วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว...
ความเศร้าเมื่อครั้งเก่าก่อนค่อย ๆ เลือนหาย หลงเหลือเพียงความทรงจำที่ดีเอาไว้ให้เหมยลี่ได้หวนคิดถึงพ่อแม่ผู้จากไป เด็กสาวอายุสิบแปดปีเติบโตมาท่ามกลางผู้คนที่ให้ความรักความเอ็นดูเธอเหมือนอย่างที่พ่อเคยบอกเอาไว้ไม่มีผิด เห็นทีพ่อกับแม่คงวางเส้นทางอนาคตไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้วละมั้ง
เฉียนเปาและภาวินีน่าจะมั่นใจว่าครอบครัวของรุ่นพี่คนสนิทจะดูแลลูกสาวให้อย่างดี ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หัสดินและเยาวมาศไม่เพียงแต่มอบที่อยู่อาศัยและความอบอุ่น ทั้งสองยังส่งเสียเหมยลี่ให้เรียนหนังสือ จนกระทั่งเด็กสาวใกล้จะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก
แน่นอนว่าต่อให้ได้รับการส่งเสริมเรื่องการเงินอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เหมยลี่ก็ไม่ลำพองตน เธอตั้งใจเรียนให้สมกับที่ท่านทั้งสองให้ความเมตตา จนในที่สุดก็สามารถสอบเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชื่อดังได้ในที่สุด
ตอนนี้เหลือเพียงสอบวิชาสุดท้าย ชีวิตวัยมัธยมของเธอก็จะจบลงอย่างสวยงาม
ทุกอย่างเหมือนกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี จะมีก็แต่เยาวมาศที่พักหลังมานี้สุขภาพร่างกายเริ่มไม่ค่อยแข็งแรงนัก หญิงวัยกลางคนมีโรคประจำตัวเป็นโรคความดันสูง ยิ่งนานวันอาการยิ่งหนักและมีโรคแทรกซ้อนจนไม่สามารถลงมาเดินชมสวนดอกไม้หน้าบ้านเธอได้เหมือนเมื่อก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเหมยลี่ก็ไม่ปล่อยให้คุณป้านอนเหงาอยู่ในห้องลำพัง
หลังเลิกเรียนเหมยลี่จะทำหน้าที่ดูแลเยาวมาศอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ตั้งแต่พาคุณป้าเดินเข้าห้องน้ำ อ่านหนังสือให้ฟัง นำอาหารขึ้นมาเสิร์ฟ รอจนกว่าหัสดินและเหมราชจะสะสางงานเสร็จกลับมาอยู่เป็นเพื่อนเยาวมาศ
การดูแลเยาวมาศจึงตกเป็นหน้าที่สำคัญที่เหมยลี่ยินดีและเต็มใจจะทำ แต่หากมีความจำเป็นอย่างต้องอ่านหนังสือสอบ เด็กรับใช้คนอื่น ๆ ในบ้านก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนเยาวมาศแทน
“เหมย มานั่งตรงนี้สิจ๊ะ” เยาวมาศนั่งพิงพนักหัวเตียงกวักมือเรียกเด็กสาวให้เดินเข้าไปหา
เหมยลี่เข้าไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงอย่างกระตือรือร้น “คุณป้าอยากได้อะไรหรือเปล่าคะเดี๋ยวหนูไปเอามาให้ หรือว่าคุณป้าอยากลงไปเดินเล่นสูดอากาศข้างล่างคะ”
“ไม่จ้ะ ป้าแค่อยากคุยกับหนูเฉย ๆ” หญิงวัยกลางคนคลี่ยิ้มอ่อนโยน
“คะ? มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
“เดี๋ยวเราก็จะเรียนจบแล้วนะ เหมยคิดหรือยังว่าอยากทำงานอะไร”
“โธ่ คุณป้าคะ เหมยเพิ่งเรียนจบม.ปลายเอง ยังไม่ทันคิดเลยค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เหมยจะรีบค้นหาตัวเองให้เจอแน่ ๆ” คนเป็นหลานตอบตามความจริง
