เยี่ยนเยว่ฉีมองไปรอบถ้ำใต้น้ำตกจำลองซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงาม มีทางเดินทอดยาวสู่พื้นหินที่ยกสูงขึ้นเสมือนเป็นเกาะกลางน้ำ ด้านบนมีตั่งหินและโต๊ะสำหรับวางขนมกับน้ำชา นี่คงเป็นสถานที่สำหรับนั่งพักผ่อนขณะเดินเล่นภายในสวน
เสียงน้ำตกจากภายนอกไม่ได้ดังรบกวนอย่างที่คิด ถ้าสังเกตให้ดี ถ้ำนี้ถูกออกแบบมาให้ระบายอากาศและยังมีช่องรับแสงสว่างอีกด้วย
ดวงอาทิตย์สาดส่องลำแสงอันอบอุ่นเข้ามาภายในถ้ำ ต้องกระทบผิวน้ำปรากฏเป็นเงาระยิบระยับงดงามพลิ้วไหว
มู่เลี่ยงหรงยืนหันหลัง ในมือถือขลุ่ยหยกของนางเอาไว้
เนื่องจากเยี่ยนเยว่ฉีมีพี่ชายรูปงามราวเทพเซียนอย่างเยี่ยนจิ้นหลิง มาตรฐานบุรุษในใจของนางจึงสูงตามไปด้วย ในระหว่างที่ย่างเท้าไปตามทางเดินหินหญิงสาวจึงอดลอบพิจารณาบุรุษเบื้องหน้าไม่ได้
ฉินอ๋องสูงส่งสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนถูกสลักมาอย่างละเอียดลออ ถึงแม้จะดูเย็นชาอยู่บ้าง แต่กลับทำให้โฉมสะคราญประหม่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับเขาเพียงลำพังหัวใจดวงน้อยพลันเต้นระรัว
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำมากขึ้นเท่าใด มือของนางก็เย็นเฉียบขึ้นทุกขณะ
หญิงสาวทั้งตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นในหัวใจ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า มู่เลี่ยงหรงจึงหันหลังมาอย่างช้า ๆ เห็นเยี่ยนเยว่ฉีเยื้องกรายเข้ามาหยุดยืนห่างออกไปเพียงหนึ่งจั้ง บุรุษร่างสูงใช้ดวงตาเข้มลึกพิจารณาไปทั่วเรือนร่างอันอวบอิ่มราวกับว่าจะมองให้ทะลุ
เนื่องจากถูกฟูมฟักมาอย่างทะนุถนอมยิ่ง ถึงจะมีโอกาสพบพานบุรุษอยู่บ้างตอนที่จวนแม่ทัพจัดงานเลี้ยงที่เมืองหานจี แต่ก็ยังไม่เคยมีคุณชายบ้านใดมองนางด้วยสายตาร้อนแรงถึงเพียงนี้ นัยน์ตาคมกริบทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนกำลังถูกลูบโลบไปทั่วกายจนสั่นสะท้าน ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นทุกขณะ
“คารวะฉินอ๋อง หม่อมฉันมารับขลุ่ยหยกคืนตามคำเชิญในจดหมายเพคะ” เสียงของนางทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนเมื่อครู่
“อืม...เราคืนให้เจ้าแน่” มู่เลี่ยงหรงปรายสายตามองขลุ่ยหยกในมือ “เมื่อครู่เราลองเป่าขลุ่ยของเจ้า แต่ว่ามันไร้เสียง เกรงว่ามันคงตกเสียหายแล้วกระมัง” ชายหนุ่มแสร้งพูดเหมือนไม่รู้อะไร
