มือเล็กป่ายปัดไปทั่วทั้งบริเวณ พบว่าจุดที่นางนอนอยู่ในเวลานี้คือเตียงนอนที่บุด้วยผ้านวมหนานุ่มหาได้ใช่กองฟางไม่ อันเนี่ยนฉีกวาดมือไปรอบ ๆ ก่อนจะพบกับเส้นผมสีดำขลับของบุรุษผู้หนึ่ง พร้อมกับเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเขา นางนึกออกในทันทีว่าเวลานี้คนที่นอนอยู่เคียงข้างนางเป็นผู้ใด ความทรงจำหลากหลายแล่นเข้าในหัวสมอง
“ท่านแม่ทัพ” อันเนี่ยนฉีพึมพำ ก่อนจะคิดถึงช่วงเวลาที่เขาและนางได้พบกันคราแรก
“เป็นข้าเอง” บุรุษที่นอนอยู่เคียงข้างนางกระชับอ้อมแขน รั้งเอวเล็กของนางเอาไว้แน่น
“ข้าต้องกลับบ้านแล้ว” นางพลิกตัวกลับ ใช้สองแขนเป็นปราการผลักดันร่างกายสูงใหญ่ของเขาออกไปให้พ้น สิ่งนี้มันคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ ความผิดพลาดที่ทำให้นางและเขาเข้าสู่วังวนแห่งความอันตราย
“ฟ้ายังไม่สาง อยู่ต่ออีกสักพักได้หรือไม่” นาน ๆ ทีจะมีสตรีใจกล้าปีนขึ้นเตียงเขา ซ้ำยังปรนนิบัติได้อย่างถูกใจ มีหรือเขาจะปล่อยไปได้ง่าย ๆ
“ไม่ได้ข้าต้องไปแล้ว” นางดีดดิ้น ร่างกายของนางเหนื่อยล้าไปหมด เขาครอบครองนางตลอดทั้งคืน ดุดันราวกับพายุ ถ้าหากเขาได้รู้ว่านางคือสตรีที่เขาเกลียดชัง สู้หนีไปก่อนที่เขาจะได้เห็นหน้ากันคงจะดีกว่า
เพราะจำได้ว่าเมื่อช่วงเวลาก่อนก็เป็นเช่นนี้ นางเหนื่อยล้าเพราะเขาเอาแต่เคี่ยวกรำนาง จนสุดท้ายหลับไป ตื่นเช้ามาเมื่อหนานกงหว่านเฉยีนรู้ว่าสตรีที่ปีนเตียงเขาเมื่อคืน คือสตรีที่เขารังเกียจที่สุดอันดับหนึ่ง ใบหน้าก็บอกบุญไม่รับ ทะเลาะต่อปากต่อคำกันอยู่พักใหญ่ ลงเอยที่ต่างคนต่างก็จะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับตลอดกาล
ในช่วงเวลานั้นไม่ใช่แค่เขาที่รังเกียจนาง แต่นางเองก็รังเกียจเขา
“ข้าจะกลับบ้านแล้ว ท่านแม่ทัพปล่อยข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ” เมื่อเขาไม่ปล่อย สุดท้ายนางจึงตัดสินใจ ถีบอีกฝ่ายด้วยสองขาเล็ก ๆ ของตน หนานกงหว่านเฉยีนที่ไม่ทันได้ระวังตัวหล่นตุบลงกับพื้น
ชายหนุ่มกัดฟันกรอด สตรีตัวเล็กแค่นั้นกลับมีแรงเหลือเฟือ
“ดูเหมือนว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา เจ้าจะยังเหนื่อยไม่พอใช่หรือไม่ ในเมื่อเรี่ยวแรงยังเหลือ ใช้ให้หมด ให้คุ้มกับเงินที่ลูกน้องของข้าจ่ายไปไม่ดีหรือ” หนานกงหว่านเฉยีนคิดเอาเองว่าสตรีที่อยู่บนเตียง เป็นบรรณาการจากลูกน้องคนสนิทที่หามาให้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติหลังจากกลับมาจากชายแดน
“ข้าบอกว่าไม่ก็คือไม่” ที่เขายังสนทนากับนางดี ๆ เช่นนี้ คงเป็นเพราะยังไม่เห็นหน้าว่านางคือผู้ใด
