Masukเมื่อผ้าห่มถูกกระชากออก พบว่าเป็นอันเนี่ยนฉี สตรีที่เขารังเกียจที่สุดอันดับหนึ่ง เท่ากับว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาไม่ได้ร่วมหอกับนางคณิกา แต่เป็นนางงั้นหรือ คุณหนูเก้าแห่งจวนอัครเสนาบดีผู้มักใหญ่ใฝ่สูง โง่เง่าไร้การอบรม มีดีแค่หน้าตางดงามเท่านั้น
“ทำไมถึงเป็นเจ้า” เขากระชากแขนเล็กของนางตั้งใจสอบถามเอาเรื่อง “แล้วนี่ถึงขั้น ขโมยชุดของคุณหนูใหญ่รวมถึงเครื่องประดับของนาง มาใช้เพื่อยกระดับสถานะของตนเอง ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่ต้องทำถึงขั้นก็ได้หรอกมั้ง”
“...” อันเนี่ยนฉีไม่ได้ตอบ ตั้งใจฟังคำหยามเหยียดของเขาอย่างอดทน
ความจริงของเรื่องนี้คือนางต้องอยู่บนเตียงของจิ้นอ๋อง หลี่หยวนเหอ แต่กลายเป็นว่านางต้องมาอยู่บนเตียงของเขา ได้ย้อนกลับมาทั้งที เหตุใดจึงไม่มาให้เร็วกว่านี้สักหน่อย อย่างน้อยก็ควรจะเป็นก่อนที่นางคิดลงมือกระทำเรื่องโง่ ๆ เช่นนี้
“ข้าถามว่าทำไมเป็นเจ้า” หนานกงหว่านเฉียนตะคอกใส่นางเสียงดัง
ครานี้อันเนี่ยนฉีก็ยังเลือกที่จะไม่ตอบ ครั้งที่แล้วนางทะเลาะกับเขาแล้วบอกความจริงเขาไปทั้งหมด ว่าความจริงแล้วเตียงของบุรุษที่นางต้องการจะปีนจริง ๆ เป็นของจิ้นอ๋องที่อยู่ถัดไปอีกสองสามห้อง แต่เพราะความเมา บวกกับความมืดนางจึงมาโผล่อยู่ในห้องของเขา นั่นจึงทำให้เขาและนางเกลียดชังกันมาตั้งแต่บัดนั้น
“พอเถอะ ข้าจะกลับแล้ว” นางแกะมือที่แข็งแกร่งราวกับคีมเหล็กออก เขาตั้งใจจะหักแขนของนางหรืออย่างไร รู้ไหมกว่านางจะรักษาผิวของตนเองให้ขาวเนียนเช่นนี้ มันยากลำบากขนาดไหนกับสถานการณ์ที่นางเป็นอยู่
“คุณหนูเก้าข้าให้เจ้าตอบ เจ้าต้องตอบคำถามของข้า” เขายังคงบีบคั้นนางไม่เลิก ใบหน้าของนางขาวซีดริมฝีปากเม้มเข้าหากัน “หรือนี่เป็นวิธีการหาสามีของเจ้าอย่างหนึ่ง ในเมื่อท่านอ๋องไม่ได้เป็นข้าก็ได้งั้นสิ เป็นแค่อีกาแต่คิดจะเป็นหงส์ไม่ดูสารรูปของตนเอง”
มาถึงประโยคนี้อันเนี่ยนฉีที่เอาแต่เงียบตลอดเผยยิ้มมุมปากร้ายกาจ ใบหน้างดงาม เคลือบรอยยิ้มน่าหลงใหล
“แล้วอย่างไร ที่ท่านไม่ปล่อยให้ข้ากลับไปเสียที หรือเป็นเพราะว่าท่านแม่ทัพอยากได้คุณหนูเก้าคนนี้เป็นภรรยาอย่างนั้นหรือ ถ้าหากไม่ ก็รีบปล่อยให้ข้ากลับจวนอัครเสนาบดีก่อนที่ฟ้าสาง เพราะมันคงไม่ส่งผลดีต่อท่านเท่าไหร่ เพราะหากฟ้าสว่างแล้ว ซึ่งถึงเวลานั้นข้าจะเดินออกไปจากจวนแห่งนี้ทางประตูหน้าและประกาศให้ผู้คนทั้งแผ่นดินรับรู้ ว่าท่านและข้ามีสัมพันธ์กัน” นางรู้ว่าหนานกงหว่านเฉียนก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น จึงเลือกใช้คำขู่ที่เขามิอาจปฏิเสธได้