“ป้ารู้จ้ะ ป้ารู้มาตลอดว่าเหมยตั้งใจเรียนและไม่มีวันทำให้ป้าผิดหวัง แต่ป้าแค่เป็นห่วง ถ้าเป็นไปได้ป้าก็อยากให้เหมยช่วยงานเหมที่บริษัท ถ้าได้เป็นเลขาของพี่เขาน่าจะดีที่สุดนะ ยังไงก็คนกันเองทั้งนั้น”
รอยยิ้มของเหมยลี่หุบลงทันทีเมื่อคิดถึงคนที่เยาวมาศเอ่ยถึง
“คุณป้าพูดเหมือนเค้าจะอยากให้หนูไปทำงานด้วย...” เด็กสาวแอบทำหน้ามุ่ยนิดหน่อย
ตั้งแต่วันนั้น...วันที่เหมราชไปหาเธอที่บ้านเล็ก เหมยลี่ก็รู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไรไม่ให้เขาต้องอึดอัด จริงอยู่ว่าเหมราชไม่ได้เกลียดเธอ แต่ชายหนุ่มทำเหมือนเธอเป็นเพียงอากาศธาตุ หากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ เขาแทบไม่เคยเอ่ยถามหรือพูดอะไรกับเธอเลย
จะมีก็แต่เธอ...ที่เผลอไผลนึกถึงถ้อยคำและการกระทำอ่อนโยนของเขาแค่ครั้งนั้นครั้งเดียวไม่เลิกรา
แค่ครั้งเดียวที่เขามอบความใจดีให้ แต่มันกลับฝังลึกสลักแน่นอยู่ในความทรงจำของเด็กคนหนึ่งที่กำลังหลงทางอย่างเธอ จนผ่านมานานหลายปีแล้วก็ยังไม่เลือนรางไป
“เหมไม่ใช่คนใจร้ายแบบนั้นหรอก ป้ารู้นะว่าเหมยชอบเกร็งเวลาโดนพี่เขาทำหน้ายักษ์ใส่ แต่ความจริงแล้วเหมน่ะเป็นห่วงเหมยมากนะ เรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเหมย พี่เขาก็เป็นคนขอรับผิดชอบเองทั้งหมด”
“คุณเหมคงไม่อยากให้คุณลุงคุณป้าต้องเหนื่อยน่ะสิคะ”
“เรานี่จริง ๆ เลย เอาเถอะ เหมยไม่ต้องกังวลนะลูก ยังไงเหมยก็เป็นคนในครอบครัวของป้า พวกเรารักเหมยมากนะ” เยาวมาศลูบศีรษะหลานรักที่เมื่อก่อนเคยมองด้วยความเอ็นดูอย่างไร วันนี้ก็ยังเป็นเหมือนเก่า
“หนูก็รักคุณลุงคุณป้าเหมือนกันค่ะ” เด็กสาวตอบด้วยรอยยิ้ม
ติ๊ด ๆ ๆ
“เอ่อ หนูขอไปรับสายก่อนนะคะ” คนตัวเล็กหยิบโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นมาดู ปรากฏว่าคนโทรเข้ามาคือ ‘แพรวา’ เพื่อนสนิทของเธอเอง
“ว่าไงจ๊ะแพร”
“เหมยยยย วันมะรืนมีสอบภาษาอังกฤษใช่ไหม คือว่าเค้าอยากให้เหมยมาช่วยติวหน่อยได้หรือเปล่า”
“ได้สิ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเค้าไปหาที่บ้านนะ”
“ไม่ ๆ คืองี้ พอดีว่าพรุ่งนี้ที่บ้านเค้าจะไปทำธุระที่ต่างจังหวัด เค้าก็เลยเครียดอยู่ว่าจะไม่มีเวลาอ่านหนังสือ ถ้าเหมยไม่ติดอะไร คืนนี้ออกมาหาเค้าได้ไหม...น้าาา นะ ๆ เค้าขอเวลาไม่นานแค่สักสองชั่วโมงแค่นั้นพอ”
เหมยลี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตากลมโตเหลือบมองนาฬิกาแขวนบนผนังที่บอกเวลาทุ่มตรง ซึ่งมันเป็นเวลาที่เธอจะต้องอยู่ดูแลเยาวมาศจนกว่าสามีและลูกชายของคุณป้าจะกลับมา
“ไม่ได้หรอกแพร เค้าต้องอยู่ดูแลคุณป้าน่ะ” น้ำเสียงเหมยลี่เต็มไปด้วยความลำบากใจ
“แป๊บเดียวจริง ๆ ถ้าเหมยไม่ช่วยเค้า เค้าก็ไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้ว”
“แต่ว่า...”