“เรียนท่านอ๋อง ขลุ่ยของหม่อมฉันไม่ได้เสียหาย แต่เพราะทำขึ้นเป็นพิเศษ ต้องฝึกฝนและเป่าอย่างถูกวิธีจึงจะสามารถบรรเลงให้มีเสียงไพเราะได้เพคะ” เยี่ยนเยว่ฉีตอบอย่างตรงไปตรงมาไม่ปิดบัง
“เราเองก็ชื่นชอบดนตรี อีกทั้งยังร่ำเรียนมาไม่น้อย ในจวนก็มีขลุ่ยสั่งทำพิเศษอยู่หลายแบบ หรือคุณหนูเยี่ยนคิดว่าเราด้อยฝีมือจึงไม่สามารถเป่าขลุ่ยเลานี้ได้” ฉินอ๋องกล่าวเสียงเข้ม แกล้งทำเป็นมีโทสะ
“หม่อมฉันมิบังอาจ ท่านอ๋องทรงปรีชา ผู้คนในใต้หล้าต่างรู้ดี แต่เป็นเพราะขลุ่ยเลานี้อาจารย์ของหม่อมฉันเป็นผู้สร้าง ต้องอาศัยกำลังภายในเล็กน้อยจึงจะเป่าให้มีเสียงดังได้” หญิงสาวก้มศีรษะเล็กน้อย แสดงกิริยานอบน้อมราวกับต้องการขออภัย
“เราไม่เคยรู้เลยว่ามีวิธีการเป่าขลุ่ยแบบนี้อยู่ด้วย”
“หากไม่เชื่อ ท่านอ๋องก็ลองดูใหม่สิเพคะ แต่อาจจะบรรเลงเป็นเพลงยากอยู่เสียหน่อย หม่อมฉันเองต้องร่ำเรียนอยู่นานจึงสามารถเล่นเป็นบทเพลงอันไพเราะได้” สตรีเจ้าของขลุ่ยเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ดวงตาเหยี่ยวของอีกฝ่าย รอยยิ้มแสนนุ่มนวลประทับอยู่บนใบหน้า
กิริยาของนางทำให้มันหัวใจบุรุษคันยุบยิบ เต้นเป็นจังหวะถี่รัว ทั้งที่ปกติเขาเป็นคนสุขุมเยือกเย็น แต่ครานี้กลับร้อนรุ่มจนแทบทนไม่ไหว
‘มารดามันเถอะ! นางเป็นภูตพรายหรืออย่างไร เหตุใดข้าจึงหวั่นไหวถึงเพียงนี้ ไม่ได้เด็ดขาดมู่เลี่ยงหรง เจ้าต้องไม่หลงเล่ห์แห่งสตรีง่ายดายเช่นนี้’
ฉินอ๋องพยายามข่มใจอย่างสุดความสามารถเยี่ยนเยว่ฉียังคงส่งยิ้ม แต่แอบลอบบิดผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดอยู่ใต้แขนเสื้อ ยามช้อนสายตาขึ้นมองบุรุษชุดดำคราใด ก็เห็นเขาเพียรจดจ้องนางไม่วางตา ตอนนี้หน้านางร้อนไปหมดแล้ว นึกอยากให้เขาตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง
‘ท่านอ๋อง ท่านจะเป่าก็เป่า จะคืนก็คืนเสียทีเถิด หากอยู่ด้วยกันสองต่อสองไปเรื่อย ๆ คงอันตรายต่อความรู้สึกเป็นแน่’
ในขณะที่เยี่ยนเยว่ฉีว้าวุ่น มู่เลี่ยงหรงเองก็รู้สึกเหมือนกำลังจะพ่ายแพ้ เพียงสตรีตรงหน้ายกมืองามดุจลำเทียนขึ้นลูบปิ่นปักผมจนเห็นเรียวแขนขาวราวหิมะ ใบหูของเขาก็ร้อนขึ้นทันที
‘นี่ข้ากำลังเขินอายผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ หึ! เป็นอย่างไรก็เป็นกัน หวั่นไหวแล้วอย่างไร นางเป็นว่าที่หวางเฟยของจวนฉินอ๋องอยู่แล้ว ยังไงข้าก็มีสิทธิ์เต็มที่ วันนี้จะเกี้ยวว่าที่พระชายาของตนเองสักครั้งก็คงไม่เสียหายกระมัง’