แน่นอนว่าหนานกงหว่านเฉียนที่ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะไม่แต่งานไปตลอดชีวิตจ ไม่ต้องการให้ผู้ใดหรือใครก็แล้วแต่ รับรู้ถึงความสัมพันธ์นี้ระหว่างเขาและนาง จึงปล่อยมือออกจากแขนเล็กของนางอย่างเป็นไปเอง ที่แขนของนางเป็นรอยบวมช้ำที่เกิดจากมือของเขา รวมถึงมีร่องรอยอื่น ๆ ที่เกิดจากเขาอยู่บนกายของนาง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็มิได้ใส่ใจ
“งั้นก็...เชิญคุณหนูเก้ารีบแต่งตัวแล้วก็...รีบไสหัวออกไปจากจวนข้าซะ”
“อ้อ...แล้วอีกอย่าง...อย่าลืมว่าเรื่องของความสัมพันธ์นี้ข้าไม่พูดท่านไม่พูดก็ไม่มีใครรู้” นางชี้หน้าเขา รอจนเขาเดินออกไปจากห้องนอนที่เป็นของเขาเอง อันเนี่ยนฉีจึงรีบลุกขึ้นมาแต่งตัวอย่างเร่งด่วน
แต่เดิมในอดีตนั้นนางผูกใจอยู่กับจิ้นอ๋อง หลี่หยวนเหอ บุรุษหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งในแผ่นดิน อันเนี่ยนฉีพยายามไล่ตามไขว่คว้า หมายจะให้เขาสนใจ แต่นางก็เป็นเพียงคุณหนูในจวนหลัง ไม่มีมารดาและครอบครัวสนับสนุน แม้จะงดงามล่มเมือง แต่จะมีประโยชน์อันใดเล่า หากไม่สามารถส่งเสริมใครได้ ชาติกำเนิดของมารดาก็คลุมเครือเดาว่าคงเป็นนางคณิกาที่บิดารับมาเลี้ยงเป็นอนุภรรยา ตอนแรกก็คงรักใคร่กันดี แต่พอคลอดนางออกมามารดาก็ตายจากไป ท่านอัครเสนาบดีผู้เป็นบิดาของนางคงรังเกียจนางมาก ที่เป็นสาเหตุทำให้อนุภรรยาสุดที่รักตายไป
ในค่ำคืนงานเลี้ยงฉลองกลับมาจากชายแดนของหนานกงหว่านเฉียน อันเนี่ยนฉีอยากพลิกสถานะของตนเอง จึงอาศัยโอกาสนี้ขโมยชุดและกำไลหยกม่วงมาจากห้องของอันรั่วหลัน ปลอมตัวเป็นพี่สาว หมายจะเข้าไปเปลี่ยนข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก แต่ผิดคาดไปเสียหมด อันเนี่ยนฉีเข้าห้องวางยาผิดคน กลายเป็นหนานกงหว่านเฉียนที่ถูกยาพิษหนอนไหมกามารมณ์
เมื่อผู้ใดที่ถูกยาพิษชนิดนี้จะต้องหลับนอนกับคู่นอนเดิมในทุก ๆ สิบสี่วัน ในชีวิตที่แล้วนางไม่อยากพบเขาอีก จึงปล่อยให้หนานกงหว่านเฉียนทนทุกข์ทรมานเพราะอาการต้องยาพิษ กว่าจะแก้พิษนั้นได้เห็นว่าเกือบเอาชีวิตไม่รอด มารู้ในภายหลังก่อนที่นางจะถูกส่งตัวไปเป็นทาส ว่าเขาพยายามจะช่วยเหลือนางออกมาจากขบวนการค้าทาสผิดกฎหมาย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่คงเป็นเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในค่ำคืนนั้นกระมัง
