ในที่สุดเขาก็ทำงานล่วงเวลามากมายจนเสร็จ แล้วถวายฎีกาลาพักร้อนยาว ๆ ให้ฮ่องเต้แบบไม่บอกไม่กล่าว รีบพาภรรยาสุดที่รักหนีมาหาบุตรชาย ก่อนที่พังพอนเหลืองบ้าอำนาจจะส่งทหารมาหิ้วเขากลับไปช่วยงาน
หานเฟยมองสามีที่ซูบผอมไปเพราะงานหนัก ก็คีบอาหารเอาใจสามีที่ดูเหมือนจะน้อยใจตัวเองไม่น้อย “อาฟงทานเยอะ ๆ”
เสนาบดีใหญ่อ้าปากให้ฮูหยินป้อนอาหารให้อย่างพออกพอใจ รู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่ทุ่มเทคุ้มค่ากับการดูแลใส่ใจของภรรยาจริง ๆ ช่างมีความสุขอะไรเยี่ยงนี้
สภาพแวดล้อมรอบข้างไม่ส่งผลต่อบรรยากาศรักใคร่ของสองสามีภรรยาแม้แต่น้อย พวกเขาตั้งใจพักผ่อน คือพักผ่อนอย่างไม่สนใจผู้อื่น
แต่มีชายหน้าตาหมองคล้ำ ดวงตาลึกโบ๋อย่างคนพักผ่อนไม่เพียงพอ กวาดสายตาไปทั่วเหลาอาหารชั้นล่าง เมื่อเห็นสิ่งที่มันสนใจก็เดินตรงเข้าไปทันที
มันเดินเข้ามาที่โต๊ะที่จูเหวินฟงและหานเฟยนั่งทานอาหารรอบุตรชายอยู่ เอามือคร่อมโต๊ะและจ้องมองหญิงสาวอย่างจาบจ้วงด้วยสายตาหื่นกระหายไม่สนใจฟ้าดิน เนื้อผ้าชั้นดีที่ห่อหุ้มร่างกายไม่สามารถปิดมารยาทที่เลวทรามได้ มันมีชื่อว่า หลี่อี๋ ญาติผู้น้องของหลี่เจิ้นสุ่ย ศิษย์หลักของเทียนถูหวู่คนนั้น
ชาวบ้านในโรงเตี๊ยมเมื่อเห็นหน้าคร่าตามัน ต่างลุกขึ้นหนีออกห่างจากมันไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย เนื่องจากมันเป็นลูกชายขุนนางที่มียศสูงในเจียงตงและเป็นลูกหลานของเสนาบดีหลี่แห่งราชอาณาจักรซีเว่ย มีลูกพี่ลูกน้องเป็นลูกชายบุญธรรมของเจ้าสำนักศึกษาเทียนถูหวู่
ใครที่มีเรื่องด้วยต่างประสบเคราะห์กรรมครั้งแล้วครั้งเล่า จนกว่ามันจะพอใจและไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วย เพราะต่างกลัวจะโดนลูกหลง
“ข้าอยากเชิญแม่นางไปร่วมโต๊ะกับข้าจะได้หรือไม่” น้ำเสียงเชิงบังคับปนข่มขู่ออกมาจากปากของหลี่อี๋
“เกรงว่าท่านจะทำเช่นนั้นกับภรรยาข้าไม่ได้”
จูเหวินฟงส่งสายตาท้าทายไปให้ทันทีที่ประโยคนั้นหลุดออกมา บรรยากาศเยือกเย็นชวนน่าหวาดหวั่น สร้างความอึดอัดกับผู้เห็นเหตุการณ์ที่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าส่งเสียง เขาถือถ้วยน้ำชาจิบอย่างใจเย็น
เวลานี้เลยยามโหย่วมาครึ่งชั่วยามแล้ว สองพี่น้องอยู่หน้าโรงเตี๊ยมใหญ่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านใน จึงพากันรีบเข้าไปด้านใน
เยี่ยหยางรีบก้าวเข้าไปดูว่า ใครกล้าก่อความวุ่นวายในที่ของเขา เสี่ยวเอ้อร์ที่ทำหน้าที่ต้อนรับหน้าโรงเตี๊ยม แม้ไม่เคยเห็นหน้านายใหญ่ แต่ป้ายหยกที่บ่งบอกตัวตนบวกกับรูปลักษณ์โดดเด่น ที่เขาเคยได้ยินมาตลอดก็รีบเดินตามหลังนายท่านเข้าไป
เกิดเรื่องแล้ว!
เสี่ยวเอ้อหน้าเสีย ร้อยวันพันปีนายท่านไม่คิดจะแวะมาที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ ปล่อยให้ผู้ดูแลเป็นผู้บริหารจัดการ แต่ทันทีที่นายท่านเหยียบหน้าประตู หลี่อี๋ที่ปกติไม่ค่อยแวะที่นี่ หรือถ้าแวะเจ้าตัวก็ไม่ได้มีสภาพเมาหาเรื่องเช่นนี้ เพราะยำเกรงในชื่อเสียงของสมาคมการค้าเหวินชา
แต่วันนี้ที่จู่ ๆ นายท่านอยากปรากฏตัวที่โรงเตี๊ยม คุณชายหลี่ผู้นี้กลับแสดงพฤติกรรมน่ารังเกียจนี้ต่อหน้านายท่านที่สูงส่งยึดมั่นคุณธรรม
ตาย ๆ คุณชายหลี่ตายแน่ๆ
ผู้ดูแลที่ลงมาชั้นล่างของโรงเตี๊ยม เมื่อได้รับแจ้งว่าบุตรชายท่านเจ้าเมือง กำลังระรานแขกลูกค้า ก็รีบลงมาดูแลจัดการ แต่เท้ายังไม่เหยียบพื้นชั้นล่างดี เขาก็เห็นนายท่านที่ห้อยป้ายหยกแสดงตัวตนกำลังเดินเข้ามา
ฉิบหายแล้วไง!