ชายหนุ่มตัดสินใจจรดริมฝีปากบางบนขลุ่ยหยก หลุบตาลงเล็กน้อย เขาตั้งสมาธิแล้วปลดปล่อยลมปราณสู่เครื่องดนตรีอันแสนพิเศษ ฉับพลันก็บังเกิดเสียงขลุ่ย
บทเพลงรักนกยวนยางล่องลอยกังวานไปทั่วถ้ำหิน แม้เสียงจะยังไม่คงที่ แต่ก็มากพอให้เยี่ยนเยว่ฉีตื่นตะลึงระคนประทับใจ นางนึกไม่ถึงว่าฉินอ๋องจะสามารถเป่าขลุ่ยพลิ้วพรายเป็นเพลงได้ตั้งแต่ครั้งแรก
นัยน์ตาดอกท้อทอประกายชื่นชมส่งไปให้บุรุษตรงหน้า พลางคิดในใจว่าจะดีสักเพียงใดหากเนื้อคู่ของนางจะเป็นชายผู้องอาจและมากความสามารถอย่างบุรุษผู้นี้
มู่เลี่ยงหรงพยายามควบคุมลมปราณ แต่ขลุ่ยหยกเลานี้ก็เป่ายากเสียจริง ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำอย่างตั้งใจ ด้วยพยายามจะถ่ายทอดความรู้สึก และความปรารถนาที่กำลังท่วมท้นผ่านเพลงรักนกยวนยางอันเลื่องชื่อ ซึ่งบุรุษนิยมใช้เพลงรักนี้เกี้ยวพาอิสตรี
‘ช่างน่าอาย...แต่ข้าก็ยินดี เยี่ยนเยว่ฉีเจ้าจงภูมิใจเถิด องค์ชายเช่นข้าไม่เคยกระทำเพื่อสตรีใดถึงเพียงนี้’
โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ กระแสกระสันจากขลุ่ยวิเศษแผ่กระจายไปอย่างเชื่องช้า จนในที่สุดเยี่ยนเยว่ฉีถูกรายล้อมเอาไว้ด้วยมนต์ตราแห่งบุรุษเพศ
ยามนี้คลื่นอารมณ์ปั่นป่วนรุนแรงถาโถมสู่กายนาง พลังจากความต้องการอันร้อนแรงนี้ฉุดรั้งนางให้จมดิ่งสู่ความปรารถนาของผู้บรรเลงเพลงรักโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เยี่ยนเยว่ฉีโดนพลังปราณผสานกับอำนาจของขลุ่ยวิเศษก่อให้เกิดความรู้สึกร้อนรุ่มยากจะอธิบาย ความวาบหวามหวั่นไหวเข้าจู่โจมพาให้เรี่ยวแรงหดหายแทบจะหมดสิ้น ขาเรียวงามของนางพลันอ่อนยวบ
ส่วนฮองเฮานั่งจิบชาด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย ทำประหนึ่งว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน ทั้งที่ในใจลอบตำหนิแม่สามีที่พูดจาเอาแต่ใจ โดยไม่สนพระทัยสักนิดว่าเรื่องนี้ควรพูดออกมาตอนนี้หรือไม่ หากมู่เลี่ยงหรงต้องการจะให้จ้าวกุ้ยอินมาเป็นเป็นหวางเฟยแล้วละก็ คงไม่รอให้ไทเฮาเสนอมู่เลี่ยงหรงหยุดรอชายาที่หน้าตำหนัก ความจริงตนไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งนางไว้ที่ตรงนั้น แต่ด้วยกำลังบังเกิดโทสะจึงต้องรีบจากมาก่อนเรื่องราวจะแย่ลง เพียงไม่นานนักเยี่ยนเยว่ฉีก็เดินออกมาจากประตูตำหนัก