“ไปเถอะเหมย ป้าไม่ว่าอะไรหรอก”
ทันใดนั้นเสียงเยาวมาศก็ดังขึ้นแทรก เหมยลี่หันไปเห็นคุณป้าที่เคารพรักแย้มยิ้มนุ่มนวลก็ยิ่งลำบากใจเข้าไปใหญ่ แต่สุดท้ายเธอก็ทนลูกตื๊อของแพรวาไม่ไหว
“โอเค ๆ ก็ได้ เดี๋ยวเค้ารีบออกไป เจอกันที่บ้านแพรนะ”
“เดี๋ยวนะ เอ่อ คือว่าเค้าไม่ได้อยู่บ้านน่ะ ตอนนี้เค้านัดเพื่อน ๆ ห้องสองมาติวกันที่ห้องของมินตรา เหมยจำมินตราได้ไหม”
“อื้ม จำได้แต่เค้าไม่เคยไปหอมินตรานะ” เหมยลี่พอจะจำได้ว่ามินตราเป็นเพื่อนต่างห้อง ด้วยความที่แพรวาเป็นสาวสังคมจ๋า เธอจึงมีเพื่อนต่างห้องหลายคนและก็ขยันพาเธอไปเจอเพื่อนใหม่เสมอ
“เค้าส่งโลฯ ให้ในไลน์แล้วน้า เหมยเรียกรถแล้วมาตามที่อยู่นี้เลยนะ ขอบใจมากน้าเหมยเพื่อนรัก จุ๊บ ๆ”
ทันทีที่แพรวาวางสาย เหมยลี่ก็ถอนหายใจยาว ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากช่วยเพื่อนแต่เธอรู้สึกไม่ดีเลยที่ต้องทิ้งเยาวมาศให้อยู่คนเดียว
“เดี๋ยวหนูบอกพี่แก้วตาให้มาอยู่เป็นเพื่อนคุณป้าจนกว่าคุณเหมกับคุณลุงจะกลับนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก อีกไม่กี่ชั่วโมงตาเหมก็กลับมาแล้ว เหมยไปหาเพื่อนเถอะจ้ะ ว่าแต่เพื่อนคนไหนโทรมาจ๊ะ”
“แพรวาน่ะค่ะ แพรอยากให้ช่วยติววิชาภาษาอังกฤษที่จะสอบวันมะรืน ที่ต้องออกไปตอนนี้เพราะว่าพรุ่งนี้บ้านแพรวาต้องไปทำธุระที่ต่างจังหวัด ก็เลยไม่มีเวลาแล้ว...”