“เมื่อรับเงินแล้วก็ควรทำหน้าที่ให้ดี ๆ” หนานกงหว่านเฉยีนเริ่มอารมณ์เสีย
“เป็นบุรุษไม่ควรบังคับสตรีให้กระทำในสิ่งที่นางไม่ชอบ ถึง...ข้าจะเป็นนางคณิกา แต่ก็มีศักดิ์ศรี” อันเนี่ยนฉีชักแม่น้ำทั้งห้ากล่าวเหตุผลกับเขายืดยาว “อีกอย่างท่านเป็นแม่ทัพของแผ่นดินนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษ เป็นที่หมายปองของสตรีทั้งหล้า หากมีข่าวเล็ดลอดออกไปว่าท่านบังคับขู่เข็ญนางคณิกา ท่านก็คงต้องเอาศักดิ์ศรีที่ท่านมีอยู่ไปโยนทิ้งลงแม่น้ำ”
จากคำพูดคำและวาจาเชือดเฉือนเขาชักไม่แน่ใจแล้วว่านาง ใช่นางคณิกาจริงอย่างที่นางกล่าวหรือไม่ คำพูดและน้ำเสียงดูคล้ายกับคนผู้หนึ่งที่เขารู้จัก น่าเสียดายที่เมื่อคืนนั้นดื่มสุรามากไปหน่อยบวกกับความมืดยามราตรีทำให้ไม่รู้ว่าสตรีที่ซุกอยู่ในกองผ้าห่มเวลานี้หน้าตาเป็นเช่นไร
ด้านนอกใกล้จะสว่างขึ้นทุกขณะ หัวใจของอันเนี่ยนฉีเต้นระรัว ก็ได้แต่คาดหวังให้บุรุษที่อยู่ตรงหน้า เข้าใจในคำพูดของนาง และรีบ ๆ ปล่อยนางไปเสียที
“ข้าต้องกลับบ้านเดี๋ยวนี้” นางเน้นย้ำในเจตนาของตนอีกรอบ
“เอาเถอะ ก็ได้ ๆ” ในเมื่อนางเอาแต่ขู่ฝ่อเป็นลูกแมวเช่นนั้น แถมยังมีเหตุผลมากมาย ก็คงต้องจำใจปล่อยนางไป
“งั้นท่านก็ออกไปก่อน ข้าจะแต่งตัว” ถึงจะยกค่ำคืนแรกให้กับเขาไปแล้ว แต่นางก็ยังเป็นสตรีผู้หนึ่ง ที่คงไม่สามารถปล่อยให้บุรุษมานั่งดูนางเปลี่ยนเสื้อผ้าได้
เสื้อผ้าของนางที่อยู่นอกกองผ้าห่มถูกมือเล็กคว้ากลับเข้าไป หนานกงหว่านเฉียนเพิ่งจะสังเกตเห็นกำไลหยกสีม่วงบนข้อมือของนาง แม้จะแค่เพียงครู่เดียวแต่ก็รู้สึกคุ้นเคยนัก
“แม่นางข้ากับเจ้าเคยพบหน้ากันมาก่อนหรือไม่” หนานกงหว่านเฉียนลุกจากพื้น ขึ้นมานั่งบนเตียงข้าง ๆ กองผ้าห่มที่ขยับยุกยิกไปมา
ที่นอนยวบลง รู้สึกว่าเขาขยับเข้ามาใกล้นางมากขึ้นเรื่อย ๆ อันเนี่ยนฉีชะงักหรือว่าเขาจะจำนางได้
“ไม่เคย... ข้ากับท่านไม่เคยพบกันมาก่อน ท่านเป็นแม่ทัพอยู่นอกด่านตั้งหลายปี” นางนึกหาข้ออ้างต่าง ๆ “แล้วอีกอย่างข้า..ก็เพิ่งจะมาอยู่เมืองหลวงได้ไม่นาน ฉะนั้นแล้วเราทั้งคู่จะเคยพบหน้ากันได้อย่างไร” อันเนี่ยนฉีกล่าวไป ก็สวมเสื้อผ้าไป
ชุดผ้าไหมของนางเป็นของชั้นเลิศ เมื่อสัมผัสดูแล้วพบว่าเป็นผ้าไหมที่ฮ่องเต้ได้รับเป็นเครื่องบรรณาการเมื่อหลายปีก่อน มีอยู่หลายพับ ส่วนใหญ่แจกจ่ายเฉพาะขุนนางระดับสูงเท่านั้น นางเป็นเพียง...นางคณิกาธรรมดา เหตุใดจึงตัดชุดด้วยผ้าไหมราคาแพงล้ำค่าเช่นนี้ได้ กำไลหยกสีม่วงก็เช่นกัน จะมีสักกี่คนที่สามารถซื้อหาของล้ำค่าราคาแพงพวกนี้ได้
เป็นเพราะความสงสัยใคร่รู้ เมื่อสุดท้ายแล้วอดทนไม่ไหวจึงเลิกผ้าห่ม ที่เป็นพื้นที่ที่นางใช้ซุกซ่อนตนเองออกมา
