“พี่รอง...เยว่ฉีรักท่านมากกว่าผู้ใด ก่อนทำอันใดลงไปย่อมต้องคิดถึงความปลอดภัยของศีรษะท่าน ส่วนใต้เท้าถาง ก็มีน้ำหนักในใจของท่านอ๋องอยู่มาก เขาคงไม่เป็นอะไรเช่นกัน ส่วนถางซือเซียนนั้น...น้องสาวไม่แน่ใจว่าท่านอ๋องจะเรียกนางมาด้วยเหตุใด”
“เขาต้องการจะให้ข้าวิตกกังวลอย่างไรเล่า พรุ่งนี้ข้าคงต้องตามกลับไปด้วย”
“นี่พี่รองจริงจังอย่างนั้นหรือ น้องสาวคิดว่าพี่รองแค่ทำเจ้าชู้ไปตามปกติเท่านั้น จึงไม่เคยสังเกต” เยี่ยนเยว่ฉีขมวดคิ้ว ปกติพี่ชายคนนี้มักมีสตรีเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ แต่เขาไม่เคยจริงจัง และไม่มีผู้ใดจะทำให้จิ้งจอกเป็นกังวลได้
“...” เยี่ยนจิ้นหลิงเม้มริมฝีปาก
“ว่าอย่างไรเล่า นางคือคนที่ท่านหมายตา หรือว่าเป็นแค่เครื่องมือ”
“น้องเล็ก เจ้าถามเหมือนเป็นห่วงนาง”
“ถางซือเซียนเป็นเพียงหญิงสาวไร้เดียงสา หากท่านพี่จะหลอกลวงนางเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ข้าก็อยากจะขอให้ท่านทบทวนดูใหม่”
“ใช่ นางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แล้วอย่างไรเล่า”
“หากท่านไม่บริสุทธิ์ใจก็ควรปล่อยนางไป”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาแทรกแซงเรื่องของข้า” เยี่ยนจิ้นหลิงโบกพัดตัดบท
“พี่รอง ท่านอย่าได้ล้อเล่นกับหัวใจผู้อื่นให้มากนัก”
“ฉีเอ๋อร์ หากข้ามีแผนจริง เจ้าจะทำอันใดได้” เยี่ยนจิ้นหลิงทำท่าทางยียวน
“น้องสาวไม่เข้าใจ พวกท่านเห็นสตรีเป็นสิ่งใดกัน” เยี่ยนเยว่ฉีไม่เคยรู้สึกอยากตบพี่ชายเท่าครั้งนี้มาก่อน
“สำหรับเจ้า ข้าช่างเป็นคนเลวร้ายสินะ” เยี่ยนจิ้นหลิงยิ้มเย็น
“ระวังให้ดีเถิด ท่านเล่นกับหัวใจของสตรี วันหนึ่งจะต้องเสียใจ”
“พอได้แล้ว! แต่งงานออกไปได้แค่สามวันเจ้าก็เริ่มพูดจาก้าวร้าวกับข้าแล้วหรือ” เยี่ยนจิ้นหลิงเอ็ดน้องสาวเสียงเข้ม
“มิได้ น้องเพียงสงสารนาง” เยี่ยนเยว่ฉีเห็นดังนั้นจึงทำเสียงอ่อน
เยี่ยนจิ้นหลิงรู้สึกว่ายิ่งพูดยิ่งแย่ เขาไม่ต้องการจะอธิบายเรื่องของถางซือเซียนให้เยี่ยนเยว่ฉีฟังในตอนนี้ หรือถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากเล่าอะไรทั้งนั้น จิ้งจอกหนุ่มจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ฉีเอ๋อร์ เจ้าเอาเวลาที่มายุ่งวุ่นวายเรื่องของข้า ไปคิดเรื่องตัวเองเสียดีกว่า อีกไม่กี่ราตรีเจ้าก็จะกลับไปเป็นเนื้อหวานๆ ให้เสือหิวขย้ำกินได้ตามสะดวกแล้ว”
“แต่งให้เขาไปแล้ว ต่อให้ขยะแขยงสักเพียงใดก็คงต้องยอมกล้ำกลืน” เยี่ยนเยว่ฉีเม้มริมฝีปาก กำหมัดแน่น
“ฉินอ๋องหลงเจ้าอย่างกับอะไรดี แค่นี้ไม่พอหรือไร”
“...” เยี่ยนเยว่ฉีส่ายศีรษะ เพราะหลังจากนางรับรู้ว่าฉินอ๋องต้องรับจ้าวกุ้ยอินเป็นพระชายารองตามชะตาในวันงานแสดงงิ้ว นางก็เกิดทิฐิขึ้นมาในนาทีสุดท้ายก่อนวันแต่งงานเพียงไม่กี่ราตรี กอรปกับเมื่อนึกถึงจำนวนสตรีในเรือนหลังของฉินอ๋อง นางก็อดพะอืดพะอมมิได้