สีหน้านายท่านยิ้มกว้างรอยยิ้มนำมา ในเหวินชาต่างลือกันว่านี่เป็นรอยยิ้มหายนะ ดูท่าแล้วคุณชายหลี่ขวัญกล้าผู้นี้คงมีชีวิตอยู่ไม่สงบสุขอีกแล้ว แม้ว่าพวกเขากีดกันคนผู้นี้ไปหลายครั้ง แต่บางครั้งก็หลุดเข้าไปสร้างเรื่องให้กับโรงเตี๊ยมอยู่เรื่อย ครานี้วีรกรรมคงจบสิ้นลงแล้ว
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แกไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร”
แกไม่รู้แล้วข้าจะรู้หรือไงฮะ ไอ้โง่ / แกไม่รู้แล้วข้าจะรู้หรือไงฮะ ไอ้โง่ ความคิดของสามพ่อลูกสายเลือดเดียวกันดังขึ้น
“ถ้าท่านไม่ทราบ แล้วข้าหรือจะทราบ ข้าแนะนำให้ท่านพบหมอ ถ้าท่านจำไม่ได้แม้กระทั่งตัวเอง” จูเหวินฟงตอบเสียงเรียบกลับไป เรียกสีหน้าแดงฉานด้วยความโกรธของหลี่อี๋เป็นอย่างดี
“แ แก..แก” หลี่อี๋รู้สึกขายหน้า ใบหน้าเขาสีแดงเขียวสลับกันมีสีหน้าถมึงทึง “จัดการมัน”
เสียงสั่งการบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังของหลี่อี๋ ก็มาล้อมรอบคนทั้งสองทันที ผู้คนต่างตีตัวออกห่าง พลางสังเกตการณ์จากด้านข้างไม่ขอเอี่ยว มองชายหญิงที่ดูก็รู้ว่าเป็นสามีภรรยากันว่าทั้งคู่จะรับมืออย่างไร
“หยุด พวกแกจะทำอะไร” คนสนิทที่ติดตามจูเหวินฟงก้าวมาด้านหน้า พร้อมปกป้องเจ้านายเหมือนกับผู้เป็นภรรยาที่เป็นสาวใช้คนสนิทของหานเฟยที่ตอนนี้ยืนข้างนายหญิงอย่างเตรียมพร้อม
พวกเขาทั้งสองต่างตกใจเพราะไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ อีกทั้งตอนนี้ผู้คุ้มกันและคนอื่น ๆ ไปพักผ่อนตามคำสั่งของท่านเสนาบดีจู จึงไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเขา
พวกลูกสมุนหลี่อี๋เข้ามาดึงกระชากคนรับใช้คนสนิทและภรรยาออกไปด้วยความรุนแรง จนทั้งสองล้มกระแทกกับพื้น เพื่อให้นายของมันเข้าไปหาหานเฟยได้สะดวก
เยี่ยหยางที่เห็นหน้าท่านพ่อท่านแม่ หลังจากกันมานานนับสิบปีได้ ยังไม่ทันจะได้พูดจากัน ไอ้บ้าหลี่อี๋ที่คราวก่อนมาดักซุ่มทำร้ายพวกเราพี่น้อง บัญชีนี้หักลบกลบหนี้ยังไม่กระจ่าง ยังมีหน้ามากล้ามาทำรุ่มร่ามกับแม่เขา คนผู้นี้นับเป็นศัตรูบนทางแคบของเขาดี ๆ รี่เอง
หลี่อี๋!!! เจ้าช่างกล้ามาก ๆ
หึ ดีมาก...ตระกูลหลี่ใช่หรือไม่
ข้ายิ่งไม่ชอบหน้าตาแก่หลี่อยู่ รวบข้อหานี้เหมารวมไปด้วยเลย - คนพี่
ไอ้ขยะ กล้าดียังไงมาพูดจาเสียงดังขู่แม่ข้า แกต้องเจอดีแน่ - คนน้องสองพี่น้องเดินเข้าไปกลางวงคนพี่ยืนข้างผู้พ่อ คนน้องยืนข้างผู้เป็นแม่พร้อมลุยทุกเมื่อ
“ถอยออกไปซะ ถ้าแกไม่อยากตาย” เสียงขู่เล็ก ๆ ที่ยังไม่แตกพานดังขึ้นมาจากข้างหญิงสาว
“โอ๊ะโอ๋...ศิษย์น้อง น้ำหน้าอย่าแกจะทำอะไรข้าได้”
หลี่อี๋ไม่ฟังคำขู่ของจูเฉิงเยว่พร้อมกันนั้นกับเอื้อมมือโสโครกจะไปจับข้อมือหานเฟย แต่ถูกผลักออกด้วยพลังลมปราณฝีมือของจูเหวินฟง จนเซไปด้านหลัง ดีที่ลูกน้องมันยืนรับไว้อยู่ไม่อย่างนั้นคาดว่าตัวมันคงลงไปคลุกฝุ่นกับพื้นไปแล้ว
“นี่แก!!!” หลี่อี๋รวบรวมพลังปราณยุทธระดับอัคราจารย์ยุทธขั้นเจ็ด ดูเหมือนว่ามันจะมีระดับขั้นสูงกว่า จูเหวินฟงถูกซัดด้วยฝ่ามือไร้รอย เข้าเต็มหน้าอกอย่างที่เขาไม่ทันตั้งตัว ตัวเขาปลิวกระแทกทับโต๊ะอาหารหักเป็นเศษไม้ จนกระอักเลือดออกมาแล้วหมดสติไปทันที
“หึ อ่อนหัด”
“แกทำร้ายท่านพ่อ” คุณชายน้อยรีบลุกเข้าไปประคองจูเหวินฟง เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มหมดสติไปถึงกับโกรธมากทันที
“เฉิงเอ๋อร์ระวัง อย่าลูก…”
