LOGINท่าทางยืนก้มหน้าเท้าเขี่ยพื้นของนางตอนนี้ในสายตาของเว่ยเจ๋อหมิงมันช่างดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้สองสามเดือนเขาได้ยินจากเถียนซู่เจิงว่าอาการของนางไม่ค่อยดี ความรู้สึกเป็นห่วงนางแปลกๆ ก็เกิดขึ้นภายในใจของเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เขาเองก็ไม่อยากยอมรับว่าตั้งแต่ที่นางแสดงอาการหวาดกลัวซ่งหยางเฉิงออกมาที่ร้านขายตำรา ในหัวของเขาก็มีแต่ภาพของนางและไม่สามารถสลัดมันให้หลุดออกไปได้
ยิ่งได้ยินว่านางกำลังป่วยเขายิ่งรู้สึกเป็นห่วงและร้อนรน เขาอยากไปพบนางที่เรือนตระกูลเถียน แต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ระหว่างเขาและนางเราสองคนมิได้มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน แล้วเขาจะใช้เหตุผลใดเข้าไปเยี่ยมนางเล่า
“หากเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็ปล่อยแขนของข้าเสียที มิใช่ว่าเมื่อคืนข้าพูดกับเจ้าชัดเจนแล้วหรือ ต่อไปนี้ระหว่างเราไม่จำเป็นจะต้องพูดคุย เมื่อเจ้าพบข้าโดยบังเอิญเจ้าก็ทำเหมือนข้าเป็นอากาศเสีย”
เถียนสวี่หลันดึงแขนของตนออกจากมือของเว่ยเจ๋อ หมิง ก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนของหัวหน้าหมู่บ้าน เว่ยเจ๋อ หมิงมองมือที่ว่างเปล่าของตนไม่ต่างจากหัวใจของเขาที่เหมือนถูกฉีกกระชาก
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดทุกครั้งที่เขาพยายามจะพูดคุยดีๆ กับนาง แต่มันกลับลงเอยด้วยการที่เขาเอ่ยคำพูดร้ายๆ ออกมา
เมื่อคืนนี้เองก็เช่นกัน เดิมทีเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะพูดเช่นนั้นเลยสักนิด เพียงเพราะอารมณ์โกรธที่มีต่อนางทำให้เขาต่อว่านางออกไปโดยไม่รู้ตัว
เถียนสวี่หลันวิ่งตามขบวนชาวบ้านไปจนถึงด้านหน้าเรือนของหัวหน้าหมู่บ้าน นางยังไม่ทันที่จะก้าวข้ามธรณีประตู เสียงกรีดร้องของสวีม่านนีก็ดังออกมาจากในเรือน
เถียนสวี่หลันยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ พวกเขาพบมันแล้วสินะ ตุ๊กตาหุ่นไม้ที่มีรูปร่างเหมือนสตรีและหุ่นปั้นดินชายหญิงที่ถูกมัดรวมกัน ทั้งยังมีซากสัตว์เล็กๆ ที่ตายมานานจนแห้งถูกพบภายในเรือนของหัวหน้าหมู่บ้าน
ครั้งนี้ต่อให้นางปฏิเสธก็คงไม่สามารถหนีรอดไปได้ ทุกคนที่ตามมาดูต่างก็หันไปมองสวีม่านนีเป็นตาเดียว นางเป็นคนที่ถูกไก่สองตัวพุ่งเข้าใส่ ชาวบ้านจึงคิดว่านี่อาจจะเป็นฝีมือของนาง
“นี่ไม่ใช่ของข้านะ ข้าไม่เคยเห็นมันเลยสักครั้ง ข้าถูกใส่ร้าย”
สวีม่านนีรีบลนลานปฏิเสธ ใบหน้าของนางซีดเผือดไร้สีเลือด ตอนนี้นางกำลังหวาดกลัวแล้วจริงๆ สายตาของสวีม่านนีสอดส่ายมองไปรอบๆ จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่เถียนสวี่หลันที่พึ่งเดินเข้ามา