เมื่อเห็นน้องสาวทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เยี่ยนจิ้นหลิงก็ไม่สบายใจ ถึงจะยังเคืองนางที่ขายพี่ชายอย่างเขาไปเมื่อครู่
“ฉินอ๋องรักเจ้ายิ่งนัก พี่รองถึงได้ยอมยกเจ้าให้เขาดูแล เจ้าก็รักเขามากไม่ใช่หรือ เพียงต้องพยายามเข้าใจความจำเป็นของผู้สูงศักดิ์ก็เท่านั้น การแต่งงานเพื่อการเมือง มีอ๋องจวนใดบ้างไม่ทำ เจ้าก็ถือเสียว่าพวกอนุเหล่านั้นคือฐานกำลังของสามีเสียก็สิ้นเรื่อง”
“น้องสาวจะพยายามคิดในแง่ดี แล้วอยู่อย่างมีความสุขเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบทั้งที่ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะทนทำเป็นใจกว้างได้จริงๆ หรือไม่ แต่ก็ไม่อยากให้พี่ชายเป็นกังวลกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของตนเองอีก
“ดีแล้ว พี่รองอยากให้เจ้ามีความสุข”
“นี่น้องสาวก็ออกมานานแล้ว เกรงว่าท่านอ๋องจะตามหา พี่รองพักผ่อนเถิด น้องก็จะกลับห้อง” เยี่ยนเยว่ฉียิ้มหวาน ทำเหมือนว่าตนเองไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ
“เดินกลับดีๆ เล่า”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อสองพี่น้องพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว เยี่ยนเยว่ฉีก็ออกจากเรือนพักของพี่ชายคนรองกลับไปหามู่เลี่ยงหรงที่รอนางอยู่ที่เรือนเดิม
ตลอดระเบียงทางเดินที่ทอดยาว ทุกย่างก้าวช่างหนักอึ้ง นางรักเขา แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถรับได้ที่ต้องใช้บุรุษร่วมกับสตรีอื่น
เสียงถอนหายใจแผ่วเบาของหญิงสาวลอยไปพร้อมกับสายลมยามราตรี…
วันรุ่งขึ้น มู่เลี่ยงหรงพาเยี่ยนเยว่ฉีเดินทางกลับจวนฉินอ๋องพร้อมกัน เนื่องจากฉินอ๋องตัดสินใจนอนค้างคืนที่บ้านเดิมของภรรยา ผู้คนจึงพากันเล่าลือว่าเขาโปรดปรานหวางเฟยของตนยิ่งนัก
นอกจากข่าวลือแล้ว ยังมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้อยู่ด้วย มากที่สุดเห็นจะเป็นบ่อนการพนันต่างๆ โดยเฉพาะบ่อนใหญ่ๆ ที่รับแทงแบบไม่จำกัด ปรากฏว่ามีผู้ทายถูกว่าฉินอ๋องจะค้างแรมที่จวนไคกั๋วกงจำนวนไม่น้อย แต่คนทั้งหมดล้วนวางเดิมพันด้วยตั๋วเงินมูลค่าสูงทั้งสิ้น หลังจากต้องสูญเสียเงินจำนวนมาก บ่อนการพนันเหล่านั้นจึงต้องพากันปิดประตูหยุดกิจการไปตามๆ กัน
เมื่อกลับถึงจวนฉินอ๋อง ซิ่นเฉิงก็รีบเข้ามารายงานเรื่องบ่อนการพนันที่ปิดตัวลงหลายแห่งทันที มู่เลี่ยงหรงหัวเราะเสียงดังพออกพอใจ เยี่ยนเยว่ฉีเห็นว่าสามีไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าใดที่ไปกระทำการกลั่นแกล้งเจ้าของบ่อนการพนันเหล่านั้น