ท่านแม่ออกโรงด้วยตนเอง ไม่ทันที่หานเฟยได้พูดกล่าวเตือน จูเฉิงเยว่ก็ยืนประจันหน้ากับหลี่อี๋ทันทีในฐานะบุรุษคนหนึ่งที่ปกป้องมารดา แต่เยี่ยหยางกลับขวางไว้ แล้วดันน้องน้อยไปด้านหลังพร้อมกับกระซิบบอก “ดูแลท่านพ่อกับท่านแม่ให้ดี พี่จัดการกับมันเอง” เฉิงเยว่พยักหน้างึก ๆ ยิ้มกว้างมองแผ่นหลังพี่ชายที่ยืนด้านหน้าปกป้องเขาอย่างมีความสุข เขารู้ว่าพี่รับมือไอ้หลี่อี๋ได้สบาย ๆ อยู่แล้ว เสี่ยวเอ้อร์ที่เห็นนายท่านใหญ่จะลงมือ รีบกุลีกุจอไปแจ้งผู้ดูแลร้านว่าท่านประธานมาและเตรียมเช็ดกวาดมนุษย์ขยะผู้นี้ ก็เจอผู้ดูแลร้านที่กำลังเรียกกำลังคนเตรียมพร้อมสนับสนุนผู้เป็นนายทุกเมื่อซุ่มอยู่อีกด้านเอ่อ…เขาไม่ต้องแจ้งเถ้าแก่แล้ว เหล่าลูกน้องที่อยู่ภายใต้อาณัติของสมาคมเหวินชาที่อยู่เจียงตง ก็รีบรวบรวมผู้คนให้เจ้านายพร้อมใช้สอย เผื่อนายท่านต้องการ แล้วเฝ้ามองอย่างใจจดใจจ่อที่จะได้แทนคุณนายท่าน พวกเขาแม้ไม่เคยพบเจอนายท่านคนนี้ แต่คนผู้นี้กลับมีพระคุณกับพวกมันมาก เยี่ยหยางมองหลี่อี๋อย่างโกรธแค้น ท่านพ่อดูเหมือนจะไม่มีเวทมนตร์ปกป้องอยู่ในตัวเลย คาดว่าเรื่องราวในระนาบมนตราคงจดจำไม่ได้ ร่างกายอ่อนแอถูกมันผลักจนส
...อย่าทำให้ท่านแม่โมโหเด็ดขาด “นี่สำหรับสามีที่น่ารักของข้า ที่เจ้ากล้าลงมือใส่เขา” ฝ่าเท้าของฮูหยินสูงศักดิ์ที่บรรจงแตะให้ตรงจุดเดิม ย้ำที่เดิมด้วยแรงที่มากกว่าเดิมซู้ด!!!“นี่สำหรับลูกชายข้า ที่เจ้าตะคอกใส่จนตกใจ” มารดาที่รักของคุณชายจูเฉิงเยว่ มีแรงเหลือเฟือที่ยกฝ่าเท้ากระทืบลงซ้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอ่า…ซี้ด“จำไว้ อย่ามาให้ข้ากับครอบครัวเห็นหนังหน้าเจ้าอีก ถ้าเจ้ายังอยากเป็นบุรุษที่สมบูรณ์อยู่” หานเฟยเอ่ยเสียงเย็นที่หนาวไปถึงหัวใจบุรุษทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ นางก้าวผ่านสวะที่คิดสกปรกไม่สนใจว่าจะเหยียบอะไรอร๊ากกก ป๊อก!!! เสียงแหกปากร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดดังพร้อมกับสีมือที่ถูกเหยียบบี้บหญิงสาวปัดมือจัดเสื้อผ้าที่ไร้รอยยับ แล้วหันกลับมายิ้มหวานให้ลูกชาย เดินผ่านหลี่อี๋อย่างไม่สนใจว่านางเหยียบถูกมือของมัน ฝูงชนเห็นใจเล็กน้อย ... อ่า ดูท่าแล้วคงจะกระดูกหักเพิ่มอีกตำแหน่ง“พาท่านพ่อเจ้าขึ้นไปด้านบนห้องพักกัน” หานเฟยข่มอารมณ์ปะทุของนางบอกบุตรชายให้ช่วยสามี จากนั้นหันไปหาชางเหอและซูผิงสองสามีภรรยาที่เป็นคนรับใช้คนสนิท สั่งคนไปหาหมอ และเตรียมน้ำเช็ดหน้าเช็ดตัว “ชางเหอเจ้าไปตามหมอ ซูผิ
ไอ้หย๋า....คนนี้ใช่เสนาบดีจูผู้ยิ่งใหญ่รองจากฮ่องเต้ราชอาณาจักรเป่ยฉินใช่หรือไม่ พักนี้ข้าตีสนิทคนดังบ่อยเกินไปแล้ว หัวข้าจะอยู่บนบ่าจนแก่ตายมั้ยเนี่ยมือไม้ของท่านหมอเผิงสมกับคนที่เคยเป็นหมอขึ้นชื่อ ฝีมือยังไม่ตกและไม่กล้าตกใส่หน้าคนเหล่านี้ ที่ยืนประกบระยะใกล้ชิดอยู่ข้างหลังแผ่รังสีใส่เขา จนมือไม้สั่น เผิงเหล่ยนั้นมีระดับลมปราณแค่เพียงระดับปรมาจารย์ยุทธขั้นสูง แต่มากพอสำหรับหมอมากความสามารถคนหนึ่ง กำลังขับเคลื่อนไล่ปราณแปลกปลอมที่แฝงอยู่ในร่างของจูเหวินฟงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาศัยประสบการณ์ที่สะสมมาอย่างยาวนานลมปราณยุทธแฝงที่กลายเป็นเลือดคลั่งตรงอกกดทับ ทำให้เสนาบดีจูหายใจลำบากหัวใจเต้นผิดจังหวะ ค่อย ๆ เคลื่อนย้ายอย่างระมัดระวัง จนคนป่วยกระอักเลือดเสียออกมาทางปาก“แค่ก...แค่ก ๆ” ในที่สุดปราณสกปรกก็หมดจากร่างจูเหวินฟง เผิงเหล่ยนั่งหอบอยู่ข้างเตียง เขาเสียพลังงานไปมาก หากใครมาดักทำร้ายเถ้าแก่เผิงตอนนี้เพียงทุบเบา ๆ เขาก็ช้ำในสลบเหมือดให้ปล้นสบาย ๆ เลยเทียว“ตอนนี้นายท่านจูปลอดภัยแล้ว ลมปราณแฝงข้าได้กำจัดเรียบร้อย มีเพียงได้รับบาดเจ็บภายในกระทบถึงอวัยวะภายในตันทั้งห้าและอวัยวะกลวง
