“กระหม่อมยินดีรับใช้ท่านอ๋อง เพื่อฝ่าบาทและบ้านเมือง ซือเซินจะรีบไปดำเนินการตามที่ท่านอ๋องรับสั่งทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมากซือเซิน ในราชสำนักมีไม่กี่คนที่เราไว้ใจ และหนึ่งในนั้นก็คือเจ้า”
“นั่นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ข้าออกจะรู้ใจท่านอ๋อง” ถางซือเซินยิ้มกว้าง
‘เชอะ! เอาความดีใส่ตัวได้ในที่สุด สมเป็นขุนนางเสียจริง’ อ๋องหนุ่มลอบด่าพระสหายในใจอย่างอดมิได้
มู่เลี่ยงหรงวางใจคลายโทสะ ปรับสีหน้าเป็นนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหยักมุมปากขึ้นเล็กน้อย บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองกลับมาสมานฉันท์ดุจเดิมอีกครั้ง
“อ่อ เรายังมีอีกเรื่องหนึ่งให้เจ้าไปจัดการ จงส่งจดหมายไปให้เยี่ยนเยว่ฉี บอกกับนางว่า หากอยากได้ขลุ่ยหยกคืน จงไปที่อุทยานตะวันออก”
“แต่ว่างานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้ว”
“ก่อนที่นางจะขึ้นแสดง เรามีเรื่องที่ต้องตรวจสอบด้วยตนเอง เจ้าไปจัดการให้เรียบร้อยก็พอ”
“ท่านอ๋องโปรดวางใจ ซือเซินจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองเดินกลับเข้าไปนั่งประจำที่ของตนเองในกระโจมจัดงานอย่างไม่รีบไม่ร้อน ต่างคนต่างรู้สึกยินดีที่แผนการทั้งหลายเป็นไปตามที่ต้องการ
แต่นาทีนี้คงไม่มีใครมีความสุขเท่าอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย นอกจากจะหาพระชายาโฉมงามให้ท่านอ๋องได้แล้ว งานที่ฮ่องเต้ทรงมอบหมายก็ถือว่าสำเร็จ คนที่ฉลาดละเอียดรอบคอบอย่างฉินอ๋องย่อมต้องจับตามองตระกูลเยี่ยนไม่ต่างจากแมวระวังภัย เพียงเท่านี้ฮ่องเต้ก็สามารถวางพระทัยลงได้หนึ่งเรื่อง
กาลเวลาเปลี่ยนใจคนหรือจะไม่เปลี่ยน เช่นนี้แล้วเยี่ยนเยว่ฉีก็เหมือนหลักประกันชั้นดี ท่านแม่ทัพใหญ่ก็รักบุตรสาวยิ่งชีวิต เช่นนั้นแล้วย่อมต้องเอาใจวางไว้ข้างบัลลังก์อย่างแน่นอน เพียงเท่านี้ฮ่องเต้ย่อมทรงพอพระทัย เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว
‘ท่านอ๋อง เพื่อการใหญ่ในวันหน้า ท่านอาจจะต้องเหนื่อยสักหน่อยล่ะนะ’
กระโจมงานเลี้ยงชมดอกเหมย“ฮ่องเต้เสด็จแล้ว” หลิวกงกงเดินเข้ามาในกระโจมจัดเลี้ยง แล้วเปล่งเสียงอันดัง บรรดาแขกเหรื่อก็ยืนขึ้นเตรียมต้อนรับองค์ประธานในพิธี
ฮ่องเต้มู่เหวินหลงเป็นบุรุษรูปโฉมงามสง่า กล่าวได้ว่ามีราศีของโอรสสวรรค์อยู่อย่างเต็มเปี่ยม