แต่ความจริงไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวของฉินอ๋องอีกแล้ว เขาไม่ได้นึกสนุกอยากจะลุกขึ้นมารังแกราษฎรแต่อย่างใด ทว่าผู้อยู่เบื้องหลังบ่อนการพนันเหล่านั้นหาใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเอี้ยนอ๋อง
ถึงแม้ปกติพี่ชายต่างพระมารดาผู้นี้จะดูไม่มีอันตราย แต่มู่เลี่ยงหรงสืบทราบมาว่าเขาอยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าวลือเสียๆ หายๆ ของสมาชิกราชวงศ์มาหลายครั้งหลายครา ซ้ำยังตรวจพบอีกว่าเขาอาจจะเป็นคนสนับสนุนผู้ก่อการไม่สงบที่กระทำการเหิมเกริมอยู่ในระยะนี้ พอสบโอกาสยามพาเยี่ยนเยว่ฉีกลับบ้านตามธรรมเนียม มู่เลี่ยงหรงจึงใช้วิธีนี้เพื่อหยุดความเคลื่อนไหวของบ่อนการพนันทั้งหลายเอาไว้ชั่วคราว
“ไม่รู้ แล้ววาดออกมาได้อย่างไร” ถางซือเซินเริ่มมึนงง ดูท่าปัญหาของฉินอ๋องคงไม่ธรรมดาอย่างที่คิดเสียแล้ว“ข้าก็บอกไปแล้วมิใช่หรือ ว่าสตรีผู้นี้คือนางในฝันของข้า”“นางในฝัน! นี่ท่านอ๋องหมายถึงในความฝันตอนหลับน่ะหรือ” เขาเบิกตากว้าง พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าช้าๆ ก็ยิ่งตกใจ “ให้ตายเถอะ ท่านไม่ได้กำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่ไหม” “อืม” มู่เลี่ยงหรงยอมรับสั้นๆ แล้วพยายามปั้นหน้าให้เคร่งขรึมกลบเกลื่อนความอับอาย เริ่มนึกเสียใจที่พูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้นถางซือเซินสะบัดศีรษะเมื่อภาพของใครบางคนปรากฏขึ้นทับซ้อนรูปนี้อีกครั้ง บุรุษผู้นั้นมีใบหน้างดงามกว่าสตรี แต่เขาก็ไม่ควรคิดเรื่องบัดสีนี้ขึ้นมาเลย ‘ไม่สิ ท่านอ๋องไม่มีทางรักชอบหลงหยาง แต่หากท่านอ๋องพึงใจสตรีที่มีรูปลักษณ์เช่นนี้ก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่’เห็นสหายครุ่นคิดและทำหน้าแปลกๆ มู่เลี่ยงหรงก็เข้าใจว่าถางซือเซินคงคิดว่าเขาเป็นคนบ้าไปเสียแล้ว ก็แน่ล่ะ จะมีผู้ใดหลงรักผู้หญิงที่มีชีวิตอยู่เพียงแค่ในความฝันกัน“เอาเถิดซือเซียน ข้าเข้าใจ แม้แต่ข้าเองก็รู้สึกว่าอาจจะกำลังเป็นบ้า” มู่เลี่ยงหรงคว้าภาพวาดสตรีในฝันแล้วม้วนเก็บอย่างทะนุถนอม“ม
แสงเรืองรองสาดส่องจนทั่วบริเวณ แลเห็นความงดงามที่รายล้อม ดอกไม้นานาพันธุ์ผลิดอกหอมกรุ่นยั่วยวนหมู่ภมร บุรุษในอาภรณ์สีดำหรูหราค่อยๆ ย่างเท้าไปตามทางเดินเขียวชอุ่มไปด้วยต้นหญ้า จนพบต้นหลิวขึ้นอยู่ริมบึงใหญ่ ไอหมอกสีขาวลอยเหนือนผิวน้ำ เขาเดินเข้าไปใต้ร่มไม้ใหญ่และย่อกายลงก่อนจะเอนหลังพิงลำต้นอันขรุขระไม่นานนักเสียงฝีเท้าเบาๆ ลอยเข้าสู่โสตปลุกชายหนุ่มให้ตื่นตัว เขามองไปยังต้นกำเนิดเสียงเพื่อมองหาผู้มา นัยน์ตาสีนิลสะท้อนเงาร่างของสตรีงามเฉิดฉัน นางเคลื่อนกายมาทางที่เขานั่งเขนกรออยู่ รอยยิ้มเปี่ยมสุขปรากฏบนใบหน้านางผู้นั้นโฉมสะคราญเยื้องกรายมาทางต้นหลิวอย่างไม่รีบไม่ร้อน สุดท้ายนางก็ย่อกายลงเคียงข้างกับเขา รอยยิ้มแขวนอยู่บนใบหน้างามราวเทพธิดา ไม่ว่าจะปาก คอ คิ้ว ล้วนไม่มีรอยตำหนิประหนึ่งผลงานชั้นเลิศของช่างฝีมือ“พระจันทร์ดวงน้อยของข้า วันนี้เจ้างดงามยิ่งนัก” เขาเอ่ยทักทาย“พบกันกี่ครั้งท่านก็พูดเช่นนี้” หญิงงามอมยิ้ม“ข้าไม่เคยโป้ปด หากงามก็บอกว่างาม”“ท่านก็มิเลว”“แค่มิเลวเท่านั้นหรือ ใจร้ายเสียจริง”“ข้าเป็นสตรีที่ร้ายกาจ ท่านก็รู้”“ข้ามิรู้อันใดเลยต่างหาก”“แต่ท่านก็ยังอยากพบข้าไม่ใช
“จงหยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงกัมปนาทสะท้านกึกก้อง กระแสกดดันเย็นยะเยือกแผ่ลาม ฮ่องเต้มู่เหวินหลงกับฮองเฮา และถางซือเซินก้าวเข้ามาห้ามได้ทันท่วงทีจ้าวเฟิงเหลยชะงักงัน เก็บดาบในมือลง ยืนก้มหน้านิ่ง เยี่ยนจิ้นหลิงประคองถางซือเซียนให้คุกเข่าลงช้าๆ“เฟิงเหลย ข้าให้เจ้ามาล่าสัตว์ ไม่ได้ให้มาทำร้ายคน” มู่เหวินหลงตำหนิพระญาติ“เป็นเพราะเยี่ยนจิ้นหลิงรังแกเซียนเอ๋อร์ ข้าทนไม่ได้จึงเข้าไปช่วยเหลือ” จ้าวเฟิงเหลยพยายามอธิบาย“เยี่ยนจิ้นหลิง เจ้าทำอะไรน้องสาวข้า” ถางซือเซินหน้าซีด เขามองคนทั้งสองสลับไปมา ในจิตใจรุ่มร้อน ทำไมน้องสาวของตนต้องพบแต่บุรุษที่ชอบเอารัดเอาเปรียบ“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมกับคุณหนูถางเพียงทานขนมกับน้ำชา นั่งชมจันทร์กันอยู่อย่างเปิดเผย เป็นจ้าวจวิ้นอ๋องเข้าใจผิดไปเองทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ” กุนซือหนุ่มเล่าเหตุการณ์อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง“หืม...ว่ายังไงถางซือเซียน” มู่เหวินหลงเอ่ยถามตัวต้นเหตุของเรื่อง นางเพิ่งจะอายุสิบห้า แต่พาให้บุรุษวิวาทกันเสียแล้ว“หม่อมฉันกำลัง...กำลัง...” ถางซือเซียนยังคงงุนงงและตกใจ จึงไม่มีสติพอว่าตอบอย่างไร“เห็นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ นางไม่คล้อยตามคนผู้นั้น” จ้าวเฟิงเหลย
“ข้าไม่ชอบพูดมาก ถ้าหากเจ้าจำไม่ได้และไม่ยินดีจะเป็นของข้า เรื่องนี้ก็ถือว่าแล้วกันไปเถิด” เยี่ยนจิ้นหลิงปล่อยหญิงสาวออกจากอ้อมกอดทันที เขาลุกขึ้นแล้วขยับเท้าหมายจะจากไปแบบดื้อๆ“คะ...คนบ้า พูดเองเออเองทุกสิ่ง ข้าไม่เคยเป็นของท่าน จะเอาอะไรมาจำได้อย่างไรเล่า” ถางซือเซียนมีโทสะเล็กน้อย เขาทำให้นางงุนงงแล้วก็จะทิ้งตนไว้ข้างหลังอีกครั้งบุรุษผมสีเงินหยุดยืนนิ่งไม่ขยับกายต่อ แต่ก็ไม่ได้หันกลับมาเผชิญหน้ากับสาวน้อยที่กำลังสับสน“คุณหนูถาง ข้าคร้านจะเท้าความ ชอบก็คือชอบแค่นั้นเอง ถึงแม้จะเอ่ยเหตุผลออกไปเจ้าก็ถามต่ออยู่ดี สู้ยอมรับแล้วทำตามจะง่ายกว่า”“แต่ว่าข้าอยากรู้เหตุผลนี่” นางลุกขึ้นแล้วค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้ชายหนุ่มจากด้านหลัง ดรุณีน้อยยืนมองเขาด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย‘อย่างน้อยบอกข้าสักคำว่าท่านชอบข้า’ เสียงในหัวใจของสาวน้อยพยายามอ้อนวอนเขาบุรุษผมสีเงินหันกลับมา เขาเผชิญหน้ากับสาวน้อยที่ยืนจ้องแผ่นหลังของตนเมื่อครู่ ในความคิดของกุนซือหนุ่มสตรีผู้นี้ช่างยุ่งยากเสียเหลือเกิน ตั้งคำถามนั่นนี่ไม่ยอมหยุด ดูท่าว่าแม้ตนจะอธิบายเหตุผลที่แท้จริงออกไป นางก็คงจะยังกังวลสงสัยไม่จบสิ้น เช่นน