หญิงสาวมองผู้เป็นสามีอย่างเข้าอกเข้าใจ“ท่านอ๋องเรากลับกันเถิด”“อ้ายเฟย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเจ้า”“วางใจเถิด หวางเฟยของท่านเป็นคนที่มีเหตุผล” เยี่ยนเยว่ฉียิ้มหยอกเย้าหวังให้เขาสบายใจ“ข้าไม่มีทางรับใครเข้าจวนอีก” เขารีบอธิบาย เพราะกลัวว่าเยี่ยนเยว่ฉีจะเข้าใจผิด“ดูพูดเข้า หากเป็นพระราชโองการ หรือพระเสาวนีย์อย่างไรท่านก็ขัดมิได้อยู่”“เสด็จพี่มีรับสั่งจะไม่บังคับข้าอีก”“แต่ไทเฮาไม่ได้ทรงรับปากท่านอ๋องนี่”“เป็นดั่งเจ้าว่า แต่ถ้าเสด็จแม่ยังคงดื้อดึง เรื่องนี้คนที่จะเสียใจที่สุดคงจะเป็นจ้าวกุ้ยอิน”“หากนางได้แต่งกับท่านสมใจ จะมีแต่ความ
ในที่สุดรถม้าก็แล่นมาถึงจุดจอดรถม้าของวังหลวงซิ่นเฉิงขานเรียกผู้เป็นนาย ส่วนซูจิ้งก็จัดการวางขั้นบันไดข้างรถม้า ทั้งสองต่างทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่มองหน้า ไม่พูดไม่จากันแม้แต่ครึ่งคำ ทั้งที่ต้องเดินเคียงกันไปตลอดทางเป็นองครักษ์หนุ่มที่รู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหว คิดว่ายังไงก็ต้องหาทางคุยกับซูจิ้งให้รู้เรื่องรู้ราว อย่างไรเสียตอนนี้ก็อยู่จวนเดียวกัน หากนางเป็นอนุบ่าวของเยี่ยนจิ้นหลิงจริง เหตุใดจึงตามหวางเฟยมาเล่า เขาจะต้องถามความให้กระจ่าง หากแม้ไม่มีวาสนาต่อกันก็ยินดีจะล่าถอย ไม่ใช่เดาสุ่มเอาเองเช่นนี้ เมื่อตกลงใจได้เขาก็ผ่อนคลายลงหลายส่วน‘คืนนี้ล่ะ ซาลาเปาน้อย ข้าจะต้องรู้ความจริงให้จงได้’มู่เลี่ยงหรงต้องพาเยี่ยนเยว่ฉีไปถวายพระพรไทเฮา หนทางจากจุดจอดรถม้าไม่ใกล้เลย ซ้ำไทเฮายังเลือกเวลาให้ทั้งสองมาเข้าเฝ้ายามตะวันตรงศีรษะ ที่น่าแปลกคือไม่มีเกี้ยวสำหรับสตรีมารับ กว่าจะถึงตำหนักของพระนาง ฉินอ๋องกับหวางเฟยต้องเดินเท้าเป็นเวลาราวหนึ่งก้านธูปเมื่อทั้งสองถึงที่หมายก็เห็นกูกูสูงวัยผู้หนึ่งยืนรออยู่หน้าประตูตำหนัก ครั้นนางเห็นมู่เลี่ยงหรงก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที จากนั้นจึงเดินนำบุคคลทั้งคู่เข้าส
พ่อบ้านใหญ่รับคำแล้วจัดการสั่งงานลูกน้องอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ท่วงท่าและน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยพลัง เยี่ยนเยว่ฉีเห็นดังนั้นก็นึกชื่นชม มิน่าเล่า ท่านอ๋องถึงวางใจคนหนุ่มผู้นี้ให้รับผิดชอบเรื่องน้อยใหญ่ในจวน ดูท่าทางนางคงไม่ต้องเหนื่อยยากอย่างที่คิดมู่เลี่ยงหรงให้พ่อบ้านใหญ่กับมามาทั้งสี่ถอยออกไปได้ ก่อนถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง แล้วส่งเสียงเรียกออกไป“พวกเจ้าเข้ามาคารวะน้ำชาหวางเฟยเถิด”พอสิ้นเสียงคำสั่ง สตรีโฉมงามสามนางก็เดินนำหน้าหญิงสาวอีกสิบกว่าคนเข้ามาภายในห้องโถง เยี่ยนเยว่ฉีมองไปยังพระชายารองทั้งสามที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทีสงบที่สุด ถึงแม้จะรู้สึกตกอกตกใจอยู่บ้างกับจำนวนสตรีที่ถวายตัวให้มู่เลี่ยงหรงแต่มิได้มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ‘บัดซบ! เยอะขนาดนี้เชียว’เยี่ยนเยว่ฉีตั้งใจเอาไว้ว่าหากพวกนางไม่ได้แสดงตัวเป็นปรปักษ์ ตนเองก็จะไม่กระทำการรุนแรงใด ๆ ทั้งสิ้นมู่เลี่ยงหรงแนะนำชายารองทั้งสามด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีอาการกังวลหรือตกประหม่าให้เห็น แต่ภายในใจกลับก็รู้สึกหนักอึ้งเพราะเกรงว่าเยี่ยนเยว่ฉีจะยังรับเรื่องฮูหยินอีกสิบเอ็ดคนไม่ได้ แต่เมื่อเห็นว่านางยังคงยิ้มละไม ไม่มีอาการกระอั
“อ้ายเฟย สี่คนนี้คือนางกำนัลที่ข้าคัดสรรมาให้ ข้ารับรองว่าพวกนางทำงานดีและมีความรอบรู้ หากเจ้าต้องการทราบเรื่องใดในจวน พวกนางสามารถแนะนำจัดหาให้เจ้าได้ทั้งหมด โดยเฉพาะชิงหรู นางดูแลห้องข้างของข้ามาหลายปี”เยี่ยนเยว่ฉีหรี่นัยน์ตามองชิงหรูอย่างเสียมิได้ พอเห็นก็จำได้ทันทีว่าหญิงสาวผู้นี้คือนางกำนัลที่เตรียมน้ำอุ่นมาให้เมื่อคืน นางหน้าตาสะสวย นัยน์ตาหวานฉ่ำดูยั่วยวน ผิวพรรณนวลเนียนเปล่งปลั่ง รูปร่างงามระหงสมส่วน มีเสน่ห์ดึงดูดใจบุรุษมากทีเดียวมู่เลี่ยงหรงที่ลอบสังเกตอยู่พบว่าเยี่ยนเยว่ฉีกำลังกินน้ำส้มอยู่ เขากลั้วหัวเราะเบา ๆ จนนางต้องหันมาค้อนผู้เป็นสามีทีหนึ่ง“ชิงหรูไม่ได้ถวายตัวให้ข้า”“ข้ายังไม่ได้ว่าอันใดท่านเสียหน่อย” หวางเฟยบ่นพึมพำเมื่อถูกจับได้“ก็ข้าอยากบอกเจ้านี่” ฉินอ๋องไม่ต้องการทำให้พระชายาคนงามต้องรู้สึกเสียหน้าจึงพูดแก้เก้อให้เสร็จสรรพ“เยว่ฉีทราบแล้ว” นางพอใจที่ท่านอ๋องไว้หน้าตนมู่เลี่ยงหรงยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปสั่งนางกำนัลทั้งหลายให้ปรนนิบัติผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ของหวางเฟย เหล่านางกำนัลรีบทำตามประสงค์ของเจ้านาย เยี่ยนเยว่ฉียอมรับว่าผู้ที่มู่เลี่ยงหรงคัดสรรค์มาให้นางนั้นทำ