ท่านพ่อ คืนนี้ข้าขอยืมเมียท่านกอดสักคืนนะ เยี่ยหยางที่ถูกน้องชายที่น่ารักจู่โจม ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก วันนี้เขาถูกแก้ผ้ามาสองครั้งสองคราภายในวันเดียวกัน ทำไมเฉิงเยว่เปลื้องผ้าผู้คนได้คล่องมือเช่นนี้ น้องชายเขาไปฝึกปรือถอดผ้าจากผู้ใด เห็นทีเขาต้องเข้มงวดคัดกรองน้องสะใภ้ให้ดีแล้วล่ะ หญิงสาวเดินเข้าไปหาลูกชายที่หายสาบสูญ ลูบใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากเป็นส่วนใหญ่อย่างคิดถึงสุดหัวใจของคนที่เป็นมารดาจะให้บุตรได้ “หยางหยาง” หานเฟยจำได้เพียงปานแดงและชื่อเล่นที่เอ่ยเรียกลูกชายเท่านั้น เยี่ยหยางได้ยินมารดาเรียกหาตัวเอง ก็โผเข้าอ้อมกอดมารดาเหมือนเด็กน้อย “ท่านแม่” ในความทรงจำของเขา ท่านพ่อเป็นคนที่เข้มงวดเสมอ เพราะด้วยสถานการณ์ของระนาบมนตราในตอนนั้น ตั้งแต่เขาเริ่มรู้ความ ก็ไม่เคยได้รับอ้อมกอดของคนเป็นพ่ออีกเลย มีแต่คำสั่งสอน คำดุด่าให้เขาได้เตรียมพร้อมรับมือกับสงครามที่พร้อมปะทุตลอดเวลา มีเพียงท่านแม่ที่เป็นคนให้กำลังใจเขา ปลอบโยนโอบกอดเขา และบอกเสมอว่าท่านพ่อที่ไม่แสดงออกมา ก็รักเขาเหมือนกัน คนตัวโตที่กลายเป็นเด็กเกือบจะน้ำตาร่วง แต่เมื่อเงยหน้าเห็นบิดาที่จ้องเขม็งก็หยุดชะงัก เร
เยี่ยหยางไม่รู้ว่าวิธีตรวจสอบแบบนี้จะได้ผลหรือไม่ เพราะดูยากที่จะเชื่อถือ แต่เขาก็ไม่สามารถใช้วิธีเดียวกับที่ยืนยันกับเฉิงเยว่แสดงให้บิดาเห็น ด้วยเหตุผลที่ว่าท่านพ่อลืมเรื่องราวในระนาบมนตราสิ้นจากท่าทีที่แสดงออก เขาจึงขอเวลาในการฟื้นฟูความทรงจำของพวกท่านที่ลืมเลือนอย่างช้า ๆ ไม่ให้เกิดผลกระทบใด ๆ ดีที่น้องชายบอกกล่าวเรื่องทั้งหมดมาก่อน แล้วเขาก็เห็นแล้วว่าพวกท่านจำอะไรไม่ได้จริง ไม่ได้ทำอะไรผลีผลามใช้เวทมนตร์ จนกระตุ้นพลังเวทของพวกท่านทั้ง ๆ ร่างกายบาดเจ็บสายตาสี่คู่มองหยดเลือดสองหยดที่ค่อย ๆ รวมกันเป็นเม็ดใหญ่รอยอยู่ในภาชนะเป็นหนึ่งเดียว ไม่แตกแยก ไม่ตกตะกอนนอนก้น ซึ่งหมายความว่าเยี่ยหยางเป็นบุตรชายของจูเหวินฟง หรือจูเหวินฟง คือ มู่หรงหลงหมิง คือ แมทธิว วินเซอร์ “ฮือ ๆ หยางหยางลูกแม่” จูเหวินฟงเห็นเมียรักน้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจ กอดรับขวัญบุตรชายคนโต? พลางฟังลูกชายคนเล็ก? เล่าเรื่องราวที่รับรู้มาจากพี่ชายตัวเอง เขาเห็นทีไม่เชื่อจะไม่ได้ ลูกเมียเห่อคนเป็นพี่ชายลูกชายสักขนาดนี้แล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่เขายังไม่ยอมรับลูกคนนี้หรอกยังอยู่ในช่วงประเมินคุณภาพ ภาพครอบครัวพ่อแม่ลูก
พวกเขาคุยเล่นกันสักพักใหญ่จนผ่านยามจื่อมาครึ่งชั่วยามแล้ว ตาของท่านแม่จะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ แต่ก็ยังไม่ยอมนอน เยี่ยหยางจึงร่ายเวทหลับใหลให้ท่านแม่น้องชายได้พักผ่อน เพราะท่าทีของทั้งสองคนคืนนี้ คงตั้งใจพูดคุยทั้งราตรี ไม่หลับไม่นอนแน่นอน เฉิงเยว่เองพลังเวทพึ่งปะทุ ร่างกายต้องได้รับการพักผ่อน ไม่อย่างงั้นแกนเวทอาจเสียหายได้เนื่องจากยังไม่สมบูรณ์ ท่านแม่เองก็เดินทางมาไกล แถมเจอเรื่องวิวาทอีก ร่างกายคงเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว เขามองทั้งสองคนหลับจนสนิทแล้ว จึงเดินไปหาบิดาผู้เปล่าเปี่ยวนอนตาค้าง เพราะขาดเมียรักข้างกาย เฮ้อ...