ไอน้ำลอยฟุ้งกระจายอยู่เต็มห้องอาบน้ำ ที่กลางห้องมีหนึ่งบุรุษนั่งแช่เอื่อยเฉื่อยอยู่ในน้ำ ที่เวลานี้เริ่มคลายความร้อนลงไปบ้างแล้ว เส้นผมสีดำขลับถูกปล่อยยาวสยาย ดวงตาสีดำเข้มหล่อเหลา แบบชายชาติทหาร บนร่างกายแข็งแกร่งกำยำเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลจากสนามรบ ทั้งเก่าและใหม่ปะปนกันไป เป็นอันบ่งบอกว่าเขานั้นแข็งแกร่งกว่าผู้ใดแต่ในหัวสมองเวลานี้เอาแต่คิดวนเวียนไปมาถึงสตรีนางหนึ่ง เหตุใดจึงต้องเป็นนาง สตรีโง่เง่า ที่วัน ๆ เอาแต่คิดหาหนทางยกระดับสถานะของตนเอง เป็นเพียงบุตรสาวที่อยู่ในเรือนหลังแท้ ๆ ไร้คนหนุนหลัง ไร้คนสนใจ เอาแต่เพ้อฝันถึงเรื่องมักใหญ่ใฝ่สูง กระทำแต่เรื่องน่าอับอายเหตุใดจึงต้องเป็นนางวีรกรรมน่าอับอายของนางในเมืองหลวงมีใครไม่รู้ ตามติดจิ้นอ๋องทุกย่างก้าว เมื่อเขาไปซ้ายนางก็ไปซ้าย เมื่อเขาไปขวานางก็ไปขวา มีอยู่ครั้งหนึ่งในขณะที่ท่านอ๋องกำลังเดินอยู่กลางตลาด นางก็กระโดดออกมาร้องห่มร้องไห้ อ้อนวอนขอความรักจากเขา เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็วิ่งเข้าไปโอบกอด ซึ่งเขารู้ดีว่าท่านอ๋องเองก็ไม่มีวัน ที่จะชายตามองมาที่นาง
คราแรกอันจิ้งหยางไม่ได้เข้ามาสนทนาอะไรกับนางให้มากความ เพียงแต่ให้คนมาปรับปรุงเรือนของนางแต่โดยด่วน ส่วนนางนั้นระหว่างรอให้เรือนได้รับการปรับปรุง ก็มาอาศัยอยู่ที่เรือนรับรองที่สภาพดีกว่าเรือนเก่าที่นางเคยพำนักอยู่มากไม่คิดเลยว่าการที่นางเรียกร้องความสนใจจากอันจิ้งหยาง จะสามารถทำให้อันจิ้งหยางที่แต่เดิมก็ไม่กินเส้นกับเซียงถังซีอยู่แล้ว ทะเลาะกันอีกครั้งได้ อำนาจที่มีอยู่เต็มมือของเซียงถังซีถูกบุตรชายผู้เป็นผู้สืบทอดทำลายในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นเพราะนางเป็นสตรี อันจิ้งหยางนั้นใส่ใจนักจึงเชิญหมอหญิงเข้ามารักษาดูแล นับเป็นครั้งแรกที่นางได้รับความปรานีจากคนในครอบครัว ที่นางไม่รู้ว่าจะสามารถเรียกว่าครอบครัวได้หรือไม่ มารดาที่นางไม่เคยเห็นหน้าจากไปตั้งแต่คลอดนาง บิดาที่นาน ๆ จะได้พบหน้ากันสักครั้งก็ไม่ได้รักใคร่เอ็นดู เขาจำชื่อนางได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ในชีวิตที่แล้ว นางไม่เคยได้รับการสั่งสอนอบรม จึงกลายเป็นสตรีที่มักจะทำเรื่องโง่เขลาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ก็มักจะเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนล้วนแล้วแต่ส่ายหน้าหนี แต่หลังจากถูกส่งตัวไปอยู่ในขบวนค้าทาส นางถูกสั่งสอนจากอดีตหญิงคณิกาโดยบังเอ
