LOGINแม่นางหลี่กอดบุตรสาวเอาไว้ เถียนสวี่หลันเองก็วางมือจากพู่กันหันมากอดมารดาของตน
“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ข้าสัญญา”
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป กลายเป็นตระกูลสวีที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ภายในเรือน แม้แต่สวีไคที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่กล้าออกมาสู้หน้าชาวบ้านอีกแล้ว เหตุเพราะบุตรสาวของตนทำเรื่องงามหน้าเอาไว้มากมายเช่นนั้น
ครบกำหนดห้าวันสวีไคได้นำเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาส่งให้เถียนสวี่หลันด้วยตนเอง ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ แต่สวีไคก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพราะตอนนี้เขาไม่มีชาวบ้านหนานซานคอยหนุนหลังอีกแล้ว หากต้องการจะเล่นงานตระกูลเถียนถือว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเขา
“อาเล็กอาสะใภ้รอง พวกท่านกำลังจะไปที่ใดอย่างนั้นหรือ”
เถียนสวี่หลันที่พึ่งออกมาจากห้อง เห็นสมาชิกทั้งสองของตระกูลเถียนกำลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่เดินออกจากเรือนไป
“หลายวันมานี้ฝนตกทุกวัน เรากำลังจะขึ้นเขาไปดูสักหน่อยว่ามีผักป่าขึ้นบ้างหรือไม่ เผื่อว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาทำอาหารเย็นบ้าง”
เถียนสวี่หลันได้ยินเช่นนั้นนางก็นึกสนุกขึ้นมา นางเกิดมามีชีวิตถึงสองครั้งแต่กลับไม่เคยขึ้นไปบนเขาด้านหลังหมู่บ้านเลย นี่นับว่าเป็นโอกาสหายากสำหรับนางแล้ว
“รอข้าสักครู่ ข้าขอไปกับพวกท่านด้วย”
นางวิ่งกลับไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนชุดที่สามารถใช้เดินขึ้นเขาได้สะดวก จากนั้นสตรีทั้งสามก็ออกจากเรือนตระกูลเถียนไป
เถียนสวี่หลันเดินขึ้นเขานำหน้าสตรีทั้งสองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ท่าทางอยากรู้อยากเห็นของนางเหมือนเด็กน้อยก็มิปาน ไม่ว่าเจอกับต้นอะไรที่ดูแปลกตานางก็ถามอาเล็กและอาสะใภ้รองของนางเสียงเจื้อยแจ้ว ทำให้การมาเก็บของป่าครั้งนี้ดูสนุกสนานว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
หากเถีตะกร้าลันรู้ว่าการออกมาจากเรือนตระกูลเถียนเพื่อพบกับสิ่งที่แปลกใหม่แล้วจะทำให้สนุกมากมายเช่นนี้ นางคงจะไม่เอาแต่อ่านตำราอยู่แค่ภายในเรือนเพียงอย่าง
“อาเล็กนี่มันเห็ดนี่นา เจ้าเห็ดนี่ทานได้หรือไม่”
เถียนซู่เจิงเดินมาดูเห็ดที่เถียนสวี่หลันพบ
“นี่มันเห็ดหอมสามารถทานได้ เจ้าโชคดีจริงๆ หลันเอ๋อ ขึ้นเขามาไม่นานก็ได้ของกินกลับไปแล้ว”
เถียนซู่เจิงเอ่ยชมหลานสาวอย่างไม่เก็บงำ เถียนสวี่หลันเชิดหน้าทำจมูกยื่นด้วยท่าทางภาคภูมิใจ เหมือนนางได้ค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งที่เจ้าสิ่งนั้นก็เป็นเพียงแค่เห็ดไม่กี่ดอกเท่านั้น