“เป็นนาง ต้องเป็นนางที่นำของพวกนี้มาไว้ที่นี่เพื่อใส่ร้ายข้าแน่ ทุกคนควรจับตัวนางเอาไว้สิ ไม่ใช่มาสงสัยข้า”
เถียนสวี่หลันที่พึ่งมาถึง นางก็เดินเข้าไปตบหน้าของสวีม่านนีสองครั้งจนนางล้มลงไปกองกับพื้น แก้มสองข้างที่ถูกตบก็บวมเป็นหัวหมูขึ้นมาทันที ดวงตาของเถียนสวี่หลังมองต่ำไปยังร่างที่ล้มอยู่ที่พื้นด้วยสายตาสมเพช นางตะคอกสวีม่านนีออกไปอย่างเหลืออด
“ข้าใส่ร้ายเจ้าอย่างนั้นหรือ เป็นข้าที่ให้นักพรตผู้นี้มาที่นี่หรืออย่างไร หรือเป็นข้าที่กุเรื่องทุกอย่างขึ้น สวีม่านนีเจ้าควรมีความละอายแก่ใจบ้าง ข้าอยากรู้ว่าเจ้าทำเช่นนี้ไปเพื่อสิ่งใดกัน ต่อให้เจ้ารู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าข้า เจ้าก็ไม่ควรทำให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้”
เถียนสวี่หลันเดินไปยังตุ๊กตาหุ่นไม้สองตัวที่วางอยู่ที่พื้น หนึ่งตัวที่มีลักษณะที่เป็นหญิง มียันต์สีเหลืองแปะเอาไว้และมีเข็มหมุดปักอยู่มากมายทั่วทั้งตัว เถียนสวี่หลันดึงเข็มหมุดเหล่านั้นออก จากนั้นนางจึงพลิกกระดาษยันต์ดูด้านล่าง บนยันต์แผ่นนั้นมือชื่อของเถียนสวี่หลันเขียนเอาไว้ นางยกให้ชาวบ้านที่มามุงดูได้เห็นโดยทั่วกัน
“หรือว่าที่เห็นอยู่ทั้งหมดนี้คือจุดประสงค์ของเจ้ากันสวีม่านนี เจ้าถึงกลับกล้าใช้มนต์ดำใส่หุ่นไม้เพื่อทำร้ายข้าอย่างนั้นหรือ มิน่าเล่าหลายเดือนก่อนข้าถึงต้องทนทุกข์ทรมานอยู่นานนับเดือน ที่แท้ก็เป็นฝีมือของเจ้านั่นเอง”
เถียนสวี่หลันหาคำอธิบายเกี่ยวกับอาการป่วยของนางเอาไว้แล้ว และหุ่นไม้ที่วางอยู่ตรงนั้นคือคำตอบ
“ไม่ ข้าไม่ได้เป็นคนทำ อาการที่เจ้าเป็นอยู่คือเจ้ากำลังถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ของพวกนี้ก็เป็นเจ้าที่หามา”
เถียนสวี่หลันหัวเราะออกมาเสียงดัง นางลากสวีม่านนีไปยังหุ่นไม้ที่วางอยู่ที่พื้น
“ข้าหรือหาของพวกนี้มา เจ้าลองคิดให้รอบคอบกว่านี้หน่อยดีหรือไม่ หากวันนี้เจ้าไม่พานักพรตมาขับไล่วิญญาณร้ายที่เรือนของข้า จะมีใครในหมู่บ้านรู้บ้างว่าสิ่งอัปมงคลเหล่านี้อยู่ในเรือนของเจ้า สวีม่านนีเจ้าจะไม่ยอมรับก็ได้ แต่หากไม่ใช่เจ้าที่ทำเรื่องนี้ก็คงจะต้องเป็นสมาชิกคนใดคนหนึ่งในเรือนตระกูลสวีแน่”
สวีม่านนีส่ายหน้าไปมา นางร้องไห้เสียงดังขอร้องให้บิดาช่วยเหลือ แต่น่าเสียดายที่สวีไคเองก็แทบเอาตัวเองไม่รอดเช่นกัน ชายวัยกลางคนรู้สึกว่าครั้งนี้ตระกูลสวีของตนกำลังจะจบสิ้นแล้ว
ตะกร้าถียนสวี่หลันจำเป็นต้องกระชากคนตระกูลสวีลงมา เพื่อทำให้ชาวบ้านเลิกเชื่อถือในตัวพวกเขาให้ได้ ไม่อย่างนั้นนางคงจะต้องถูกหาเรื่องเช่นนี้อยู่ร่ำไป
ร่างบางก้มลงหยิบหุ่นปั้นชายหญิงที่พันด้วยด้ายสีชาดประกบกันเหมือนคู่บ่าวสาว ใบหน้าของนางสงบนิ่งไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆ เถียนสวี่หลันแกะเส้นด้ายพวกนั้นออกก่อนที่จะดึงรูปปั้นดินทั้งสองออกจากกัน
