขาก็กำลังยุ่งอยู่กับการประชุมเธอคิดจะบอกคนรักในวันที่เขากลับมาถึงเมืองไทยแล้วปณิชาใช้เวลาไม่นานก็ย้ายของทั้งหมดของตัวเองไปยังคอนโดมิเนียมแห่งใหม่โดยครั้งนี้มีอารดาและพาขวัญมาช่วย“ที่นี่น่าอยู่ไม่แพ้ที่เ
หลังจากส่งคนรักถึงขอบสวรรค์ไปแล้วตุลธรก็พลิกให้เธอลงมาอยู่ด้านล่าง เขามองหน้าเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ก่อนจะบดจูบลงบนริมฝปากบางอยางดูดดื่ม ฝ่ามือร้อนคลึงเคลาสองปทุมอวบอิ่มอย่างมันมือ ปลายนิ้วสะกิดยอดปทุมถันปลุกเร้าจนเสียงหวานครางระงม“อื้อ....หมอตุลย์”จูบจนพอใจเขาก็ลากไล้ความเปียกชื้นไปตามซอกคอหอมกรุ่น ขบเม้มดูดดึงไปตามแรงอารมณ์ที่กำลังพุ่งสูง ผิวเนียนนุ่มขึ้นรอยแดงไปทั่วทุกจุดที่ปากร้อนเลื่อนผ่านและมาหยุดที่ยอดถันสีสวย ตุลธรไม่รอช้าที่จะดูดกินอย่างหิวกระหายขณะที่ท่อนเอ็นร้อนก็กำลังกดเข้าหาความอุ่นของโพรงสวาทอีกครั้ง“อ๊ะ....”“เจ็บเหรอ”ปณิชาส่ายหน้า เธอมองหน้าคนรักแล้วยิ้มยั่วขณะขมิบช่องทางรักทักทายท่อนเอ็นของเขาเป็นจังหวะ“อ้าห์.....จะฆ่าผมให้ตายคาอกเลยใช่ไหม” ตุลธรกัดกรามแน่นแล้วเขาก็เริ่มขยับสะโพกเป็นจังหวะอีกครั้งเพราะถ้ายังอยู่นิ่งปณิชาคงใช้ความอ่อนนุ่มรัดเขาจนแตกเร็วแน่ๆ “อื้ม...หมอขาเหมยเสียว” เธอครางหวานร่างกายสั่นสะท้านเมื่อเขากระแทกกระทั้นตัวเข้าหา ท่อนเอ็นแข็งร้อนเคลื่อนเข้าออกโพรงอุ่นสุดความยาวครั้งแล้วครั้งเล่า เสี