ท่าทางเช่นนั้นของนางทำเอาอาสะใภ้รองอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ นานแล้วที่พวกนางไม่ได้เห็นด้านที่น่ารักของเถียนสวี่หลัน ดูเหมือนวันนี้นางจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
หลังจากที่เก็บได้เห็ดหอมเถียนสวี่หลันยังเก็บได้เห็ดอย่างอื่นอีกมากมาย เถียนซู่เจิงให้นางเก็บเอามาก่อน เดี๋ยวค่อยไปเลือกเห็ดมีพิษและไม่มีพิษออกจากกัน นางเดินเก็บเห็ดอย่างเพลิดเพลิน โดยลืมไปว่าตนเองนั้นไม่ได้รู้เส้นทางบนภูเขา
เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง ทั้งอาเล็กและอาสะใภ้รองก็หายไปแล้ว เถียนสวี่หลันส่งเสียงเรียกพวกนางไปรอบๆ แต่ที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงสะท้อนของนางเองเท่านั้น ความรู้สึกหวาดกลัวเริ่มเกาะกุมภายในจิตใจ นางนั่งลงข้างต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ในใจก็ได้แต่นึกโทษตนเองที่ไม่ระวังตัว มัวแต่เก็บเห็ดเพลินจนตนเองต้องพลัดหลงกับคนอื่น
ในช่วงระหว่างที่นางกำลังรู้สึกสิ้นหวังอยู่นั้น มือของใครบางคนก็แตะที่หัวไหล่ของนางเบาๆ เถียนสวี่หลันสะดุ้งตกใจ นางหลับหูหลับตาร้องออกมาเสียงดังลั่นป่า
“อ๊า!!!!!”
เพราะความกลัวทำให้นางไม่ทันได้มองให้ชัดว่าเป็นใครกันที่จับหัวไหล่ของนางอยู่ เถียนสวี่หลันที่กำลังสติแตกทำท่าจะวิ่งหนีไป แต่กลับถูกมือเรียวนั้นดึงแขนเอาไว้
“ปล่อยข้านะ!! ปล่อยข้า!! ได้โปรดข้ากลัวแล้ว!!”
ใบหน้างามที่ตอนนี้มอมแมมไปด้วยดินโคลน ยังคงโวยวายไม่ยอมลืมตาขึ้นมองคนที่อยู่ตรงหน้า จนกระทั่งนางโดนดีดที่หน้าผากอย่างแรงจนปูดโนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด จึงทำให้นางสงบลงได้
“เถียนสวี่หลันลืมตาขึ้นมาดูเสียก่อนเถอะว่าข้าเป็นใคร เอาแต่ร้องโวยวายอยู่ได้ ทีวันก่อนยังแอบปีนออกนอกเรือนไปกลางดึกคนเดียว ไม่เห็นเจ้าจะมีท่าทีหวาดกลัวเช่นนี้”
ร่างบางได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจึงหยุดร้องโวยวายแล้วค่อยๆ หรี่ตาขึ้นมอง ร่างสูงที่ยืนทำหน้าไร้ความรู้สึกตรงหน้าจะเป็นใครไปได้นอกเสียจากเว่ยเจ๋อหมิง เมื่อเห็นว่าเป็นเขาความว้าวุ่นที่มีอยู่ภายในใจก่อนหน้านี้ของนางก็กลับมาสงบได้อีกครั้ง
“บัณฑิตเว่ย เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ หรือว่าเจ้าตามข้ามา”
เถียนสวี่หลันมองไปที่ร่างสูงด้วยท่าทีหวาดระแวง
“เลิกคิดเหลวไหลได้แล้ว”
เว่ยเจ๋อหมิงเคาะไปที่หน้าผากของนางอีกครั้ง เถียนสวี่หลันยกมือกุมหน้าผากที่บวมปูดของตนก่อนจะถลึงตาใส่เขา ร่างสูงไม่สนใจท่าทางหงุดหงิดที่เถียนสวี่หลันแสดงออก