ตรงกลางระหว่างรูปปั้นมีกระดาษที่เขียนตัวอักษรบางอย่างเอาไว้ ด้านในเป็นชื่อและวันเดือนปีเกิดของเว่ยเจ๋อหมิง ที่นางรู้เพราะชีวิตก่อนตอนที่นางแต่งงานกับเขาจะต้องใช้วันเดือนปีเกิดของทั้งสองฝ่ายส่งเพื่อให้แม่สื่อ เถียนสวี่หลันอ่านตัวหนังสือในกระดาษออกมาเสียงดัง ก่อนจะหันไปมองใบหน้าที่บวมเหมือนหัวหมูของสวีม่านนี
“นี่!!!..เจ้าถึงกับทำมนต์เสน่ห์ใส่เว่ยเจ๋อหมิงเลยเชียวหรือ หลักฐานคาตาเช่นนี้แล้วยังจะกล้าปฏิเสธว่ามิใช่ฝีมือของเจ้าอยู่อีกหรือไม่”
นางเหยียบหุ่นดินทั้งสองตัวจนแหลกละเอียดคาเท้า ก่อนที่จะหันไปถามนักพรตหนุ่ม
“ท่านนักพรตคิดเห็นอย่างไร นางถูกวิญญาณชักนำให้ทำเช่นนี้ใช่หรือไม่ ไม่อย่างนั้นคนดีดีผู้หนึ่งไหนเลยจะกล้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ได้ ตระกูลสวีนี่ช่างน่าหวาดกลัวนัก”
นางขยิบตาให้นักพรตที่ยืนเงียบมานานเพื่อให้เขาเออออไปกับตน
“ถูกต้องอย่างที่แม่นางพูด ข้าจะให้ยันต์นี้แก่พวกเจ้าทุกคนเอาไว้ป้องกันวิญญาณร้าย ต่อไปนี้พวกมันจะไม่กล้ากลับมาที่หมู่บ้านหนานซานอีกแล้ว”
เถียนสวี่หลันพยักหน้าให้นักพรตหนุ่ม ก่อนที่นางจะเดินไปหาหัวหน้าหมู่บ้านที่คุกเข่าที่พื้นด้วยท่าทางสิ้นหวัง จบแล้วตระกูลสวีของเขาจบสิ้นด้วยน้ำมือของเขาหมดแล้ว
“สวีไค อย่าลืมที่เจ้าเคยรับปากกับข้าเอาไว้เล่า หาเงินหนึ่งร้อยตำลึงมา ไม่อย่างนั้นที่นาทั้งหมดของเจ้าจะต้องตกเป็นของตระกูลเถียน เจ้ามีเวลาห้าวัน รีบหน่อยก็ดีเพราะข้าเป็นคนที่ไม่ชอบรอใคร”
เมื่อเรื่องทุกอย่างจบลงชาวบ้านต่างก็ทยอยออกมาจากเรือนตระกูลสวี คนตระกูลเถียนเดินยิ้มแย้มอารมณ์ดีกลับไปที่เรือนของตน ชาวบ้านที่เคยรุมใส่ร้ายตระกูลเถียนคนที่เช่าที่นาและคนที่เคยยืมเงินจากตระกูลเถียนต่างก็รวมตัวกันที่หน้าเรือน เพื่อกล่าวขอโทษท่านปู่ของเถียนสวี่หลัน
ถึงแม้พวกเขาจะมายืนรอที่ประตูหน้าเรือนแล้วก็ตาม แต่ท่านปู่ของนางก็ไม่ยอมเปิดประตูต้อนรับใครสักคนเข้ามา เพราะยังรู้สึกโมโหเรื่องที่หลานสาวคนดีถูกพวกเขาใส่ร้าย
ส่วนเถียนสวี่หลันหลังจากจบเรื่องทุกอย่างแล้ว นางก็กลับมาที่ห้องของตนเพื่ออ่านตำราและคัดตัวอักษรเช่นเดิม ไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ชาวบ้านกลับมาขอร้องให้คนตระกูลเถียนของนางให้อภัย
“เด็กคนนี้นี่ เกิดเรื่องมากมายเพียงนี้เจ้ายังจะใจเย็นได้อยู่อีกหรือ ข้าล่ะใจหายใจคว่ำกลัวว่าเจ้าจะพลาดให้คนตระกูลสวี่เหยียบซ้ำลงมา ถึงแม้ตระกูลเถียนของเราจะถูกใส่ร้ายจนอยู่ที่นี่ไม่ได้ แต่พวกเราก็สามารถย้ายไปอยู่ที่อื่นได้ ต่อไปลูกห้ามทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้ด้วยตนเองเด็ดขาดรู้หรือไม่ อย่าลืมว่าคนตระกูลเถียนทุกคนล้วนอยู่ข้างลูกเสมอ”