อ๋องหนุ่มฝืนลุกจากเตียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขาคว้าชุดคลุมเอามาใส่อย่างลวก ๆ ก่อนจะเปล่งเสียงเรียกสาวใช้คนสนิทของนางให้มาช่วยจัดการเรื่องวุ่นวายของสตรี เยี่ยนเยว่ฉีมองตามร่างสูงที่เพิ่งเดินออกจากห้องนอนไปซูจิ้งเข้ามาภายในห้องหอ นางยอบกายคำนับฉินอ๋องที่ทำหน้าถมึงทึงอยู่บนเก้าอี้ยาวริมหน้าต่างที่ห้องชั้นนอก เขาไม่พูดอะไรเพียงแต่โบกมือเป็นสัญญาณให้นางเข้าไปหาเยี่ยนเยว่ฉีในห้องนอนซูจิ้งเดินผ่านกองชุดวิวาห์ที่ถูกฉีกขาดกระจัดกระจายอยู่บนพื้นก็อดรู้สึกตกใจไม่ได้ หรือว่าฉินอ๋องทำรุนแรงกับนายหญิงของตน‘แย่แล้วคุณหนูของข้า’ สตรีร่างเล็กแทบจะวิ่งเข้าไปที่หน้าเตียง ภาพที่เห็นคือเยี่ยนเยว่ฉีนั่งเอาผ้าห่มปิดร่างกายที่เปลือยเปล่าเอาไว้ มีคราบน้ำตาอาบบนแก้ม แต่ไม่ปรากฏร่องรอยความเสียใจแม้แต่น้อย“คุณหนู ไม่ใช่สิ หวางเฟยเป็นอันใดไปเพคะ”“เรื่องสุดวิสัยของสตรี” เยี่ยนเยว่ฉีเอ่ยเสียงเย็นคำตอบของเยี่ยนเยว่ฉีทำให้ซูจิ้งโล่งอก มิน่าเล่าฉินอ๋องถึงได้ทำหน้าถมึงทึงเช่นนั้น มีเนื้ออยู่ตรงหน้าแต่กลับกินไม่ได้ ช่างน่าเห็นใจเหลือเกิน“เช่นนั้นลงมาจากเตียงก่อนเพคะ ซูจิ้งจะได้ปรนนิบัติท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง”“อืม”
แม้แทบจะไม่เหลืออาภรณ์ติดกาย ทว่าเยี่ยนเยว่ฉีกลับร้อนรุ่มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อถูกกระตุ้นเพลิงในกาย เพื่อให้เขากับนางแนบสนิทใกล้ชิดยิ่งขึ้น มู่เลี่ยงหรงจึงขยับร่างบางให้หันหน้าเข้าหาตน และด้วยการบังคับขยับนี้เยี่ยนเยว่ฉีจึงต้องตวัดขาเรียวยาวโอบรอบสะโพกสอบของเขาเอาไว้ แล้วคล้องแขนกับลำคอเพื่อเป็นหลักยึด ฝ่ามือร้อนของบุรุษลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังนวลเนียน เมื่อพบกับปมเล็ก ๆ ที่ผูกไว้ก็กระตุกออกอย่างเบามือ อุปสรรคสุดท้ายถูกกำจัดจนสิ้น เหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าของเทพธิดาแสนสวยในอ้อมกอดแสงจากเทียนมงคลคู่สีแดงวูบไหว อาบไล้ไปบนผิวขาวเนียนละเอียดดุจกระเบื้องเคลือบ ยิ่งทำให้เยี่ยนเยว่ฉีงดงามราวรูปสลักอันไร้รอยตำหนิ ช่างสูงค่าคู่ควรให้ทะนุถนอม‘วิเศษยิ่งนัก ยอดรักของข้า’ดวงตาลากไล้สำรวจเทพธิดาในอ้อมกอด ยิ่งมองยิ่งพบว่าเรือนกายของนางช่างสมบูรณ์แบบ เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหลทุกสัดส่วน ร่างระหงยั่วยวนน่าสัมผัสไปทุกตารางนิ้ว ไม่ว่ามือจะลูบไล้ไปตรงที่ใด ผิวกายขาวผ่องดุจแสงจันทร์กระจ่างก็เรียบลื่นนุ่มละมุนมือ มู่เลี่ยงหรงแทบลืมหายใจเมื่อแลเห็นปทุมถันอวบอิ่มเต็มตา ยอดสีหวานชูชันท้าทายให้ครอบครองยิ่งนัก ชายห