เขาก้มลงเก็บตะกร้าไม้ไผ่ใบเล็กของนางที่หล่นกระจัดกระจาย ทั้งเห็ดมีพิษและเห็ดที่กินได้ถูกใส่รวมเอาไว้ด้วยกันทั้งหมด เว่ยเจ๋อหมิงคัดเห็ดพิษทิ้งไปทั้งยังมองใบหน้างามที่ลายพร้อยเป็นลูกแมวหลงทางของนาง ด้วยความสงสัย
“เจ้ากำลังคิดที่จะฆาตกรรมครอบครัวตนเองด้วยเห็ดพิษพวกนี้หรือ”
ร่างสูงเอ่ยถามนางออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เกินครึ่งของเห็ดในตะกร้าไม้ไผ่เป็นเห็ดพิษที่พบเห็นได้ทั่วไปในภูเขาลูกนี้ คงไม่ใช่ว่านางไม่รู้จริงๆ หรอกกระมัง ว่าพวกมันกินไม่ได้
“ก็นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าขึ้นเขามานี่นา ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเห็ดชนิดไหนกินได้ ชนิดไหนมีพิษ อาเล็กบอกว่าเดี๋ยวค่อยมาคัดเอาออกทีหลัง”
เถียนสวี่หลันตอบอ้อมแอ้มเสียงเบา เว่ยเจ๋อหมิงถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ นางไม่รู้จริงๆ สินะ หากนางหลงอยู่ในป่าเพียงคนเดียวคงมิใช่ตายเพราะอดอาหาร แต่นางอาจจะตายเพราะไปกินบางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าเข้า
“อาเล็กของเจ้าอยู่ที่ใด”
เถียนสวี่หลันส่ายหน้า หากข้ารู้ข้าก็คงไปตามหานางแล้วสิ จะมานั่งจุมปุ๊กอยู่ที่นี่เพียงคนเดียวเพื่ออะไร นางบ่นเว่ยเจ๋อหมิงในใจคนเดียว เหมือนร่างสูงจะรู้ว่านางกำลังแอบด่าเขาในใจ เว่ยเจ๋อหมิงยกมือขึ้นจะดีดหน้าผากของนางอีกครั้ง เถียนสวี่หลันรีบยกมือขึ้นป้องกันหน้าผากของตนทันที
“ตามมานี่”
เว่ยเจ๋อหมิงสะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่เอาไว้ด้านหลัง เขาออกเดินนำหน้านางไปก่อน เถียนสวี่หลันมองซ้ายมองขวาจากนั้นจึงรีบวิ่งตามเขาไป
“รอข้าด้วย”
เว่ยเจ๋อหมิงพานางเดินตามทางลัดเลาะไปเรื่อยๆ ราวหนึ่งชั่วยามทั้งสองคนก็มาโผล่ที่ทางเดินที่นางใช้ขึ้นเขาก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นว่านางปลอดภัยแล้วเขาก็ทำท่าจะผละจากไป
“เดี๋ยวก่อน”
เว่ยเจ๋อหมิงหันกลับไปมองร่างบางที่กำลังยืนบิดไปมาด้วยท่าทางประหม่า เขาเลิกคิดวขึ้นเหมือนกำลังถามนางด้วยสีหน้าว่ายังมีอะไรอีก
“ข้า...ขอบคุณที่เจ้าพาข้าออกมาจากป่า”
เว่ยเจ๋อหมิงถอนหายใจออกมาเบาๆ เหมือนกำลังรำคาญ
“ต่อให้เป็นสุนัขที่กำลังหลงป่า ข้าเจอข้าก็จะช่วยออกมาเช่นกัน ไม่ต้องขอบคุณ”
เอ่ยจบเขาก็เดินจากไป ทิ้งให้เถียนสวี่หลันร้องโวยวายขึ้นอย่างไม่พอใจ เว่ยเจ๋อหมิงได้ยินเสียงสบถของนางดังแว่วตามมาด้านหลัง ร่างสูงยกยิ้มมุมปากบางๆ โดยไม่รู้ตัว เว่ยเจ๋อหมิงไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่เขารู้สึกว่าการที่ได้เอ่ยหยอกเย้าทำให้นางไม่พอใจกลายเป็นเรื่องสนุกของตนไปแล้ว