ไม้หวายถูกนำออกมา อันเนี่ยนฉีถูกจับยืนมัดติดกับเสา อดทนอีกสักนิดพี่ชายต่างมารดาซึ่ง บุตรชายคนโตของบ้านก็จะผ่านมาทางนี้พอดี เขามีตำแหน่งในราชสำนัก ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี เป็นบุตรชายของอดีตฮูหยินใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว มีสถานะศักดิ์เป็นพระภาคิไนยของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน จึงไม่มีใครกล้าล่วงเกินหรือทำร้ายเขานาน ๆ ครั้งเขาจะกลับมาที่บ้านสักหน นางไม่เคยเล่าเรื่องความยากลำบากใด ๆ เลยให้พี่ชายฟัง เพราะถูกข่มขู่เอาไว้ รวมถึงนางในชีวิตที่แล้วไม่มีความกล้าพอ พบหน้ากันเมื่อชีวิตที่แล้วนับครั้งได้ จำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพี่ชายของนางผู้นี้หน้าตาเป็นเช่นไร เมื่อเขาไม่เคยรับรู้ว่าเซียงถังซีวางอำนาจบาตรใหญ่ในบ้านหลังนี้ เขาจึงไม่รู้ว่าสมควรจัดการเซียงถังซีผู้นั้น ภายหลังเขาเซียงถังซีหลอกเขาให้ติดกับโดยใช้หลานสาวของตนหลอกล่อให้เขาตบแต่งกับนางแต่ในวันนี้นางจะต้องบอกเขา ต้องให้เขารับรู้เรื่องราวพวกนี้“ท่านแม่ใหญ่ ข้าไม่ได้ทำจริง ๆ นะเจ้าคะ และรอยพวกนี้ก็เกิดจากมดกัดเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ทำ ท่านแม่ใหญ่ ข้าไม่ได้ทำจริง ๆ เจ้าค่ะ” อันเนี่ยนฉีแหกปากร้องสุดเสียงเอาให้ดังที่สุดเท่าที่นางเคยส่งเสียงมา และภาวนาใ
ก่อนถึงบ้าน นางตัดสินใจทุบกำไลหยกม่วงชิ้นที่นางขโมยมาจนแตกละเอียด แล้วโปรยทิ้งลงในแม่น้ำ แทนการนำไปขายเหมือนชาติที่แล้ว จำได้ว่าเพราะนางนำมันไปขาย กำไลหยกม่วงล้ำค่าเป็นของหายาก กอปรกับมีข่าวว่ากำไลของคุณหนูอันรั่วหลันที่มีสีม่วงเหมือนกันหายไป สืบสาวไปมาก็มาถึงตัวนางจำได้ว่านางถูกทรมานให้รับสารภาพจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่กระนั้นนางก็ยังคงปิดปากแน่นสนิท ไม่ยอมพูดออกไปว่าเป็นผู้ขโมย เมื่อเค้นไปแล้วไม่ได้ความ อัครเสนาบดีอันคงกลัวว่านางจะตายในชายคาบ้าน จึงบอกให้อันรั่วหลันและเซียงถังซีเลิกแล้วต่อกันไป สัญญาว่าจะตัดชุดใหม่และซื้อกำไลวงใหม่ให้กับพวกนาง ทั้งสองคนจึงยุติการลงโทษนางในที่สุดส่วนชุดผ้าไหม แม้จะเสียดายอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายนางก็ต้องตัดใจทำลายทิ้ง เมื่อกลับมาถึงจวนอัครเสนาบดี อันเนี่ยนฉีรีบไปห้องครัว โชคดีที่ยังไม่มีใครตื่นมาที่นี่ นางจึงจุดเตาฝืน นำชุดผ้าไหมพวกนั้นเผาจนไม่เหลือซาก คราวนี้นางตรวจตราให้ถี่ถ้วน เมื่อมั่นใจว่าไม่เหลือซากจึงทำท่าเหมือนกำลังต้มน้ำดื่มชาครั้งที่แล้วนางเสียดายไม่ยอมทำลายทิ้งเก็บเอาไว้ในเรือนของตน คิดจะเอามาดัดแปลงเก็บไว้ใส่ในงานวันหน้า แต่ก็ถูกจับได้อ