เมื่อมองพระพักตร์จะพบว่าทรงมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงฉินอ๋องอยู่สามส่วน แต่ไม่ทรงเย็นชาเท่า แม้พระองค์มักจะแย้มพระสรวลอยู่บ่อยครั้ง พระพักตร์เปี่ยมด้วยพระเมตตา แต่ความน่าเกรงขามก็ไม่ได้ลดลง พระเนตรคมกริบคู่นั้นเหมือนจะมองทะลุถึงใจคน แผ่รังสีกดดันรอบพระวรกาย ทำให้บรรดาขุนนางทั้งหลายมิกล้าเสี่ยงแตะเกล็ดย้อนของมังกร[1]
ฮ่องเต้มู่เหวินหลงฉลองพระองค์สีทองอร่าม ปักลวดลายมังกรเก้าตัวโลดแล่นอยู่เหนือระลอกน้ำรอบชายชุดคลุม ทุกฝีเข็มช่างหลวงออกแบบด้วยความพิถีพิถัน แลดูงดงามล้ำค่าสมเป็นฉลองพระองค์ของโอรสสวรรค์
ฮ่องเต้เสด็จมาพร้อมกับฮองเฮา ไทเฮา และเหล่าพระสนมเอก พระองค์ค่อย ๆ พระดำเนินผ่านบรรดาเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง และคนในครอบครัวที่ได้รับสิทธิ์ร่วมงานไปยังตำแหน่งประธานของกระโจมจัดเลี้ยง
เมื่อทรงประทับลงบนตำแหน่งประธานเรียบร้อยแล้ว บรรดาแขกเหรื่อก็กล่าวถวายพระพรโดยพร้อมเพรียง
“ขอฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี”
ฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้ทุกคนลุกขึ้นได้ จากนั้นเปล่งสุรเสียงประกาศเริ่มงานเลี้ยงทันที
เสียงดนตรีเริ่มประโคมบรรเลงบทเพลงสำหรับการแสง นางระบำชุดแรกก็วิ่งออกมาร่ายรำอย่างงดงาม สร้างความสุขสำราญอย่างเต็มที่ นางกำนัลทยอยยกสุราชั้นดีกับอาหารเลิศรสที่หาทานได้ยากเข้ามาภายในงาน
เมื่อถึงเวลานี้ก็จะสามารถมองเห็นได้ว่าใครนั่งอยู่ตรงไหนบ้าง ที่นั่งของแขกถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งแยกชายหญิง มีลานแสดงกั้นอยู่ตรงกลาง บริเวณฝั่งของสตรีจะมีผ้าโปร่งบดบังสายตาจากฝั่งตรงข้าม แต่ก็ยังพอให้เหล่าบุรุษได้ยลโฉมของเหล่าสตรีทั้งหลาย ทั้งชายหญิงต่างหาผู้ที่ตนพึงใจโดยใช้สายตาส่งประสานเชื่อมสัมพันธ์ หากบิดามารดาเห็นด้วยก็ส่งแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอตามประเพณี
มู่เลี่ยงหรงจิบสุราอย่างใจเย็น มีขุนนางมาขอคารวะสุรามากมาย เขาพันจอกไม่เมาหน้าไม่เปลี่ยนสี แต่วันนี้ไม่อยากดื่มจนเสียเรื่อง สุดท้ายจึงแผ่รังสีเย็นเยียบไปรอบกาย ส่งผลให้บรรดาขุนนางหยุดเข้ามาที่โต๊ะทันที เมื่อไล่บุคคลน่ารำคาญเหล่านี้ไปได้แล้ว ชายหนุ่มก็นั่งนับเวลารอให้สตรีในห้วงคำนึงได้รับจดหมาย
ส่วนเยี่ยนเยว่ฉีสีหน้าไม่ดีนัก เพราะทำขลุ่ยพลิ้วพรายหายไปทั้งที่งานเลี้ยงเริ่มแล้ว การแสดงก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ โชคดีที่นางอยู่ลำดับสุดท้ายของรายชื่อ หญิงสาวได้แต่นั่งรอซูจิ้งหาขลุ่ยหยกกลับมา นางชำเลืองมองไปทางเข้ากระโจมครั้งแล้วครั้งเล่า