ท่านพ่อนอนเถอะ คืนนี้ข้าขอยืมเมียท่านกอดสักคืนนะ คาถาหลับใหลกำลังถูกร่ายใส่จูเหวินฟงที่นอนไม่หลับ เพราะขาดคนข้างกายอีกทั้งแปลกที่แปลกทาง แต่เมื่อเห็นบิดาเข้าห้วงนิทราเขาก็ยกเลิกคาถา อีกทั้งตอนนี้เงียบสงบนัก เหมาะกับการตรวจสอบร่างกายท่านพ่ออย่างละเอียดอีกครั้ง เยี่ยหยางร่ายคาถาเวท เพราะคิดถึงคำเตือนที่เผิงเหล่ยพูดถึงพิษที่ยังอยู่ในร่างบิดา นี่มัน…พิษกลืนวิญญาณ พิษกลืนวิญญาณเป็นพิษร้ายแรงที่กัดกร่อนร่างกายของผู้ต้องพิษ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ตามปริมาณที่ได้รับ หัวใจจะ
หลังจากได้กลิ่นหอมฟุ้งปลุกตื่น จูงจมูกพวกเขามาที่ครัว ทำให้ทราบว่าผู้ที่ปรุงอาหารเลิศรส คือนายใหญ่แห่งเหวินชาและสัตว์เทวะของเจ้านาย ที่พวกเขามีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา “ใกล้แล้วหยางหยาง” เสี่ยวฉงตอบกลับ มันชิมรสชาติที่แก้ไขด้วยความพอใจ แล้วหันไปรับกระทะจากพ่อครัวคนหนึ่งยกขึ้นเตา อ้าปากตนเองพ่นลูกไฟเร่งความร้อนจนไฟโหมแรง มือถือตะหลิวพลิกกลับผัดผักไปมาอย่างคล่องแคล่ว เหล่าลูกศิษย์ต่างเก็บรายละเอียดกันทุกเม็ด แม้แต่ท่วงท่าก็ยังเรียนรู้ที่จะเลียนแบบตาม “ดี” เยี่ยหยางมองอาหารที่เตรียมด้วยตัวเองด้วยความพึงพอใจ ที่เขาเตรียมทุกอย่างได้สมบูรณ์ เมื่อวานเย็นเขาไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมอาหารมื้อแรกของครอบครัวด้วยตัวเอง มื้อเช้าวันนี้จึงเหมาะสมมากนัก อาหารหกเจ็ดอย่างถูกปรุงขึ้น โดยดัดแปลงสูตรและวัตถุดิบใหม่ทั้งหมด ให้มีรสชาติของอาหารที่ระนาบมนตราและที่นี่ “จิงหลิง เจ้าควบคุมอุณหภูมิให้ดี เพิ่มความร้อนอีกหน่อย” “ขอรับนายท่าน” จิงหลิงจิตวิญญาณของสรรพาวุธที่สูงส่ง ทำหน้าที่ตัวเองอย่างแข็งขันตามที่มันเคยเอ่ยบอก หน้าที่ของมันตั้งแต่ได้เจ้านายมา คืองานครัว การเป็นภาชนะเครื่องครัวตามที่นายท่านต้อ
“ไหน ๆ หมุนตัวให้แม่ดูหน่อยสิลูก”เสียงของหานเฟยดังเข้าลูกชายสองคนที่ขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อได้ยินประโยคทะแม่ง ๆ...ใคร?... ใครมาแย่งท่านแม่ของพวกเขาทันทีที่สองพี่น้องเห็นก็เบิกตาถลนกว้าง พวกเขาห่างท่านแม่ไม่ถึงหนึ่งเค่อกับมีเด็กชายร่างอวบอ้วนราวห้าขวบ มาคลอเคลียออดอ้อนออเซาะมารดาพวกเขา เยี่ยหยางแทบอยากพุ่งเข้าไปฉุดเจ้าฉงฉงออกไปห่างจากสายตาท่านแม่ของเขาทันที“หยางหยาง เฉิงเอ๋อร์มาแล้ว” หานเฟยหันไปหาผู้ที่เข้ามาใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มกว้างแต่จูเหวินฟงกลับมีสีหน้าย่ำแย่มืดครึ้มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีบุรุษเพศผู้มาแย่งความสนใจจากภรรยาของเขาเพิ่มอีกแล้ว “เสี่ยวฉงนั่งนี่สิลูก” หานเฟยจัดที่นั่งทานอาหารเช้าให้ ข้างขวามือนางเป็นสามีสุดที่รักที่มีสีหน้าราวกับคนถ่ายไม่ออก ข้างซ้ายเป็นเด็กหนุ่มผมขาวนั่งตาใสอย่างฉงหยิ๋น ถัดจากสามีและเสี่ยวฉงเป็นบุตรชายสองคนที่เริ่มปั้นหน้าคล้ำไม่ต่างจากคนเป็นพ่อฮึ่ม...ฉงฉง / เจ้ากิเลน / เด็กบัดซบ เสียงความคิดของสามบุรุษตระกูลจูบรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อเช้าที่มีสีหน้าอึมครึม ไม่สบอารมณ์ของหนุ่ม ๆ กับใบหน้ายิ้มแป้นเล้นของหนึ่งตัว สตรีคนเดียวในวงคีบอาหารให้ทุกคนกันอย่างท