“น่ารักจริง ๆ เหมยรู้ไหม เราน่ะเป็นเด็กดีมาก ไปไหนมาไหนก็รายงานป้าตลอด” เยาวมาศเอ่ยแทรกก่อนที่เหมยลี่จะพูดจบ ต่อให้เหมยลี่ไม่รายงานละเอียดยิบเช่นนี้ เธอเองก็ไม่คงไม่ซักไซ้ให้มากความ ด้วยรู้ดีว่าหลานรักไม่ใช่คนเถลไถลหรือชอบโกหก การที่เหมยลี่ขอออกจากบ้านยามดึกดื่นย่อมมีเหตุผลแน่“ก็คุณป้าเป็นผู้ปกครองของหนูนี่คะ หนูเกรงใจ” เหมยลี่พูดเสียงเบา ถึงทุกคนจะปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้อีกคน แต่เธอรู้ตัวเองดีว่าเป็นแค่ผู้อาศัย อะไรที่อาจทำให้เจ้าของบ้านลำบากใจ เธอก็ควรเลี่ยงให้ไกลไว้ก่อน“ไม่ต้องเกรงใจ เหมยไปเถอะ ป้าอยู่ได้”“ไม่ให้หนูเรียกพี่แก้วตามาอยู่เป็นเพื่อนจริง ๆ เหรอคะ” ไม่รู้ทำไมเหมยลี่ถึงรู้สึกไม่สบายใจชอบกล มันทั้งเป็นห่วงและรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก“ป่านนี้แก้วตาคงยุ่ง ๆ กับการเก็บครัวละมั้ง ไปเถอะลูก ป้าอยู่ได้จริง ๆ ถ้ากลัวว่าตาเหมจะดุละก็ เดี๋ยวป้าช่วยพูดให้ ป่านนี้เพื่อนรอแย่แล้ว” หญิงวัยกลางคนยืนยันอีกครั้ง“ถ้าอย่างนั้นหนูจะรีบกลับมานะคะ”เหมยลี่เข้าไปกอดเยาวมาศเหมือนทุกครั้งที่ต้องเอ่ยปากลาท่านออกไปไหน ทว่า...อ้อมกอดครั้งนี้กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจระคนใจหายอ
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว...ความเศร้าเมื่อครั้งเก่าก่อนค่อย ๆ เลือนหาย หลงเหลือเพียงความทรงจำที่ดีเอาไว้ให้เหมยลี่ได้หวนคิดถึงพ่อแม่ผู้จากไป เด็กสาวอายุสิบแปดปีเติบโตมาท่ามกลางผู้คนที่ให้ความรักความเอ็นดูเธอเหมือนอย่างที่พ่อเคยบอกเอาไว้ไม่มีผิด เห็นทีพ่อกับแม่คงวางเส้นทางอนาคตไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้วละมั้งเฉียนเปาและภาวินีน่าจะมั่นใจว่าครอบครัวของรุ่นพี่คนสนิทจะดูแลลูกสาวให้อย่างดี ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หัสดินและเยาวมาศไม่เพียงแต่มอบที่อยู่อาศัยและความอบอุ่น ทั้งสองยังส่งเสียเหมยลี่ให้เรียนหนังสือ จนกระทั่งเด็กสาวใกล้จะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกแน่นอนว่าต่อให้ได้รับการส่งเสริมเรื่องการเงินอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เหมยลี่ก็ไม่ลำพองตน เธอตั้งใจเรียนให้สมกับที่ท่านทั้งสองให้ความเมตตา จนในที่สุดก็สามารถสอบเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชื่อดังได้ในที่สุดตอนนี้เหลือเพียงสอบวิชาสุดท้าย ชีวิตวัยมัธยมของเธอก็จะจบลงอย่างสวยงามทุกอย่างเหมือนกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี จะมีก็แต่เยาวมาศที่พักหลังมานี้สุขภาพร่างกายเริ่มไม่ค่อยแข็งแรงนัก หญิงวัยกลางคนมีโรคประจำตัวเป็นโรคความดันสูง ยิ่งนานวันอาการยิ่งหน