แม่นางหลี่กอดบุตรสาวเอาไว้ เถียนสวี่หลันเองก็วางมือจากพู่กันหันมากอดมารดาของตน“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ข้าสัญญา”หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป กลายเป็นตระกูลสวีที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ภายในเรือน แม้แต่สวีไคที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่กล้าออกมาสู้หน้าชาวบ้านอีกแล้ว เหตุเพราะบุตรสาวของตนทำเรื่องงามหน้าเอาไว้มากมายเช่นนั้นครบกำหนดห้าวันสวีไคได้นำเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาส่งให้เถียนสวี่หลันด้วยตนเอง ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ แต่สวีไคก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพราะตอนนี้เขาไม่มีชาวบ้านหนานซานคอยหนุนหลังอีกแล้ว หากต้องการจะเล่นงานตระกูลเถียนถือว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเขา“อาเล็กอาสะใภ้รอง พวกท่านกำลังจะไปที่ใดอย่างนั้นหรือ”เถียนสวี่หลันที่พึ่งออกมาจากห้อง เห็นสมาชิกทั้งสองของตระกูลเถียนกำลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่เดินออกจากเรือนไป“หลายวันมานี้ฝนตกทุกวัน เรากำลังจะขึ้นเขาไปดูสักหน่อยว่ามีผักป่าขึ้นบ้างหรือไม่ เผื่อว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาทำอาหารเย็นบ้าง”เถียนสวี่หลันได้ยินเช่นนั้นนางก็นึกสนุกขึ้นมา นางเกิดมามีชีวิตถึงสองครั้งแต่กลับไม่เคยขึ้นไปบนเขาด้านหลังหมู
ท่าทางยืนก้มหน้าเท้าเขี่ยพื้นของนางตอนนี้ในสายตาของเว่ยเจ๋อหมิงมันช่างดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้สองสามเดือนเขาได้ยินจากเถียนซู่เจิงว่าอาการของนางไม่ค่อยดี ความรู้สึกเป็นห่วงนางแปลกๆ ก็เกิดขึ้นภายในใจของเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุเขาเองก็ไม่อยากยอมรับว่าตั้งแต่ที่นางแสดงอาการหวาดกลัวซ่งหยางเฉิงออกมาที่ร้านขายตำรา ในหัวของเขาก็มีแต่ภาพของนางและไม่สามารถสลัดมันให้หลุดออกไปได้ยิ่งได้ยินว่านางกำลังป่วยเขายิ่งรู้สึกเป็นห่วงและร้อนรน เขาอยากไปพบนางที่เรือนตระกูลเถียน แต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ระหว่างเขาและนางเราสองคนมิได้มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน แล้วเขาจะใช้เหตุผลใดเข้าไปเยี่ยมนางเล่า“หากเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็ปล่อยแขนของข้าเสียที มิใช่ว่าเมื่อคืนข้าพูดกับเจ้าชัดเจนแล้วหรือ ต่อไปนี้ระหว่างเราไม่จำเป็นจะต้องพูดคุย เมื่อเจ้าพบข้าโดยบังเอิญเจ้าก็ทำเหมือนข้าเป็นอากาศเสีย”เถียนสวี่หลันดึงแขนของตนออกจากมือของเว่ยเจ๋อ หมิง ก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนของหัวหน้าหมู่บ้าน เว่ยเจ๋อ หมิงมองมือที่ว่างเปล่าของตนไม่ต่างจากหัวใจของเขาที่เหมือนถูกฉีกกระชากเขาไม่รู้ว่าเหตุใดทุกครั้งที่เขาพยายามจะพูดคุยดีๆ กับนา