หญิงสาวจิบน้ำชาลงไปอีกหลายอึก ความกระวนกระวายทำให้ความอยากอาหารหายไปสิ้น ขณะนั้นเองนางกำนัลผู้หนึ่งแอบยื่นจดหมายให้อย่างเงียบ ๆ แล้วหันหลังจากไปทันทีโดยไม่กล่าวอะไร เยี่ยนเยว่ฉีคลี่กระดาษเปิดอ่านทันที
ขลุ่ยพลิ้วพรายงดงามล้ำค่าปรารถนาจะคืนสู่ผู้เป็นเจ้าของอีกครา
จงมาพบข้าที่ภูเขาจำลองของอุทยานฝั่งตะวันออกเพียงผู้เดียว
คนงามพลิกจดหมายไปมาแต่ก็ไม่พบสิ่งใดเขียนไว้อีก
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะออกไปตามนัดดีหรือไม่ ในใจก็รู้สึกหวาดระแวงอยู่ไม่น้อย แต่ที่นี่คือวังหลวงจึงคิดว่าไม่น่าจะมีคนร้ายได้ บางทีผู้ที่เก็บขลุ่ยของนางได้อาจจะมิใช่ผู้ที่ได้รับเชิญในงานเลี้ยง ด้วยเหตุนี้กระมังจึงต้องนัดให้ไปรับคืนในบริเวณอื่นแทน
ในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจก้าวเดินออกไปจากงานเลี้ยง
ด้วยความใจร้อนอยากได้ขลุ่ยหยกคืนโดยเร็ว พอก้าวขาออกจากงานเลี้ยงได้เท่านั้น นางก็รีบวิ่งจนอาภรณ์สีชมพูสะบัดพลิ้ว เป้าหมายคืออุทยานตะวันออก
เยี่ยนเยว่ฉีใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเค่อก็มาถึงภูเขาจำลองขนาดใหญ่ พาร่างงามเข้าไปภายในอย่างรีบร้อน นัยน์ตาหวานหยาดเยิ้มพยายามสอดส่ายหาเจ้าของจดหมาย เมื่อไม่พบผู้ใด ก็ตัดสินใจเดินลึกเข้าไปตามเส้นทางอันคดเคี้ยว
ภูเขาจำลองของวังหลวงช่างใหญ่โตกว่าที่คิด เยี่ยนเยว่ฉีเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า นางทั้งเดินทั้งวิ่งจนมาถึงน้ำตกจำลองอันสวยงาม
ทันใดนั่นเอง หญิงสาวเหลือบเห็นเงาของคนผู้หนึ่งหายเข้าไปตรงทางเขาถ้ำใต้น้ำตก
คนงามลังเลที่จะตามเข้าไป แต่ถ้าเป็นคนที่พบขลุ่ยหยกของนางเล่า
เยี่ยนเยว่ฉีสูดหายใจลึกเพื่อเรียกความกล้า แล้วจึงเดินเข้าไปใต้น้ำตกอย่างช้าๆ มองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง
เมื่อเข้ามาถึงภายในถ้ำหลังน้ำตกก็ปรากฏภาพของบุรุษในชุดคลุมชินอ๋องสีดำยืนหันหลังอยู่
‘นั่นมันฉินอ๋องนี่’ เยี่ยนเยว่ฉีรู้สึกได้ถึงเสียงของหัวใจที่เต้นระรัว
ส่วนฮองเฮานั่งจิบชาด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย ทำประหนึ่งว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน ทั้งที่ในใจลอบตำหนิแม่สามีที่พูดจาเอาแต่ใจ โดยไม่สนพระทัยสักนิดว่าเรื่องนี้ควรพูดออกมาตอนนี้หรือไม่ หากมู่เลี่ยงหรงต้องการจะให้จ้าวกุ้ยอินมาเป็นเป็นหวางเฟยแล้วละก็ คงไม่รอให้ไทเฮาเสนอมู่เลี่ยงหรงหยุดรอชายาที่หน้าตำหนัก ความจริงตนไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งนางไว้ที่ตรงนั้น แต่ด้วยกำลังบังเกิดโทสะจึงต้องรีบจากมาก่อนเรื่องราวจะแย่ลง เพียงไม่นานนักเยี่ยนเยว่ฉีก็เดินออกมาจากประตูตำหนัก หญิงสาวมองผู้เป็นสามีอย่างเข้าอกเข้าใจ“ท่านอ๋องเรากลับกันเถิด”“อ้ายเฟย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเจ้า”“วางใจเถิด หวางเฟยของท่านเป็นคนที่มีเหตุผล” เยี่ยนเยว่ฉียิ้มหยอกเย้าหวังให้เขาสบายใจ“ข้าไม่มีทางรับใครเข้าจวนอีก” เขารีบอธิบาย เพราะกลัวว่าเยี่ยนเยว่ฉีจะเข้าใจผิด“ดูพูดเข้า หากเป็นพระราชโองการ หรือพระเสาวนีย์อย่างไรท่านก็ขัดมิได้อยู่”“เสด็จพี่มีรับสั่งจะไม่บังคับข้าอีก”“แต่ไทเฮาไม่ได้ทรงรับปากท่านอ๋องนี่”“เป็นดั่งเจ้าว่า แต่ถ้าเสด็จแม่ยังคงดื้อดึง เรื่องนี้คนที่จะเสียใจที่สุดคงจะเป็นจ้าวกุ้ยอิน”“หากนางได้แต่งกับท่านสมใจ จะมีแต่ความ
ในที่สุดรถม้าก็แล่นมาถึงจุดจอดรถม้าของวังหลวงซิ่นเฉิงขานเรียกผู้เป็นนาย ส่วนซูจิ้งก็จัดการวางขั้นบันไดข้างรถม้า ทั้งสองต่างทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่มองหน้า ไม่พูดไม่จากันแม้แต่ครึ่งคำ ทั้งที่ต้องเดินเคียงกันไปตลอดทางเป็นองครักษ์หนุ่มที่รู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหว คิดว่ายังไงก็ต้องหาทางคุยกับซูจิ้งให้รู้เรื่องรู้ราว อย่างไรเสียตอนนี้ก็อยู่จวนเดียวกัน หากนางเป็นอนุบ่าวของเยี่ยนจิ้นหลิงจริง เหตุใดจึงตามหวางเฟยมาเล่า เขาจะต้องถามความให้กระจ่าง หากแม้ไม่มีวาสนาต่อกันก็ยินดีจะล่าถอย ไม่ใช่เดาสุ่มเอาเองเช่นนี้ เมื่อตกลงใจได้เขาก็ผ่อนคลายลงหลายส่วน‘คืนนี้ล่ะ ซาลาเปาน้อย ข้าจะต้องรู้ความจริงให้จงได้’มู่เลี่ยงหรงต้องพาเยี่ยนเยว่ฉีไปถวายพระพรไทเฮา หนทางจากจุดจอดรถม้าไม่ใกล้เลย ซ้ำไทเฮายังเลือกเวลาให้ทั้งสองมาเข้าเฝ้ายามตะวันตรงศีรษะ ที่น่าแปลกคือไม่มีเกี้ยวสำหรับสตรีมารับ กว่าจะถึงตำหนักของพระนาง ฉินอ๋องกับหวางเฟยต้องเดินเท้าเป็นเวลาราวหนึ่งก้านธูปเมื่อทั้งสองถึงที่หมายก็เห็นกูกูสูงวัยผู้หนึ่งยืนรออยู่หน้าประตูตำหนัก ครั้นนางเห็นมู่เลี่ยงหรงก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที จากนั้นจึงเดินนำบุคคลทั้งคู่เข้าส