“ชอบไหมจ๊ะ” เยาวมาศเอ่ยถามอย่างเมตตาหลังพาเหมยลี่มาเก็บข้าวของ พร้อมสั่งให้คนรับใช้ช่วยจัดแจงสิ่งของให้เรียบร้อย สีหน้าของเด็กสาวดูผ่อนคลายขึ้นจากตอนแรกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นดวงตายังเต็มไปด้วยรอยเศร้าหมอง“ขอบคุณคุณป้ากับคุณลุงมากนะคะที่ช่วยหนูไว้ หนูอยู่ที่ไหนก็ได้จริง ๆ ค่ะ”“เหมย ป้าอยากบอกเหมยตามตรงนะ ว่าที่ป้ากับลุงช่วยเหมยไม่ใช่แค่เพราะเป็นคำขอของคุณเฉียนกับคุณวิ แต่ป้าเอ็นดูเหมยจริง ๆ นะลูก สำหรับป้าหนูเป็นเด็กที่น่ารัก กิริยามารยาทก็ดี หนูทำให้ป้าอยากมีลูกสาวอีกคนเลยนะ”“...” เหมยลี่ที่เงียบฟังอยู่ครู่หนึ่งเริ่มน้ำตาคลอ ความอบอุ่นของคนตรงหน้าแทรกซึมเข้าโอบกอดหัวใจที่แตกสลายของเธออย่างอ่อนโยน ยากเหลือเกินที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ให้ไหว“เฮ้อ ถึงอยากจะมีตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วละ อายุอานามป้าก็ขนาดนี้แล้วนี่นะ หนูจะว่าอะไรไหมถ้าป้าขอให้หนูมองป้าเหมือนเป็นแม่อีกคน ไม่ต้องเรียกป้าว่าแม่ก็ได้ แต่แค่ให้รู้ไว้ว่าป้ารักหนูเหมือนลูก” หญิงวัยกลางคนลูบศีรษะเด็กน้อยที่เวลานี้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างสุดทน“ฮึก หนูไม่เหลือใครแล้ว พวกญาติ ๆ ก็ไม่มีใครอยากเอาหนูไปอยู่ด้วยสักคน ทุกคน...ฮึก มองว่าหนูเป็นตัว
โลกทั้งใบของเธอได้แตกสลายไปแล้ว...รอยยิ้มของเด็กวัยสิบสองปีไม่มีเหลืออยู่บนใบหน้าเหมยลี่อีกต่อไป เธอได้แต่ตั้งคำถามในสิ่งที่ต่อให้ตายไปก็ไม่มีวันได้รับคำตอบ นั่นคือ พ่อกับแม่ทิ้งเธอไปแบบนี้ได้อย่างไรเธอรู้ว่าพวกท่านมีเรื่องราวหนักใจ รู้ว่าทุกปัญหาที่ถาโถมเข้ามาคงหนักหน่วงจนท่านทั้งสองแบกรับเอาไว้ไม่ไหวแต่ว่า...ความตายคือทางออกที่ดีแล้วอย่างนั้นหรือทิ้งลูกสาวเพียงคนเดียวให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวทำให้พวกท่านหมดทุกข์หมดโศกได้จริง ๆ ใช่ไหม เหมยลี่คงไม่เจ็บปวดขนาดนี้เลยหากพวกท่านพาเธอไปด้วยกันในคราวเดียวเด็กอย่างเธอไม่มีปัญญาช่วยกอบกู้ธุรกิจของทางบ้าน แต่อย่างน้อยเธอก็พร้อมจะอยู่เคียงข้างพ่อแม่ตราบจนลมหายใจสุดท้ายตอนนี้เธอไม่ใช่ ‘เหมยลี่’ ลูกสาวนักธุรกิจชื่อดังอีกต่อไป หากแต่เป็นเพียงลูกสาวนักธุรกิจผู้ปลิดชีพตัวเองเพราะทนรับความผิดหวังไม่ได้ พ่อของเธอล้มละลาย เขาไม่หลงเหลืออะไรไว้ให้เธอเลย นอกจากจดหมายฉบับหนึ่งจดหมายฉบับนั้นเขียนเอาไว้ว่าพวกท่านขอโทษ พ่อกับแม่รักเธอมากเกินกว่าจะยอมให้เธอทอดทิ้งชีวิตตัวเอง เพียงเพราะความผิดพลาดของพวกท่านที่เธอไม่มีส่วนร่วมก่อ ทางออกที่พวกท่านเลือกให้เหมย