เจ้านายเถื่อนเดินกลับมาหาสหายบัดซบที่ก้มหน้าก้มตาสลักอักษรรูนอยู่ เขาก็ไม่รบกวนอะไรอีกฝ่าย หยิบเตียงโต๊ะเก้าอี้ออกมาจากแหวนมิติเวท วางเตียงตั้งโต๊ะวางเก้าอี้จัดข้าวของส่วนตัวราวกับเป็นห้องหับของตัวเองไม่สนใจสถานที่ว่าตอนนี้เขาอยู่ในเหมืองแร่ ไม่ใช่สถานที่พักผ่อนหย่อนใจจากนั้นนำข่าวสารที่คนใต้ปกครองของหอข่าวซินเหวินออกมาอ่านเรียบเรียงไว้ บางข่าวจริงสามารถขายได้ บางข่าวก็ปลอม จากนั้นส่งข่าวที่ทำเงินได้กลับไปที่หอซินเหวินหลังจัดการงานการเสร็จก็ร่วงเข้าวันใหม่แล้ว คุณชายหวงก็ย้ายร่างกายของตัวเองไปนอนหลับพักผ่อนบ้าง ต่างกับสหายที่ปูผ้ากางมุ้งขึ้นเตียงหลับตั้งแต่ตะวันลับฟ้าได้ไม่นานหลังร่วมมื้ออาหารเย็น เพราะใช้พลังเวทไปมากโขเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันรุ่งขึ้นสองสหายตื่นในเวลาไล่เลี่ยกัน ต่างนั่งสมาธิเดินปราณกันหนึ่งชั่วยาม ก่อนจะลุกไปจัดการธุระตัวเองตัวใครตัวมัน เสร็จแล้วมาร่วมมื้อเช้ารสมือท่านอ๋องที่ทำเป็นเสบียงเก็บไว้เฉกเช่นทุกวัน“เหล่าหยาง เจ้าทำอาหารเก่งเยี่ยมยอดเช่นนี้ ภรรยาในอนาคตเจ้าคงน้อยใจแย่เลย”“ไม่มีทาง เพราะนางจะมีความสุข จน
หวงฉีเจิ้งที่แยกไปขุดทรัพย์สินต้นทุนในการใช้ชีวิตของตัวเอง กำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองว่าเขาจะเริ่มจัดการเก็บเกี่ยวผลึกปราณตรงหน้าเช่นไรดีหากมองผิวเผินเหมือนเขาและเยี่ยหยางเป็นหัวขโมยแอบเก็บผลไม้ในสวนคนอื่นดูเป็นคน…เอ่อ คนเลว แล้วพวกคนใหญ่คนโตมีอำนาจทั้งหลายที่ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่าล่ะ ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วอ้างเป็นของตน ฉกฉวย แก่งแย่ง ฆ่าฟัน สารพัดวิธีให้ได้มาซึ่งความต้องการของตัวเองตั้งแต่เขาจากระนาบมนตรามาที่ระนาบหวู่เซียน ชีวิตความเป็นอยู่ทุกลมหายใจช่างลำบากขมขื่นใจยิ่งนักจากนายน้อยหนึ่งในตระกูลสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้อื่นต่างยกย่องพะเน้อเอาใจ มีเกียรติมีศักดิ์ศรี มีหน้ามีตาในสังคม กลับถูกดูถูกเหยียดหยาม เพราะสายเลือดที่มีเอกลักษณ์นี้ไม่เพียงโดนกดขี่ข่มเหง ยังถูกจองจำเป็นทาสชั้นต่ำทั้งที่ยังไม่ทำสิ่งใดเขาไม่เคยโทษเยี่ยหยางที่ทำให้เขาต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะมิตรภาพระหว่างพวกเขาไม่ต้องมีคำว่าขอบคุณหรือขอโทษต่อกัน ความจริงใจที่ผ่านความยากลำบากมาด้วยกันที่มอบให้กันหลายปี เขารู้และเข้าใจอีกฝ่ายเ
“ที่เหลือวานท่านอาจารย์จ้าวด้วยขอรับ”“อืม”ผู้ชำนาญการลงโทษศิษย์รับคำผู้อาวุโสเจียงที่อยู่ดูแลหอลงทัณฑ์คนเดียว เพราะผู้ดูแลคนอื่นยังไม่กลับมาจากการดูการประลองยุทธจ้าวถิงเซียวเดินนำศิษย์บัดซบที่กระตุ้นต่อมโทสะเขา ไปที่เหมืองผลึกที่ว่า ก่อนจะเรียกกระบี่ออกมาด้านหน้า ใช้วิชากระบี่บินหอบหิ้วร่างตัวแทนไปที่เหมืองทันทีส่วนชินอ๋องตัวจริงที่รับรู้เรื่องราวจากจิตสำนึกที่ตัวเองส่งไปกับร่างตัวแทน เหมือนจะคาดเดาโทษทัณฑ์ที่เขาได้รับออกแล้ว ก็ยิ้มหวานสะกิดเรียกสหายให้ไปสนุกด้วยกัน“อาเจิ้ง ๆ ไปกับข้าเร็ว!”“ไปไหน?” หวงฉีเจิ้งที่นอนเอกเขนกอย่างสบายอารมณ์ ถูกเหล่าหยางสหายซี้ฉุดออกมาจากเตียงนอนถามอย่างงง ๆ“ไปรับทรัพย์” เยี่ยหยางตอบ ในใจกำลังคำนวณค่าตอบแทนผลประโยชน์ที่กำลังจะได้รับ“ไป ๆ ที่ไหน” คนยากจนที่กำลังตั้งตัวผลุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตกลงไปร่วมรับทรัพย์ที่สหายบอก อีกทั้งยังเร่งรีบกว่า ก็ใครให้เขาตอนนี้ยากจนยากไร้จนต้องพึ่งคลังสมบัติเพื่อนกินอยู่อย่างทุกวันนี้