นักพรตหนุ่มที่สวีม่านนีเชิญมา จัดตั้งโต๊ะประกอบพิธีกรรมขับไล่ดวงวิญญาณทันที หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายยุติการโต้เถียงกัน ชาวบ้านในอำเภอเหออันต่างก็รู้ดีเรื่องชื่อเสียงของนักพรตผู้นี้ ทุกคนต่างก็ยกมือขึ้นพนมหลังจากที่เขาเริ่มบทสวดเสียงสวดภาวนาของเขาดังก้องไปทั่วหมู่บ้าน ทุกคนต่างเงียบเพื่อรอดูเหตุการณ์ต่อไป เถียนสวี่หลันที่เป็นตัวเอกยืนมองชาวบ้านที่มามุงดูด้วยสายตาเรียบเฉยแม้จะมีโอกาสได้มีชีวิตถึงสองครั้ง แต่เรื่องวุ่นวายทำนองนี้ก็ไม่ยอมหายไปจากชีวิตของนางเสียที นางจะต้องทำอย่างไรที่จะให้พวกเขายอมเลิกราไปแต่โดยดี เถียนสวี่หลันถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายผู้ช่วยที่ติดตามนักพรตมาด้วยเชือดไก่สองตัวเพื่อรีดเอาเลือดของมัน ทุกคนเห็นกับตาว่าไก่สองตัวนั้นดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดจนกระทั่งมันหยุดดิ้นเพราะถูกรีดเอาเลือดไปจนหมดตัวผู้ช่วยนำเลือดมาวางด้านหน้านักพรตหนุ่มที่ยืนกวัดแกว่งกระบี่ไม้ของตนที่หน้าปะรำพิธี นักพรตหนุ่มผู้นั้นยังคงหลับตาปากก็ไม่ยอมหยุดสวดภาวนา จนกระทั่งเขาใช้ยันต์แผนสี่เหลืองโยนขึ้นไปด้านบนพร้อมกัน สวีม่านนีที่ยืนมองอยู่ข้างสวีไคมองไปยังเถียนสวี่หลันที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อม ใบหน
เมื่อได้ยินเถียนสวี่หลันเอ่ยเช่นนั้น ชาวบ้านหนานซานทั้งหมดต่างก็มองไปที่หัวหน้าหมู่บ้านเป็นตาเดียว สวีไคมีท่าทีลังเลเล็กน้อย หากวันนี้เขาไม่ยอมรับผิดชอบคำพูดของตน ต่อไปคงจะไม่มีใครเชื่อถือในคำพูดของเขาอีกต่อไปแล้ว“ได้ เถียนสวี่หลันหากว่าเจ้ามิได้ถูกผีเข้า ข้าจะยอมจ่ายให้เจ้ายี่สิบตำลึงเป็นค่าทำขวัญ”เถียนสวี่หลันยกยิ้มมุมปาก ยี่สิบตำลึงอย่างนั้นหรือ เงินเพียงแค่นั้นยังไม่พอค่าจ้างและค่าเสียเวลาของข้าเลยสักนิด นางส่ายหน้าปฏิเสธ“หนึ่งร้อยตำลึง ไม่อย่างนั้นข้าจะไปแจ้งกับทางการว่าพวกเจ้าชาวบ้านหนานซานใส่ร้ายข้าและคิดจะบีบคั้นให้คนตระกูลเถียนของข้าออกไปจากหมู่บ้าน”“พวกเจ้าลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือ ว่าหลายคนที่นี่ต่างก็เช่าที่ดินของบ้านข้าทำนาอยู่ หากไม่อยากอดตายก็จงทำตามที่ข้าเรียกร้องซะ ไม่อย่างนั้น....ข้าจะให้ท่านปู่ขายที่ดินในหมู่บ้านหนานซานคืนให้ทางการ เมื่อถึงเวลานั้นค่าเช่าก็คงจะเป็นหกต่อสี่ อีกทั้งยังต้องจ่ายภาษีให้กับทางการอีก พวกเจ้าจงเลือกเอาว่าจะเลือกหนทางไหน”เถียนสวี่หลันยิ้มเยาะเย้ยสวีไค หากเขาไม่ทำตามความต้องการของนาง คนที่ถูกกดดันก็จะเป็นตัวเขาเอง ใครบ้างไม่รู้ว่าคนตระกูลเถ