แม่นางหลี่กอดบุตรสาวเอาไว้ เถียนสวี่หลันเองก็วางมือจากพู่กันหันมากอดมารดาของตน“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ข้าสัญญา”หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป กลายเป็นตระกูลสวีที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ภายในเรือน แม้แต่สวีไคที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่กล้าออกมาสู้หน้าชาวบ้านอีกแล้ว เหตุเพราะบุตรสาวของตนทำเรื่องงามหน้าเอาไว้มากมายเช่นนั้นครบกำหนดห้าวันสวีไคได้นำเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาส่งให้เถียนสวี่หลันด้วยตนเอง ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ แต่สวีไคก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพราะตอนนี้เขาไม่มีชาวบ้านหนานซานคอยหนุนหลังอีกแล้ว หากต้องการจะเล่นงานตระกูลเถียนถือว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเขา“อาเล็กอาสะใภ้รอง พวกท่านกำลังจะไปที่ใดอย่างนั้นหรือ”เถียนสวี่หลันที่พึ่งออกมาจากห้อง เห็นสมาชิกทั้งสองของตระกูลเถียนกำลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่เดินออกจากเรือนไป“หลายวันมานี้ฝนตกทุกวัน เรากำลังจะขึ้นเขาไปดูสักหน่อยว่ามีผักป่าขึ้นบ้างหรือไม่ เผื่อว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาทำอาหารเย็นบ้าง”เถียนสวี่หลันได้ยินเช่นนั้นนางก็นึกสนุกขึ้นมา นางเกิดมามีชีวิตถึงสองครั้งแต่กลับไม่เคยขึ้นไปบนเขาด้านหลังหมู
ท่าทางยืนก้มหน้าเท้าเขี่ยพื้นของนางตอนนี้ในสายตาของเว่ยเจ๋อหมิงมันช่างดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้สองสามเดือนเขาได้ยินจากเถียนซู่เจิงว่าอาการของนางไม่ค่อยดี ความรู้สึกเป็นห่วงนางแปลกๆ ก็เกิดขึ้นภายในใจของเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุเขาเองก็ไม่อยากยอมรับว่าตั้งแต่ที่นางแสดงอาการหวาดกลัวซ่งหยางเฉิงออกมาที่ร้านขายตำรา ในหัวของเขาก็มีแต่ภาพของนางและไม่สามารถสลัดมันให้หลุดออกไปได้ยิ่งได้ยินว่านางกำลังป่วยเขายิ่งรู้สึกเป็นห่วงและร้อนรน เขาอยากไปพบนางที่เรือนตระกูลเถียน แต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ระหว่างเขาและนางเราสองคนมิได้มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน แล้วเขาจะใช้เหตุผลใดเข้าไปเยี่ยมนางเล่า“หากเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็ปล่อยแขนของข้าเสียที มิใช่ว่าเมื่อคืนข้าพูดกับเจ้าชัดเจนแล้วหรือ ต่อไปนี้ระหว่างเราไม่จำเป็นจะต้องพูดคุย เมื่อเจ้าพบข้าโดยบังเอิญเจ้าก็ทำเหมือนข้าเป็นอากาศเสีย”เถียนสวี่หลันดึงแขนของตนออกจากมือของเว่ยเจ๋อ หมิง ก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนของหัวหน้าหมู่บ้าน เว่ยเจ๋อ หมิงมองมือที่ว่างเปล่าของตนไม่ต่างจากหัวใจของเขาที่เหมือนถูกฉีกกระชากเขาไม่รู้ว่าเหตุใดทุกครั้งที่เขาพยายามจะพูดคุยดีๆ กับนา