สามวันถัดมาลานเทียนจงได้ถูกบูรณะปรับปรุงครั้งใหญ่เสร็จเรียบร้อย การประลองยุทธจึงได้จัดต่อ ผู้ที่ต้องประลองต่างมีทั้งแพ้ชนะ และก็ถึงรอบของหวงฉีเจิ้ง ผู้ไม่อยากออกแรงเสียเหงื่อให้เหนื่อยกาย เจ็บเนื้อเจ็บตัว ได้กอบโกยชัยชนะทั้งหมดด้วยการสะกดจิตคนทั้งลาน เพียงแค่ดีดนิ้วจากนั้นเขานั่งสบาย ๆ กินขนมจิบชาให้เยี่ยหยางหมั่นไส้ เพราะอีกฝ่ายต้องลงไปดวลเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้องชายส่วนเฉิงเยว่น้องชายที่น่ารักก็อยากแสดงความสามารถให้พี่ชายได้ชื่นชม เขาจัดหนักกับการประลองอีกสามรอบที่เหลือ ทั้งพลังลมปราณ ทั้งพลังเวท ภายในเวลาไม่เกินจิบชา ก็กวาดคู่ต่อสู้นอนนิ่งเป็นปลาตายรักษาตัวนานนับเดือน ชื่อเสียงเรียงนามเป็นที่รู้จักในฐานะศิษย์สายในที่เพิ่งเลื่อนระดับพอ ๆ กับพี่ชายตัวดีแน่นอนว่ามู่หรงลู่เฉินรัชทายาทราชอาณาจักรซีเว่ย และองครักษ์อย่างสือหลงโหยวผ่านได้สบาย ๆ ไม่เหลือบ่ากว่าแรง โดยเฉพาะลู่เฉินแม้จะยังออกแรงได้ไม่เต็มที่แต่หูลี่เซียนก็ออกไปเล่นสนุกช่วยลู่เฉินอย่างที่ไม่ให้เจ้าตัวรู้ โดยขอยาพิษอ่อน ๆ จากเยี่ยหยางตั้งแต่หลายวันก่อนไปวางใส่คู่ประลองของลู่เฉิน เพื่อความเท่าเที
คนที่ชมการประลองรอบ ๆ จู่ ๆ ก็รู้สึกสั่นไหวเหมือนถูกเขย่าแผ่นดินสั่นสะเทือนมากผิดปกติเพียงไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ ลานประลองก็มีหมอกควันขาว ฝุ่นฟุ้งกระจายตลบทั่วลานเทียงจง จนไม่เห็นสิ่งใดเมื่อควันจางลงสิ่งที่เห็นทำเอาทุกคนพูดไม่ออก ไม่รู้จะอธิบายออกมาอย่างไรดีเพราะลานเทียนจงที่เป็นลานประลองและลานอเนกประสงค์ของเทียนถูหวู่ ขอโบกมือลาตาย สิ้นอายุขัยหมดอายุการใช้งานไปเรียบร้อยพื้นลานแตกเป็นหลุมใหญ่ ก้นหลุมลึกประมาณความสูงกว่าหนึ่งช่วงคน เศษอิฐเศษหินแตกละเอียดเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยนอนอยู่ก้นหลุมโดยมีคู่ประลองยุทธรอบนี้ที่ไม่มีบาดแผลใด ๆ ยืนอยู่ขอบหลุม...ขอบลาน ชื่นชมผลงานออกรบรอบแรกของตัวเองอย่างเฉิงเยว่ และคุณชายสวีที่รับประทานคำใบ้อึ้งเต็มท้องไปแล้วคาถานี้...สุดยอด! ท่านพี่ข้าทำได้แล้ว!! ควบคุมพลังเวทได้ดีด้วย เฉิงเยว่มองไปทางพี่ชายด้วยสีหน้าน่ารักอย่างต้องการคำชื่นชมสหายจู...เจ้าจะให้สัญญาณข้าชัด ๆ กว่านี้ไม่ได้หรือไงกัน ถ้าข้าสังเกตไม่ทัน หลบไม่ทัน ข้าไ
“ข้าได้ข่าวว่าคุณชายเพิ่งกลับมาจากราชอาณาจักรจินโจวเมื่อคืนวานนี่เอง” จูเฉิงเยว่ถามไถ่ทักทาย“ใช่ น่านน้ำทางใต้ปั่นป่วนเล็กน้อย ข้าแอบกลับบ้านไปครานี้ยังนึกเลยว่าจะกลับมาไม่ทัน” สวี่เหวินซื่อตอบอย่างไม่ปิดบัง แถมบ่นอุบอิบเล็กน้อย“เกิดเรื่องขึ้นหรือ? คุณชายถึงต้องกลับไปด้วยตัวเอง ทุกทีเห็นส่งสารคุยกัน” คุณชายจูขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย เพราะบุตรชายคนโตของสกุลสวี่ตั้งแต่มาเทียนถูหวู่เพิ่งกลับบ้านตัวเองแบบปุบปับครั้งแรก“ใช่ ฮ่องเต้ทรงเรียกคืนสัมปทานเหมืองทองจากพวกเรา ทำให้พ่อค้าในราชอาณาจักรจินโจวที่ถือสัมปทานวุ่นวายไม่น้อย”สวี่เหวินซื่อบอกเล่าเรื่องราวมีสีหน้าเบื่อหน่าย เขาต้องวิ่งวุ่นไปมาช่วยบิดาติดต่อผู้คนเพื่อแก้วิกฤตนี้ กำไรส่วนใหญ่ของตระกูลมาจากกิจการเหมืองแร่ที่ถูกเรียกคืน“แปลก น่าแปลกฮ่องเต้ราชอาณาจักรจินโจวทรงคิดวางแผนทำสิ่งใดอยู่แน่” เฉิงเยว่ที่ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น ฉุกคิดถึงคำสั่งที่ไม่มีเหตุผลของฮ่องเต้ราชอาณาจักรจินโจว ก็พูดออกมาตามความรู้สึก“ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ไ