พบหน้ากันก่อนจากลาในชาติที่แล้ว จำได้ว่าเขาอุ้มนางออกมาจากกรงค้าทาส แต่ก็มิอาจยื้อชีวิตของนางเอาไว้ได้ ก่อนจะหมดลมหายใจ นางเห็นเขานำร่างที่จวนเจียนจะหมดลมหายใจออกมาจากรง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำไปเพราะเหตุใด นางในชาติที่แล้วไม่รู้อะไรเลย ทั้งที่นางกระทำเรื่องที่ผิดต่อเขามากมายแท้ ๆ ทั้งที่เขาเองก็แสดงออกชัด ว่าเกลียดนางมาโดยตลอด เหตุใดเขาจึงเป็นผู้เดียวที่อยู่กับนางในวาระสุดท้ายของชีวิต
อันเนี่ยนฉีไม่ได้สวมเสื้อผ้าชุดเดิมกับที่สวมมา นางเตรียมการสำหรับเป็นทางรอดให้กับตนเองเอาไว้แล้ว ชุดสาวชาวบ้านธรรมดา จึงถูกนางนำมาสวมใส่ เดิมทีหากนางทำเรื่องนี้สำเร็จ ก็คงจะสวมเสื้อผ้าราคาแพงชุดนี้เดินออกไปป่าวประกาศให้ผู้คนรับรู้ว่าเมื่อคืนนางมีสัมพันธ์กับชินอ๋อง แต่เมื่อไม่เป็นเช่นนั้นนางจึงต้องใช้แผนสำรอง ครั้งที่แล้วนางไม่ละเอียดรอบคอบ ครั้งนี้จะต้องดำเนินไม่เหมือนกัน
ออกมาจากห้องนอน พบว่าเขายืนรอนางอยู่ อันเนี่ยนฉีไม่ได้สนทนาสิ่งใด นางมีสิ่งที่ต้องทำ จึงเดินผ่านหน้าเขาทำเหมือนกับอีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุ
“ไม่คิดจะล่ำลากันสักหน่อยเหรอ” เขากล่าวตามหลัง
อันเนี่ยนฉีหยุดอยู่กับที่ ที่จริงก็มีเรื่องต้องคุยกับเขา แต่พอมองท้องฟ้าแล้วแสงสีทองของดวงตะวันเริ่มทอประกาย นางจะต้องกลับไปจุดไฟหุงข้าวให้ทันเวลา
“อีกสามวัน เจอกันที่ตีนเขานอกเมืองหลังตะวันตกดิน ข้ามีเรื่องจะต้องคุยกับท่าน วันนี้ไม่ได้ ต้องไปแล้ว” จบประโยคนางก็รีบร้อนจากไปทันที
จนถึงตอนนี้ฟู่ลี่อิ๋งก็ยังไม่ได้ยินข่าวคราวของฟู่เหยาเหยาคล้ายกับว่านางหายไปจากโลกนี้อย่างไรอย่างนั้น อากาศในเมืองหลวงเริ่มหนาวขึ้นทุกวัน ๆ รวมไปถึงท้องของนางที่โตขึ้นเรื่อย ๆ การยืนเดินนั่งนอนของนางล้วนลำบากไปเสียหมด หลายครั้งที่ฟู่ลี่อิ๋งลุกขึ้นมานั่งร้องห่มร้องไห้กลางดึกเพียงเพราะอยากกินบะหมี่เนื้อรสเผ็ดทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านางไม่คอยชอบความเผ็ดของมัน ฟู่ลี่อิ๋งคิดถึงวันที่ที่พระสวามีเคยพาไปกิน คิดถึงเมื่อตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆ ส่วนเว่ยจงหมิงเองก็ตามใจและเข้าใจได้ไท่จื่อเฟยตั้งครรภ์ท้องแรกอีกทั้งยังไม่มีประสบการณ์ไม่มีผู้ใดสอนนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางจะกลัว กังวลและหวั่นใจไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นหน้าที่ของเขาที่เป็นสามีที่จะคอยให้ความอุ่นใจ อยู่เคียงข้างนางให้นางอบอุ่นใจในบางวันที่เว่ยจงหมิงต้องไปทำงานไกล ๆ ก็จะได้ไคไคน้อยมาอยู่เป็นเพื่อนคอยเล่านู่นเล่านี้ให้นางฟังไม่มีเบื่อถึงตอนนี้ฟู่ลี่อิ๋งถึงเพิ่งสังเกตว่าไคไคน้อยสูงขึ้นมาก จากที่เคยสูงกว่าเอวนางนิดหนึ่งตอนนี้หัวของเขาอยู่ในระดับไหล่นางเสียแล้ว ความรู้สึกเหมือนผ่านมาแค่ครู่เดียว แต่ชั่วเวลากะพริบตาเท่านั้น“เสด็จป้า ท่านว่าน้องข
หลังจากได้ยินเรื่องที่ฟู่เหยาเหยาหย่ากับเว่ยเจิ้งหยาง ฟู่ลี่อิ๋งก็ไม่สบายใจนัก นางไปถามกับพี่ชายว่าสาเหตุที่เขามาที่เมืองหลวง ใช่เรื่องเพราะเรื่องนี้หรือไม่ คราแรกเขาอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดจนสุดท้ายนางก็คาดคั้นเอาคำตอบออกมาจากปากเขาได้ในที่สุดเมื่อได้ยินทุกอย่างที่นางอยากจะฟัง ฟู่ลี่อิ๋งจึงลากพี่ชายไปสืบความที่จวนเว่ยอ๋องด้วยกัน เนื่องด้วยไม่อยากไปเหยียบที่นั่นเพียงลำพังเว่ยเจิ้งหยางเมื่อได้ยินว่าไท่จื่อเฟยมาถึงที่นี่ก็ละทิ้งทุกอย่างรีบมาหานาง แต่เมื่อออกมาถึงกลับพบว่านางไม่ได้มาตามลำพัง เรื่องราวที่เคยคิดเข้าข้างตัวเองก็สลายหายไป นางมาที่นี่พร้อมกับฟู่หมิงจือ สีหน้าท่าทางของโหวน้อยดูกังวล ส่วนฟู่ลี่อิ๋งดูเย็นชาเห็นหน้าของเว่ยเจิ้งหยาง หญิงสาวก็เริ่มพูดคุยเขาเรื่องทันทีโดยไม่อ้อมค้อม“ข้าได้ยินจากไท่จื่อบอกว่าท่าหย่ากับน้องสาวของข้าแล้ว”เว่ยเจิ้งหยางเลิกคิ้วเล็กน้อย “ใช่แล้ว ข้าหย่ากับนางไปตั้งแต่วันที่กลับมาจากจวนเสนาบดีสี”“เรื่องสำคัญเช่นนี้ ไม่เห็นมีใครบอกเรื่องนี้กับข้าสักคน” น้ำเสียงของนางระคนความขุ่นเคือง “แล้วเวลานี้นางอยู่ที่ไหนกัน ท่านรู้หรือไม่”“นางกลับไปเสิ่นหนานตั้งแต่เช้า
แสงอาทิตย์ลอดเข้ามาในห้องนับแล้วเท่ากับแปดครั้ง สีฮูหยินกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างดีใจ นางหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสะใจ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง จากนี้ไปจะไม่มีเว่ยจงหมิงอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้วในขณะที่นางกำลังดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แสงไฟในคุกก็สว่างไสวประดุจกลางวัน สีฮูหยินที่อยู่ในความมืดมานานนับสัปดาห์ต้องหลับตาและใช้แขนเสื้อของตนเองปกป้องดวงตาของตัวเอง ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้นนางจึงจะสามารถลืมตาขึ้นได้สิ่งที่สตรีวัยกลางคนเห็นเมื่อลืมตาขึ้นพบกับบุรุษที่นางเกลียดที่สุดผู้หนึ่งในชีวิต เว่ยจงหมิงนั่งอยู่บนคานหาม แบบสี่คนแบก ชายหนุ่มนั่งอยู่บนนั้นเส้นผมดำขลับถูกปล่อยสยายยาวสอดรับกับใบหน้าหล่อเหลา เขาสวมเสื้อผ้าสีขาวสบาย ๆ ท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับสิ่งใด และดูไม่เจ็บไม่ป่วย“ทำไมเจ้ายังมีชีวิตอยู่” สีฮูหยินได้เห็นหน้าของเว่ยจงหมิงก็เริ่มมีปฏิกิริยาแห่งโทสะ“องค์หญิงเออร์น่าคงตกใจมาก ที่เห็นว่าข้ายังมีชีวิตอยู่” เว่ยจงหมิงหยิบองุ่นขึ้นมากินในขณะที่สนทนากับนาง“ไม่!!! ทำไมเจ้ายังไม่ตาย ถูกพิษชนิดนั้นเข้าไปแล้วเหตุใดจึงยังรอดมาได้” สีฮูหยินเริ่มหวีดร้องโวยวาย “มันไม่มียารักษาผู้ที่โดนพิษต้องตาย
อากาศยามเช้าหลังจากฝนหยุดตกสดชื่นปลอดโปร่ง เสียงวิหคบินวนขับขานดังกังวานไปทั่วทั้งพื้นที่ เช้าวันนี้นางรู้สึกว่าตัวเองสดชื่นกว่าทุกวัน อาจจะเป็นเพราะยาบำรุงของท่านซุน ที่ช่วยให้นางผ่อนคลายและหลับสบายมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ที่พระสวามีป่วยฟู่ลี่อิ๋งก็ย้ายออกไปนอนห้องนอนเล็กที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันเพราะนางไม่อยากรบกวนคนป่วยเกรงว่าตนเองจะนอนดิ้นและทำให้เขาลำบาก รอให้เว่ยจงหมิงฟื้นและหายดีก่อนค่อยกลับมาร่วมห้องทีหลังก็ได้ทุก ๆ วันฟู่ลี่อิ๋งจะมานั่งเฝ้าพระสวามีในห้อง นี่ก็ผ่านมา 7 วันนับตั้งแต่เขาถูกพิษ เว่ยจงหมิงก็ไม่ฟื้นสักที วันนี้ก็เช่นกันนางมานั่งข้างเตียงพูดคุยกับเขาดังเช่นเคยมือเรียวเล็กจับมือของเขามาสัมผัสที่หน้าท้องแบนราบของตนเอง“ท่านพี่ เมื่อไหร่ท่านจะฟื้นกันนะ” ร่างเล็กพึมพำ “ท่านรู้หรือไม่ว่าไคไคน้อยกำลังจะมีน้องชายน้องสาวแล้วนะ” ฟู่ลี่อิ๋งกระซิบแผ่วเบาสีหน้าของเว่ยจงหมิงดูดีกว่าหลายวันที่ผ่านมา วิธีการของท่านซุนออกจะประหลาดไปบ้างแต่ก็ได้ผล หนำซ้ำยังได้ยาบำรุงชั้นดีจากวังหลวงมาช่วยอีก นางก็คาดหวังให้เขาตื่นขึ้นมาก่อกวนออดอ้อนนางได้แล้วในขณะที่ร่างเล็กกำลังจะลุกขึ้น เอวเล็กแบบ