นักพรตหนุ่มที่สวีม่านนีเชิญมา จัดตั้งโต๊ะประกอบพิธีกรรมขับไล่ดวงวิญญาณทันที หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายยุติการโต้เถียงกัน ชาวบ้านในอำเภอเหออันต่างก็รู้ดีเรื่องชื่อเสียงของนักพรตผู้นี้ ทุกคนต่างก็ยกมือขึ้นพนมหลังจากที่เขาเริ่มบทสวดเสียงสวดภาวนาของเขาดังก้องไปทั่วหมู่บ้าน ทุกคนต่างเงียบเพื่อรอดูเหตุการณ์ต่อไป เถียนสวี่หลันที่เป็นตัวเอกยืนมองชาวบ้านที่มามุงดูด้วยสายตาเรียบเฉยแม้จะมีโอกาสได้มีชีวิตถึงสองครั้ง แต่เรื่องวุ่นวายทำนองนี้ก็ไม่ยอมหายไปจากชีวิตของนางเสียที นางจะต้องทำอย่างไรที่จะให้พวกเขายอมเลิกราไปแต่โดยดี เถียนสวี่หลันถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายผู้ช่วยที่ติดตามนักพรตมาด้วยเชือดไก่สองตัวเพื่อรีดเอาเลือดของมัน ทุกคนเห็นกับตาว่าไก่สองตัวนั้นดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดจนกระทั่งมันหยุดดิ้นเพราะถูกรีดเอาเลือดไปจนหมดตัวผู้ช่วยนำเลือดมาวางด้านหน้านักพรตหนุ่มที่ยืนกวัดแกว่งกระบี่ไม้ของตนที่หน้าปะรำพิธี นักพรตหนุ่มผู้นั้นยังคงหลับตาปากก็ไม่ยอมหยุดสวดภาวนา จนกระทั่งเขาใช้ยันต์แผนสี่เหลืองโยนขึ้นไปด้านบนพร้อมกัน สวีม่านนีที่ยืนมองอยู่ข้างสวีไคมองไปยังเถียนสวี่หลันที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อม ใบหน
เมื่อได้ยินเถียนสวี่หลันเอ่ยเช่นนั้น ชาวบ้านหนานซานทั้งหมดต่างก็มองไปที่หัวหน้าหมู่บ้านเป็นตาเดียว สวีไคมีท่าทีลังเลเล็กน้อย หากวันนี้เขาไม่ยอมรับผิดชอบคำพูดของตน ต่อไปคงจะไม่มีใครเชื่อถือในคำพูดของเขาอีกต่อไปแล้ว“ได้ เถียนสวี่หลันหากว่าเจ้ามิได้ถูกผีเข้า ข้าจะยอมจ่ายให้เจ้ายี่สิบตำลึงเป็นค่าทำขวัญ”เถียนสวี่หลันยกยิ้มมุมปาก ยี่สิบตำลึงอย่างนั้นหรือ เงินเพียงแค่นั้นยังไม่พอค่าจ้างและค่าเสียเวลาของข้าเลยสักนิด นางส่ายหน้าปฏิเสธ“หนึ่งร้อยตำลึง ไม่อย่างนั้นข้าจะไปแจ้งกับทางการว่าพวกเจ้าชาวบ้านหนานซานใส่ร้ายข้าและคิดจะบีบคั้นให้คนตระกูลเถียนของข้าออกไปจากหมู่บ้าน”“พวกเจ้าลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือ ว่าหลายคนที่นี่ต่างก็เช่าที่ดินของบ้านข้าทำนาอยู่ หากไม่อยากอดตายก็จงทำตามที่ข้าเรียกร้องซะ ไม่อย่างนั้น....ข้าจะให้ท่านปู่ขายที่ดินในหมู่บ้านหนานซานคืนให้ทางการ เมื่อถึงเวลานั้นค่าเช่าก็คงจะเป็นหกต่อสี่ อีกทั้งยังต้องจ่ายภาษีให้กับทางการอีก พวกเจ้าจงเลือกเอาว่าจะเลือกหนทางไหน”เถียนสวี่หลันยิ้มเยาะเย้ยสวีไค หากเขาไม่ทำตามความต้องการของนาง คนที่ถูกกดดันก็จะเป็นตัวเขาเอง ใครบ้างไม่รู้ว่าคนตระกูลเถ