“ท่านพี่!”น้องชายที่ไร้พี่ชายปกป้องมาโดยตลอด ทั้งเห็นการกระทำของพี่ ทั้งได้ยินคำพูดของพี่ หัวใจที่ด้านชาและโดดเดี่ยวก็เหมือนได้รับน้ำทิพย์ปลอบประโลมชุ่มชื่นไปทั้งหัวใจ“เสี่ยวเฉิง…”เยี่ยหยางยังไม่ทันได้พูดปลอบอะไร น้องตัวน้อยของเขาก็กระโจนใส่อ้อมกอดพี่ชายทันทีจูเฉิงเย่วรู้ว่าการประลองเมื่อครู่ พี่ชายเอาคืนไอ้กงซุนจ้านให้เขา ความทุกข์ที่เก็บกดมานานปีทะลักออกมา แม้ว่ามีท่านพ่อท่านแม่ปกป้อง แต่เขาก็ไม่อยากให้พวกท่านกังวล ไม่อยากให้พวกท่านลำบากใจ ตลอดมาได้แต่ปกป้องตัวเองสร้างเกราะที่ผู้คนรังเกียจ ไม่ให้พวกสารเลวกลั่นแกล้งได้เขาคิดมาตลอดหากเขามีพี่ชาย คนพวกนั้นยังคิดกล้ารังแกเขาอีกหรือไม่ ยังไม่ทันได้เล่าความลำบากใจเมื่ออยู่ที่บ้านเมืองตัวเองให้พี่ฟัง พี่ชายของเขาก็กระทืบตัวการสาเหตุของความทุกข์ทั้งมวลคาฝ่าเท้าทำเอาคนหยิ่งยโสที่ผู้อื่นเห็น อดกลั้นไม่ไหวปล่อยโฮปล่อยน้ำตาที่อดกลั้นนานปีใส่พี่ชายเต็ม ๆ“ชู่ ๆ ไม่ต้องร้อง โอ๋…คนเก่งของพี่”
เหอะ ๆ อย่าให้รู้จะดีที่สุด ถ้าคนเห่อน้องรู้เรื่องนี้เข้าคนแซ่กงซุนจะมีเหลืออยู่บนแผ่นดินหรือไม่“เสี่ยวเฉิง เจ้าก็เรียนรู้ให้มาก ฝึกฝนให้มาก คนพวกนั้นจะได้รังแกเจ้าไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”ชายหนุ่มลูบหัวสอนจูเฉิงเยว่อย่างใจเย็น เขายังไม่อยากเห็นคนบัดซบคนที่สองหรอกนะ ทำได้แต่เพียงสั่งสอนสิ่งที่ถูกที่ควรให้น้องชายอีกฝ่ายมาก ๆ เข้าไว้จะได้ไม่มีความคิดผิดผู้ผิดคนเหมือนพี่ชายสติวิปลาส ก่อนจะหันกลับไปสนใจการประลองของเยี่ยหยางต่อ“พี่เจิ้งข้าอยากได้ยินว่ากงซุนจ้านพูดอะไรกับพี่ชาย พี่ช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่”จูเฉิงเยว่ไม่ชอบคนผู้นี้เอามาก ๆ เขาแค่อยากรู้ว่าคนผู้นี้จะพูดว่าร้ายเขาให้พี่ชายไม่ชอบเขาหรือเปล่า เขากลัวพี่ชายจะไม่รักเขา“เจ้าก็ทำได้ ทำแบบนี้สิ…”หวงฉีเจิ้งกระซิบสอนคาถาสอดแนมของถัดของเขาให้น้องชายเพื่อนที่พยักหน้ารับฟังและปฏิบัติตามอย่างน่าเอ็นดู ทำให้เขาและจูเฉิงเยว่เหมือนกำลังยืนอยู่ข้างเยี่ยหยางได้ยินทุกอย่างชัดเจนทุกคำทุกประโยค“ไม่เลว คุณชายใหญ่สกุลจูไม่ใช่สวะเหมือนคุณชายรอ
หลังจากปล่อยหมูยักษ์วิ่งอยู่ครึ่งชั่วยาม เหนื่อยหอบจนแทบไล่ตามภาพลวงตาไม่ได้อีก เยี่ยหยางก็คลายคาถา แล้วยื่นเรียวขางามอันแข็งแรงของเขาขัดลู่วิ่งหมู แถมด้วยฝ่าเท้างามตบท้ายถีบบั้นท้าย จนอีกฝ่ายล้มกลิ้งออกไปนอกลาน เป็นอันจบการประลองอย่างงดงาม“ผู้ชนะ คือ ข้า”เยี่ยหยางพูดอย่างภาคภูมิใจ ที่ไม่เสียเหงื่อแม้แต่หยดเดียวลานเทียนจงเงียบกริบเงียบสงัด ไม่มีเสียงประกาศผู้ชนะของเมิ่งจวิ้นผิงและฟางเหวยซู ทุกคนยังตกตะลึงอึ้ง ไม่อยากเชื่อในสายตาของตัวเองนั่นมัน...ไม่อยากจะเชื่อ!ถึงแม้ว่าจะไม่มีกฎข้อบังคับในการประลองแต่คนผู้นี้กลับ...ชนะด้วยการเตะเบา ๆ นี่มัน ๆ…บ้าไปแล้ว!!!“ศิษย์พี่ ๆ ข้าลงจากลานประลองได้รึยัง?” เยี่ยหยางสะกิดเมิ่งจวิ้นผิงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสดใสเป็นประกาย“เอ่อ...ได้ ๆ” เมิ่งจวิ้นผิงดึงสติกลับมาอย่างงุนงง “ผู้ชนะ คือ ท่านอ๋องจอมบัดซบ...เอ๊ย! มู่หรงเยี่ยหยาง”ผู้ได้รับชัยเดินกลับไปยังที่นั่งในกลุ่มผู้คนอย่างไม่รู้สึกรู้สากับสายตาที่มองมา เอ่ยทักทายหวงฉีเจ