22.00 น.เขายอมปล่อยเธอแล้ว...เหมยลี่ปล่อยให้สายสะพายกระเป๋าเลื่อนหลุดจากไหล่บอบบางลงไปกองอยู่บนพื้น ก่อนก้าวไปทรุดกายลงบนเตียงนอนอย่างไร้เรี่ยวแรง บ้านหลังเล็กที่เธออาศัยตั้งอยู่ห่างจากตึกใหญ่ซึ่งเป็นที่อยู่ของคนใจร้ายคนนั้นพอสมควร ที่นี่เงียบสงบและมีแค่เธอ หญิงสาวจึงปลดปล่อยน้ำตาแห่งความอดสูให้ไหลพรั่งพรูออกมาในที่สุดเธอโกรธ เกลียด และสมเพชตัวเองเหลือเกินที่ยอมให้ชายหนุ่มหักหาญน้ำใจได้ถึงเพียงนี้เหมราช...ผู้ชายที่เธอเคยหลงรักเมื่อสิบสองปีก่อน กับปีศาจร้ายที่ขยันทำร้ายจิตใจกันในเวลานี้ ช่างต่างกันราวกับเป็นคนละคนเรื่องนี้เหมยลี่โทษใครไม่ได้ นอกจากโทษตัวเองเพราะเธอเป็นคนทำลายทุกสิ่งอย่างลงกับมือ เป็นเธอเองที่สร้างความเกลียดชังให้กับเขาก่อน บางทีหากฆ่าคนได้แล้วไม่ผิดกฎหมาย เหมราชก็คงจะฆ่าเธอให้ตายไปนานแล้ว...***สิบปีที่แล้ว“เหมยลงมาไหว้ลุงดินกับป้าเยาว์เร็วลูก”“ค่าาา~” น้ำเสียงสาวน้อยวัยสิบสองปีขานรับอย่างสดใส ทันทีที่ภาวินีผู้เป็นแม่เรียกเธอที่กำลังนั่งเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านให้ออกไปเจอกับเพื่อนรุ่นพี่ของพวกท่าน หากเป็นเด็กคนอื่นคงจะเบื่อเต็มทนที่ต้องนั่งฟังเรื่องเครียด ๆ เวลาผ
กลิ่นอายสายฝนที่ผสมผสานกับกลิ่นเครื่องหอมในห้องรับแขกชั้นบนสุดของคอนโดหรู มอมเมาอารมณ์ของสองหนุ่มสาวที่กำลังคลอเคลียกันให้ลืมสิ้นทุกสิ่งทว่าคงไม่มีกลิ่นใดหอมหวนหรือยอดเยี่ยมได้เท่ากับกลิ่นกายของคนตรงหน้า...ไม่ว่าเหมราชจะพรมจูบไปตรงส่วนไหน อารมณ์ดิบในกายเขาก็พุ่งเตลิดไกลจนแทบอยากจะฉีก ‘ข้อตกลง’ ระหว่างกันทิ้งให้สิ้นซาก“อื้อ คุณเหมพอก่อนค่ะ” เสียงหวานหอบกระเส่าเริ่มปรามเมื่อถูกเขารุกเร้ารุนแรง ปากร้อนที่ป้อนจูบราวไม่รู้เบื่อเคลื่อนไปซุกไซ้ต้นคอระหง ทั้งดูดทั้งเลียไปทั่ว เรียกได้ว่าไม่มีส่วนไหนที่เหมราชไม่ดอมดม“อย่าห้าม” เหมราชเอ่ยเพราะคนที่บอกว่า ‘พอ’ ได้ มีเพียงแค่เขาเท่านั้นสำหรับเหมราชแล้ว เหมยลี่ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่เพิ่งโตเต็มวัยเท่านั้น ทว่าเธอยังเป็นสาวสวย เรือนกายกลิ่นหอมเย้ายวนใจ ดูราวกับดอกไม้งามอ่อนหวานที่เขาจะเด็ดมาเชยชมหรือขว้างทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจอยาก ใช่แล้ว ขว้างทิ้ง...อาจไม่ใช่ตอนนี้หรือเร็ว ๆ นี้ แต่ไม่ต้องห่วง สักวันเขาจะทิ้งเธอแน่นอนคนอย่างเหมยลี่เป็นได้แค่นั้นจริง ๆ“อ๊ะ!” คนตัวเล็กพยายามตั้งสติไม่ให้แตกกระเจิงเพราะสัมผัสของชายหนุ่ม แต่เมื่อมือหนาวางลงบนหน้า