เสี่ยวหลงติดตามท่านเหลียงออกเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อติดตามเรียนรู้วิชาการตัดเย็บเสื้อผ้าจากเหลียงเหลียนฮ่าวและฝากตัวเป็นลูกศิษย์ แต่เมื่อหลายวันก่อนตอนเดินทาง ในวันที่พายุฝนโหมกระหน่ำ คณะเดินทางของท่านเหลียงผ่านไปพบกับสตรีผู้หนึ่ง นางนอนกลายเป็นซากคล้ายกับศพอยู่ในเส้นทางที่พวกเขาผ่านสภาพของนางไม่ต่างอะไรจากซากศพบาดแผลบนใบหน้าฉกรรจ์น่ารังเกียจ สัตว์และแมลงตอมไต่จนบาดแผลเน่าเฟะเหม็นคลุ้งเหลียงเหลียนฮ่าวใช้ไม้เขี่ย ๆ เห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่จึงพาตัวไปด้วยกันถือว่าเอาบุญ ตอนที่ช่วยเหลือเสี่ยวหลงเห็นตราหยกสีชมพูคล้าย ๆ กับชิ้นที่ไท่จื่อเฟยมี ก็เดา ๆ เอาไว้ว่าสตรีอัปลักษณ์ผู้นี้น่าจะเป็นผู้ใด แต่ก็ไม่ได้บอกเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟังกระดูกบนร่างกายของสตรีอัปลักษณ์หักอยู่หลายส่วน ท่านหมอที่ติดตามมากับคณะของเหลียงเหลียนฮ่าวใช้วิธีการเอาไม้ไผ่มาดามนางเอาไว้ทั้งร่าง ฟู่เหยาเหยาตื่นขึ้นมาอีกทีพบว่าร่างกายของตนเองกำลังถูกวางเอาไว้บนเกวียนบรรทุกสิ่งของ แขนขาถูกมัดเอาไว้กับไม้ไผ่ขยับไปไหนไม่ได้บาดแผลบนใบหน้าคล้ายกับมีอะไรบางอย่างขยับยุบยิบไปมา ในทุก ๆ วันจะมีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามาช่วยเปลี่
เจ้างูสีขาวตัวเล็ก ๆ ดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อยที่มันถูกผู้เป็นนายปลุกให้ตื่น มันสะบัดหัวไปมาและค่อย ๆ ยืดตัวชูคอขึ้นทำท่าทางคล้ายกับบิดขี้เกียจ แต่เมื่อเห็นหน้าผู้เป็นนายมันก็รีบกระโดดออกจากกระปุกสีขาวขึ้นไปหยอกล้อคลอเคลียท่าทางเหมือนกับลูกสุนัขตัวเล็ก ๆฟู่ลี่อิ๋งเห็นแล้วก็พูดสิ่งใดไม่ออก สัตว์มีเกล็ดลิ้นยาวพวกนั้นสามารถมองให้น่ารักได้ด้วยหรือ นางรู้สึกขนลุก แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดสิ่งใดออกมา ปล่อยให้ท่านซุนรักษาไปตามวิธีการของเขา แม้จะทำให้คนที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกคล้ายจะเป็นลมอยู่ตลอดเวลาก็ตามงูเทพหิมะเมื่อเห็นแมงป่องสีรุ้งมันก็คล้ายกับทำตาโตด้วยความดีใจ ซุนจงปล่อยมันลงกับพื้นพร้อม ๆ กับแมงป่องสีรุ้ง ทั้งงูและแมงป่องลงต่อสู้กัน เจ้าแม่งป่องพยายามใช้หางพิษของตนเองต่อสู้กับเจ้างูเทพหิมะแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้ต่อความปราดเปรียวของเจ้าตัวเล็กสีขาวทันทีที่แมงป่องสีรุ้งสิ้นท่า เจ้าตัวเล็กสีขาวก็เขมือบเจ้าแมงป่องตัวสีรุ้งที่นอนหมดแรง เข้าไปทั้งร่างอย่างเชื่องช้า เจ้าของร่างเล็กแบบบางต้องหลับตาขยับไปหลบอยู่เบื้องหลังของเสด็จลุงเพราะทนดูไม่ได้ เยี่ยเทียนก็ได้แต่ตบไหล่ปลอบโยน นี่เป็นเรื่องที่เขา