“เราไปกันเถอะไปดูว่าวันนี้จะมีงิ้วอันใดให้ดูกัน”สองอาหลานเดินมาถึงหน้าเรือน ที่นั่นมีครอบครัวของนางรวมตัวอยู่กันครบนอกจากเถียนห่าวซวนที่ไปสำนักศึกษา เถียนสวี่หลันมองชาวบ้านที่มาชุมนุมที่หน้าเรือของนางทีละคน ก่อนที่จะไปหยุดที่สวีม่านนีที่ยืนอยู่หลบอยู่ด้านหลังบิดาของนาง“ท่านย่า ชาวบ้านเหล่านี้มาที่เรือนของเราด้วยเหตุใดหรือเจ้าคะ”เถียนสวี่หลันถามแม่เฒ่าจางด้วยใบหน้าใสซื่อ เหมือนนางไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้“จะอะไรเสียอีก ก็คนพวกนี้หาว่าหลันเอ๋อของย่าถูกผีเข้าน่ะสิ จึงได้พาซินแสมาที่นี่”หลังจากแม่เฒ่าจางเอ่ยจบคนตระกูลเถียนก็มายืนขวางระหว่างนางและชาวบ้านเอาไว้ เถียนสวี่หลันเห็นเช่นนั้นนางก็รู้สึกอุ่นวาบในหัวใจทันทีเหตุใดชีวิตก่อนนางถึงมองไม่เห็นความรักความหวังดีที่พวกเขามีให้นางบ้างเลยนะ หลังจากที่ซ่งหยางเฉิงเดินทางเข้าไปในเมืองหลวง นางก็รีบตามเขาไปไม่แม้แต่จะคิดติดต่อกลับมาที่ตระกูลเถียนอีกเลยนางนี่ช่างเป็นคนเลวที่ลืมแม้แต่บุญคุณของคนในครอบครัวที่รักและปกป้องนางมาทั้งชีวิต หรือว่าเรื่องที่เกิดกับนางทั้งหมดจะเป็นเวรกรรมที่นางสมควรได้รับกัน“แม่เฒ่าจาง ท่านอย่าปกป้องนา
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!!”เถียนสวี่หลันพยายามแกะมือใหญ่ที่กำลังลากตนด้วยท่าทางทุลักทุเล เพราะเว่ยเจ๋อหมิงที่ตัวสูงกว่าจึงทำให้ภาพออกมาเหมือนเขากำลังหิ้วเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งในมือ“เถียนสวี่หลันบอกมาซิว่าเจ้าเข้าไปทำอันใดในเรือนตระกูลสวี ข้านึกว่าหลายเดือนมานี้ที่เจ้าอยู่เงียบๆ เป็นเพราะว่าเจ้าคิดได้แล้ว แม้แต่อาเล็กของเจ้าก็ยังเอ่ยปากแทนว่านิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ดูเหมือนทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่การแสดงสินะ สุนัขที่เคยกินอาจมมันย่อมไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยได้ง่ายๆ”เถียนสวี่หลันหยุดดิ้นทันที ดวงตาแดงก่ำจ้องไปยังร่างสูงอย่างแข็งกร้าว คำพูดที่แสนดูถูกของเขาทำให้นางนึกถึงเรื่องราวในชีวิตก่อน ตอนที่นางยังไม่ได้ถูกตัดแขนขานางเคยถูกบ่าวรับใช้ในเรือนของซ่งหยางเฉิงรังแก พวกเขาทุกคนต่างประชดประชันนางว่าเป็นหมูบ้างล่ะ เป็นสุนัขที่กินอาจมบ้างล่ะคำพูดดูแคลนสารพัดต่างก็ถูกซัดสาดมาที่นาง หลังจากที่ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งเถียนสวี่หลันไม่คิดว่าตนจะมาได้ยินคำพูดดูถูกเหล่านั้นอีกครั้งดวงตากลมโตไหวระริก ความเจ็บปวดทั้งหลายปรากฏขึ้นในดวงตางาม เถียนสวี่หลันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ นางไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอต่