“เราไปกันเถอะไปดูว่าวันนี้จะมีงิ้วอันใดให้ดูกัน”สองอาหลานเดินมาถึงหน้าเรือน ที่นั่นมีครอบครัวของนางรวมตัวอยู่กันครบนอกจากเถียนห่าวซวนที่ไปสำนักศึกษา เถียนสวี่หลันมองชาวบ้านที่มาชุมนุมที่หน้าเรือของนางทีละคน ก่อนที่จะไปหยุดที่สวีม่านนีที่ยืนอยู่หลบอยู่ด้านหลังบิดาของนาง“ท่านย่า ชาวบ้านเหล่านี้มาที่เรือนของเราด้วยเหตุใดหรือเจ้าคะ”เถียนสวี่หลันถามแม่เฒ่าจางด้วยใบหน้าใสซื่อ เหมือนนางไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้“จะอะไรเสียอีก ก็คนพวกนี้หาว่าหลันเอ๋อของย่าถูกผีเข้าน่ะสิ จึงได้พาซินแสมาที่นี่”หลังจากแม่เฒ่าจางเอ่ยจบคนตระกูลเถียนก็มายืนขวางระหว่างนางและชาวบ้านเอาไว้ เถียนสวี่หลันเห็นเช่นนั้นนางก็รู้สึกอุ่นวาบในหัวใจทันทีเหตุใดชีวิตก่อนนางถึงมองไม่เห็นความรักความหวังดีที่พวกเขามีให้นางบ้างเลยนะ หลังจากที่ซ่งหยางเฉิงเดินทางเข้าไปในเมืองหลวง นางก็รีบตามเขาไปไม่แม้แต่จะคิดติดต่อกลับมาที่ตระกูลเถียนอีกเลยนางนี่ช่างเป็นคนเลวที่ลืมแม้แต่บุญคุณของคนในครอบครัวที่รักและปกป้องนางมาทั้งชีวิต หรือว่าเรื่องที่เกิดกับนางทั้งหมดจะเป็นเวรกรรมที่นางสมควรได้รับกัน“แม่เฒ่าจาง ท่านอย่าปกป้องนา
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!!”เถียนสวี่หลันพยายามแกะมือใหญ่ที่กำลังลากตนด้วยท่าทางทุลักทุเล เพราะเว่ยเจ๋อหมิงที่ตัวสูงกว่าจึงทำให้ภาพออกมาเหมือนเขากำลังหิ้วเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งในมือ“เถียนสวี่หลันบอกมาซิว่าเจ้าเข้าไปทำอันใดในเรือนตระกูลสวี ข้านึกว่าหลายเดือนมานี้ที่เจ้าอยู่เงียบๆ เป็นเพราะว่าเจ้าคิดได้แล้ว แม้แต่อาเล็กของเจ้าก็ยังเอ่ยปากแทนว่านิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ดูเหมือนทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่การแสดงสินะ สุนัขที่เคยกินอาจมมันย่อมไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยได้ง่ายๆ”เถียนสวี่หลันหยุดดิ้นทันที ดวงตาแดงก่ำจ้องไปยังร่างสูงอย่างแข็งกร้าว คำพูดที่แสนดูถูกของเขาทำให้นางนึกถึงเรื่องราวในชีวิตก่อน ตอนที่นางยังไม่ได้ถูกตัดแขนขานางเคยถูกบ่าวรับใช้ในเรือนของซ่งหยางเฉิงรังแก พวกเขาทุกคนต่างประชดประชันนางว่าเป็นหมูบ้างล่ะ เป็นสุนัขที่กินอาจมบ้างล่ะคำพูดดูแคลนสารพัดต่างก็ถูกซัดสาดมาที่นาง หลังจากที่ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งเถียนสวี่หลันไม่คิดว่าตนจะมาได้ยินคำพูดดูถูกเหล่านั้นอีกครั้งดวงตากลมโตไหวระริก ความเจ็บปวดทั้งหลายปรากฏขึ้นในดวงตางาม เถียนสวี่หลันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ นางไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอต่