พ่อบ้านใหญ่รับคำแล้วจัดการสั่งงานลูกน้องอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ท่วงท่าและน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยพลัง เยี่ยนเยว่ฉีเห็นดังนั้นก็นึกชื่นชม มิน่าเล่า ท่านอ๋องถึงวางใจคนหนุ่มผู้นี้ให้รับผิดชอบเรื่องน้อยใหญ่ในจวน ดูท่าทางนางคงไม่ต้องเหนื่อยยากอย่างที่คิดมู่เลี่ยงหรงให้พ่อบ้านใหญ่กับมามาทั้งสี่ถอยออกไปได้ ก่อนถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง แล้วส่งเสียงเรียกออกไป“พวกเจ้าเข้ามาคารวะน้ำชาหวางเฟยเถิด”พอสิ้นเสียงคำสั่ง สตรีโฉมงามสามนางก็เดินนำหน้าหญิงสาวอีกสิบกว่าคนเข้ามาภายในห้องโถง เยี่ยนเยว่ฉีมองไปยังพระชายารองทั้งสามที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทีสงบที่สุด ถึงแม้จะรู้สึกตกอกตกใจอยู่บ้างกับจำนวนสตรีที่ถวายตัวให้มู่เลี่ยงหรงแต่มิได้มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ‘บัดซบ! เยอะขนาดนี้เชียว’เยี่ยนเยว่ฉีตั้งใจเอาไว้ว่าหากพวกนางไม่ได้แสดงตัวเป็นปรปักษ์ ตนเองก็จะไม่กระทำการรุนแรงใด ๆ ทั้งสิ้นมู่เลี่ยงหรงแนะนำชายารองทั้งสามด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีอาการกังวลหรือตกประหม่าให้เห็น แต่ภายในใจกลับก็รู้สึกหนักอึ้งเพราะเกรงว่าเยี่ยนเยว่ฉีจะยังรับเรื่องฮูหยินอีกสิบเอ็ดคนไม่ได้ แต่เมื่อเห็นว่านางยังคงยิ้มละไม ไม่มีอาการกระอั
“อ้ายเฟย สี่คนนี้คือนางกำนัลที่ข้าคัดสรรมาให้ ข้ารับรองว่าพวกนางทำงานดีและมีความรอบรู้ หากเจ้าต้องการทราบเรื่องใดในจวน พวกนางสามารถแนะนำจัดหาให้เจ้าได้ทั้งหมด โดยเฉพาะชิงหรู นางดูแลห้องข้างของข้ามาหลายปี”เยี่ยนเยว่ฉีหรี่นัยน์ตามองชิงหรูอย่างเสียมิได้ พอเห็นก็จำได้ทันทีว่าหญิงสาวผู้นี้คือนางกำนัลที่เตรียมน้ำอุ่นมาให้เมื่อคืน นางหน้าตาสะสวย นัยน์ตาหวานฉ่ำดูยั่วยวน ผิวพรรณนวลเนียนเปล่งปลั่ง รูปร่างงามระหงสมส่วน มีเสน่ห์ดึงดูดใจบุรุษมากทีเดียวมู่เลี่ยงหรงที่ลอบสังเกตอยู่พบว่าเยี่ยนเยว่ฉีกำลังกินน้ำส้มอยู่ เขากลั้วหัวเราะเบา ๆ จนนางต้องหันมาค้อนผู้เป็นสามีทีหนึ่ง“ชิงหรูไม่ได้ถวายตัวให้ข้า”“ข้ายังไม่ได้ว่าอันใดท่านเสียหน่อย” หวางเฟยบ่นพึมพำเมื่อถูกจับได้“ก็ข้าอยากบอกเจ้านี่” ฉินอ๋องไม่ต้องการทำให้พระชายาคนงามต้องรู้สึกเสียหน้าจึงพูดแก้เก้อให้เสร็จสรรพ“เยว่ฉีทราบแล้ว” นางพอใจที่ท่านอ๋องไว้หน้าตนมู่เลี่ยงหรงยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปสั่งนางกำนัลทั้งหลายให้ปรนนิบัติผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ของหวางเฟย เหล่านางกำนัลรีบทำตามประสงค์ของเจ้านาย เยี่ยนเยว่ฉียอมรับว่าผู้ที่มู่เลี่ยงหรงคัดสรรค์มาให้นางนั้นทำ