เมื่ออีกฝ่ายยังนั่งนิ่งไม่ขยับ บุรุษผมสีเงินจึงค่อยๆ โน้มใบหน้าอันหล่อเหลาลงไปเรื่อยๆ จนขนมดอกกุ้ยแนบชิดติดกับริมฝีปากของนาง นัยน์ตาเข้มลึกจดจ้องอย่างรอคอยหญิงสาวใจเต้นไม่เป็นส่ำ บัดนี้ริมฝีปากของเขากับนางมีเพียงขนมชิ้นเล็กๆ ขวางกั้นเอาไว้ นางไม่อาจต้านทานอำนาจกดดันของชายหนุ่มได้อีกต่อไป สาวน้อยผู้ไร้เดียงสาจึงเผยอปากสีแดงระเรื่อที่กำลังสั่นเทาออกช้าๆ แล้วงับลงไปบนขนมทีละคำทั้งที่หวั่นใจถางซือเซียนค่อยๆ กัดเล็มความหวานทีละนิด...ทีละนิด นางไม่กล้าแม้แต่จะหลับตา อีกทั้งยังไม่กล้าหยุดปากของตนจึงจำต้องละเลียดกินขนมไปเรื่อยๆ จนเกือบจะหมดชิ้นสาวน้อยชะงัก เมื่อระยะห่างของทั้งสองลดลงจนถึงขีดสุด หากตนกินขนมนี้อีกเพียงคำเดียว ริมฝีปากของทั้งคู่จะต้องสัมผัสกันอย่างแน่นอน'ข้ากำลังจะจูบเขา'เยี่ยนจิ้นหลิงอดทนรอคอยอย่างใจเย็น ชายหนุ่มไม่ขยับกายถอยหนีแม้แต่ครึ่งชุ่น มือร้อนขยับลูบไล้เอวบางเบาๆ เขายังคงจดจ้องดวงตากลมโตสุกใสของสาวน้อย นัยน์ตาหงส์แสดงความเผด็จการของตนออกมาอย่างชัดเจน‘ลงมือสิสาวน้อย’ถางซือเซียนตัดสินใจกัดขนมคำสุดท้ายอย่างกล้าๆ กลัวๆริมฝีปากอิ่มงามอันสั่นระริกแนบชิดกับริมฝีปากบางใ
ตอนพิเศษ4ใต้แสงจันทร์ริมทะเลสาบเงียบสงัด ลมโชยพัดกิ่งสนไหวโยก ถางซือเซียนนั่งจิบชาพร้อมทานขนมดอกกุ้ย ชมพระจันทร์อย่างเบิกบาน เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง สาวน้อยจึงมั่นใจว่าเยี่ยนเยว่ฉีคงไม่ตามมา เลยตั้งใจว่านั่งเล่นอีกสักพักแล้วจะกลับไปพักผ่อน“เสี่ยวลี่ เจ้ากลับไปเก็บของก่อน พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่ ข้าจะนั่งกินขนมอีกพักหนึ่ง จากนั้นจะตามกลับไป”“เจ้าค่ะคุณหนู” เสี่ยวลี่รีบปฏิบัติตามคำสั่งเพราะเห็นว่าที่นี่ปลอดภัยดี จึงกล้าทิ้งนายหญิงของตนเอาไว้ถางซือเซียนนั่งจิบชาชมจันทร์อย่างอ้อยอิ่ง นางมองลงบนทะเลสาบเห็นคลื่นน้ำสั่นไหวจากแรงลม สะท้อนภาพแสงจันทร์ดูระยิบระยับงดงาม บรรยากาศแสนรื่นรมเช่นนี้เหมาะแก่การแต่งกลอนหรือเล่นดนตรีสักบทเพลงหนึ่ง สาวน้อยพลันนึกเสียดายที่ไม่ได้เตรียมพิณของตนมาจากจวนด้วย“ทำไมเจ้ามานั่งเพียงผู้เดียว” เสียงทุ้มนุ่มปลุกหญิงสาวจากภวังค์ เป็นเยี่ยนจิ้นหลิงยืนเอามือไพล่หลัง สายตาของเขาทอดไปยังทะเลสาบเบื้องหน้า“ซือเซียนรอหวางเฟยอยู่เจ้าค่ะ” นางตอบเสียงเรียบ“หวางเฟยอยู่กับท่านอ๋อง คงมานั่งเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว”“เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ไม่เป็นไร ข้ามีพระจันทร์เป