เมื่อผ้าห่มถูกกระชากออก พบว่าเป็นอันเนี่ยนฉี สตรีที่เขารังเกียจที่สุดอันดับหนึ่ง เท่ากับว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาไม่ได้ร่วมหอกับนางคณิกา แต่เป็นนางงั้นหรือ คุณหนูเก้าแห่งจวนอัครเสนาบดีผู้มักใหญ่ใฝ่สูง โง่เง่าไร้การอบรม มีดีแค่หน้าตางดงามเท่านั้น“ทำไมถึงเป็นเจ้า” เขากระชากแขนเล็กของนางตั้งใจสอบถามเอาเรื่อง “แล้วนี่ถึงขั้น ขโมยชุดของคุณหนูใหญ่รวมถึงเครื่องประดับของนาง มาใช้เพื่อยกระดับสถานะของตนเอง ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่ต้องทำถึงขั้นก็ได้หรอกมั้ง”“...” อันเนี่ยนฉีไม่ได้ตอบ ตั้งใจฟังคำหยามเหยียดของเขาอย่างอดทนความจริงของเรื่องนี้คือนางต้องอยู่บนเตียงของจิ้นอ๋อง หลี่หยวนเหอ แต่กลายเป็นว่านางต้องมาอยู่บนเตียงของเขา ได้ย้อนกลับมาทั้งที เหตุใดจึงไม่มาให้เร็วกว่านี้สักหน่อย อย่างน้อยก็ควรจะเป็นก่อนที่นางคิดลงมือกระทำเรื่องโง่ ๆ เช่นนี้“ข้าถามว่าทำไมเป็นเจ้า” หนานกงหว่านเฉียนตะคอกใส่นางเสียงดังครานี้อันเนี่ยนฉีก็ยังเลือกที่จะไม่ตอบ ครั้งที่แล้วนางทะเลาะกับเขาแล้วบอกความจริงเขาไปทั้งหมด ว่าความจริงแล้วเตียงของบุรุษที่นางต้องการจะปีนจริง ๆ เป็นของจิ้นอ๋องที่อยู่ถัดไปอีกสองสามห้อง แต่เพราะควา
มือเล็กป่ายปัดไปทั่วทั้งบริเวณ พบว่าจุดที่นางนอนอยู่ในเวลานี้คือเตียงนอนที่บุด้วยผ้านวมหนานุ่มหาได้ใช่กองฟางไม่ อันเนี่ยนฉีกวาดมือไปรอบ ๆ ก่อนจะพบกับเส้นผมสีดำขลับของบุรุษผู้หนึ่ง พร้อมกับเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเขา นางนึกออกในทันทีว่าเวลานี้คนที่นอนอยู่เคียงข้างนางเป็นผู้ใด ความทรงจำหลากหลายแล่นเข้าในหัวสมอง“ท่านแม่ทัพ” อันเนี่ยนฉีพึมพำ ก่อนจะคิดถึงช่วงเวลาที่เขาและนางได้พบกันคราแรก“เป็นข้าเอง” บุรุษที่นอนอยู่เคียงข้างนางกระชับอ้อมแขน รั้งเอวเล็กของนางเอาไว้แน่น“ข้าต้องกลับบ้านแล้ว” นางพลิกตัวกลับ ใช้สองแขนเป็นปราการผลักดันร่างกายสูงใหญ่ของเขาออกไปให้พ้น สิ่งนี้มันคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ ความผิดพลาดที่ทำให้นางและเขาเข้าสู่วังวนแห่งความอันตราย“ฟ้ายังไม่สาง อยู่ต่ออีกสักพักได้หรือไม่” นาน ๆ ทีจะมีสตรีใจกล้าปีนขึ้นเตียงเขา ซ้ำยังปรนนิบัติได้อย่างถูกใจ มีหรือเขาจะปล่อยไปได้ง่าย ๆ“ไม่ได้ข้าต้องไปแล้ว” นางดีดดิ้น ร่างกายของนางเหนื่อยล้าไปหมด เขาครอบครองนางตลอดทั้งคืน ดุดันราวกับพายุ ถ้าหากเขาได้รู้ว่านางคือสตรีที่เขาเกลียดชัง สู้หนีไปก่อนที่เขาจะได้เห็นหน้ากันคงจะดีกว่าเพราะจำได้ว่า