อ๋องหนุ่มฝืนลุกจากเตียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขาคว้าชุดคลุมเอามาใส่อย่างลวก ๆ ก่อนจะเปล่งเสียงเรียกสาวใช้คนสนิทของนางให้มาช่วยจัดการเรื่องวุ่นวายของสตรี เยี่ยนเยว่ฉีมองตามร่างสูงที่เพิ่งเดินออกจากห้องนอนไปซูจิ้งเข้ามาภายในห้องหอ นางยอบกายคำนับฉินอ๋องที่ทำหน้าถมึงทึงอยู่บนเก้าอี้ยาวริมหน้าต่างที่ห้องชั้นนอก เขาไม่พูดอะไรเพียงแต่โบกมือเป็นสัญญาณให้นางเข้าไปหาเยี่ยนเยว่ฉีในห้องนอนซูจิ้งเดินผ่านกองชุดวิวาห์ที่ถูกฉีกขาดกระจัดกระจายอยู่บนพื้นก็อดรู้สึกตกใจไม่ได้ หรือว่าฉินอ๋องทำรุนแรงกับนายหญิงของตน‘แย่แล้วคุณหนูของข้า’ สตรีร่างเล็กแทบจะวิ่งเข้าไปที่หน้าเตียง ภาพที่เห็นคือเยี่ยนเยว่ฉีนั่งเอาผ้าห่มปิดร่างกายที่เปลือยเปล่าเอาไว้ มีคราบน้ำตาอาบบนแก้ม แต่ไม่ปรากฏร่องรอยความเสียใจแม้แต่น้อย“คุณหนู ไม่ใช่สิ หวางเฟยเป็นอันใดไปเพคะ”“เรื่องสุดวิสัยของสตรี” เยี่ยนเยว่ฉีเอ่ยเสียงเย็นคำตอบของเยี่ยนเยว่ฉีทำให้ซูจิ้งโล่งอก มิน่าเล่าฉินอ๋องถึงได้ทำหน้าถมึงทึงเช่นนั้น มีเนื้ออยู่ตรงหน้าแต่กลับกินไม่ได้ ช่างน่าเห็นใจเหลือเกิน“เช่นนั้นลงมาจากเตียงก่อนเพคะ ซูจิ้งจะได้ปรนนิบัติท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง”“อืม”
แม้แทบจะไม่เหลืออาภรณ์ติดกาย ทว่าเยี่ยนเยว่ฉีกลับร้อนรุ่มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อถูกกระตุ้นเพลิงในกาย เพื่อให้เขากับนางแนบสนิทใกล้ชิดยิ่งขึ้น มู่เลี่ยงหรงจึงขยับร่างบางให้หันหน้าเข้าหาตน และด้วยการบังคับขยับนี้เยี่ยนเยว่ฉีจึงต้องตวัดขาเรียวยาวโอบรอบสะโพกสอบของเขาเอาไว้ แล้วคล้องแขนกับลำคอเพื่อเป็นหลักยึด ฝ่ามือร้อนของบุรุษลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังนวลเนียน เมื่อพบกับปมเล็ก ๆ ที่ผูกไว้ก็กระตุกออกอย่างเบามือ อุปสรรคสุดท้ายถูกกำจัดจนสิ้น เหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าของเทพธิดาแสนสวยในอ้อมกอดแสงจากเทียนมงคลคู่สีแดงวูบไหว อาบไล้ไปบนผิวขาวเนียนละเอียดดุจกระเบื้องเคลือบ ยิ่งทำให้เยี่ยนเยว่ฉีงดงามราวรูปสลักอันไร้รอยตำหนิ ช่างสูงค่าคู่ควรให้ทะนุถนอม‘วิเศษยิ่งนัก ยอดรักของข้า’ดวงตาลากไล้สำรวจเทพธิดาในอ้อมกอด ยิ่งมองยิ่งพบว่าเรือนกายของนางช่างสมบูรณ์แบบ เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหลทุกสัดส่วน ร่างระหงยั่วยวนน่าสัมผัสไปทุกตารางนิ้ว ไม่ว่ามือจะลูบไล้ไปตรงที่ใด ผิวกายขาวผ่องดุจแสงจันทร์กระจ่างก็เรียบลื่นนุ่มละมุนมือ มู่เลี่ยงหรงแทบลืมหายใจเมื่อแลเห็นปทุมถันอวบอิ่มเต็มตา ยอดสีหวานชูชันท้าทายให้ครอบครองยิ่งนัก ชายห